พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 496 โอกาส
ข่าวเรื่องจันทรุปราคาถูกแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว
“จะตื่นตูมอะไรกันหนักหนา”
เกาหลิงปอบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์
“หอสังเกตการณ์ก็เป็นเช่นนี้ทุกปีอยู่แล้วมิใช่รึ ต้องคอย
ทำนายพฤติการณ์ดวงดาว ทำนายสิบครั้งแม่นสามครั้งก็ถือว่า
เข้าขั้นศักดิ์สิทธิ์ราวกับจุดธูปขอพรที่วัดผู่ซิ่วยังไงยังงั้น”
เหล่าลิ่วล้อของเกาหลิงปอต่างพากันหัวเราะร่วน
“ปีนี้มีสุริยุปราคาเกิดขึ้นไปแล้ว หากมีจันทรุปราคาเกิดขึ้นอีก
จะเกิดเหตุอาเพศอันใดหรือไม่”มีคนเอ่ยขึ้น
เกาหลิงปอได้ยินประโยคเมื่อครู่ก็เลิกคิ้วขึ้น
“หากเกิดจันทรุปราคาจริงๆ คง…” เขาเอ่ยช้าๆ “อาจหมายถึง
งานหลวงด่างพร้อย ผู้นำสั่นคลอน ความผิดถูกเปิดเผย”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็รีบนั่งตัวตรง“เฉินเซ่าว่าอย่างไรบ้าง” เขาเอ่ยถาม
“ท่านราชเลขาดึงเรื่องไว้ก่อน เพราะเป็นเรื่องใหญ่ เลยต้อง
เจรจากับทางหอสังเกตการณ์ก่อน” ลูกน้องนายหนึ่งเอ่ย “แต่ทาง
นั้น
เองก็กำลังถกเถียงอยู่เช่นกัน”
เกาหลิงปอย่นคิ้ว
“ที่หอสังเกตการณ์ยังไม่มีข้อสรุปออกมางั้นรึ” เขาถาม “ยัง
ไม่มีข้อสรุป แล้วเหตุใดถึงส่งรายงานมาเล่า”
“แล้วจันทรุปราคาที่ว่านี่จะเกิดขึ้นจริงๆ ใช่ไหม”
เฉินเซ่าแลมองเหล่าขุนนางของหอสังเกตการณ์ที่กำลัง
ถกเถียงกันอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความคับข้องใจ
“ไม่เกิดขึ้นหรอกน่า” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
“อาจจะเกิดก็เป็นได้ เพียงแต่ยังไม่มีความชัดเจน” ขุนนางอีก
คนรีบเอ่ยขึ้นทันควัน “พฤติการณ์ท้องฟ้าเป็นเรื่องไม่แน่นอน เกิน
ความสามารถของมนุษย์ที่จะล่วงรู้ได้”
เรื่องแบบนี้ยืนยันได้เสียที่ไหนล่ะ อย่างไรก็ต้องมีเผื่อๆ ไว้บ้างเฉินเซ่าเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็คว้าเอกสารขึ้นมาแล้ว
ทุ่มลงไปบนโต๊ะ
“แล้วนี่มันอะไรกัน” เฉินเซ่าเอ่ยฉุนขาด
“หนังสือเหล่านี้เป็นคำให้การส่งเดชของเจ้ากัวหย่วนพ่ะย่ะค่ะ
!”
เหล่าขุนนางชั้นผู้น้อยต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
“ไปพาตัวมา!” เฉินเซ่าตะโกนสั่ง
มีคนขานรับแล้วรีบวิ่งออกไป แต่ไม่นานก็รีบวิ่งตาลีตาเหลือก
กลับมา
“ใต้เท้า ไม่ได้การแล้ว กัวหย่วนมีรับสั่งให้ทูลเรื่องนี้ต่อหน้า
ฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เฉินเซ่าฉุนขาด
“น่าขันสิ้นดี!”
เขาเร่งฝีเท้าเดินออกไป
“ซวยแล้วไงเล่า”
“ถึงจะซวยก็เป็นความซวยของเจ้ากัวหย่วนมัน”เหล่าคนของหอสังเกตการณ์ตพากันซุบซิบนินทา แต่ก็
เดินตามไปดูเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน
ณ ตำหนักว่าการ ฮ่องเต้พิศดูชายหนุ่มที่กำลังคุกเข่าอยู่
เบื้องหน้า ในมือของเขาถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง แม้ว่าคำพูดของเขา
ฟังดูหนักแน่นก็ตาม แต่ร่างกายของเขากลับสั่นเทาม่หยุด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นเต้นหรือตื้นตันใจกันแน่
“ข้าน้อยเป็นศิษย์นามกัวหย่วน ได้คำนวณการเกิด
จันทรุปราคาออกมาตรงกับวันที่สิบห้า ฝ่าบาทโปรดบอกข่าวให้
เหล่าชาวเมืองและเหล่าอารยชนได้รับรู้เพื่อเตรียมตัวด้วยขอรับ”
ศิษย์งั้นรึ
ฮ่องเต้ฉงนอยู่ไม่น้อย เด็กคนนี้คงเป็นต้นเรื่องที่จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
ใช้คนไปสืบเรื่องมาจากหอสังเกตการณ์สินะ
ศิษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งคำนวณจันทรุปราคาออกมาได้ เหล่า
ขุนนางคงไม่ปักใจเชื่ออย่างแน่นอน ท้ายสุดคงต้องลงเอยด้วยการ
ถกเถียงกันทันใดนั้น เฉินเซ่าและเหล่าคนของหอสังเกตการณ์ก็เข้ามาใน
ตำหนัก
“ฝ่าบาท พฤติการณ์ท้องฟ้ายังคงเป็นข้อพิพาท ฝ่าบาท
ฟังความจากเด็กคนนี้มิได้ขอรับ”
“ฝ่าบาท คนของหอสังเกตการณ์กำลังอยู่ในขั้นตอนคำนวณ
พฤติการณ์ท้องฟ้า ยังมิได้มีข้อสรุปออกมาแต่อย่างใดขอรับ”
“ข่าวนั้นเป็นแค่ข้อมูลที่ออกมาจากปากของศิษย์ผู้นี้ขอรับ”
ภายในตำหนักเต็มไปด้วยเสียงต่อล้อต่อเถียงของเหล่าขุนนาง
ก็แค่เรื่องถกเถียงกันว่าจะเกิดหรือไม่เกิดจันทรุปราคาเท่านั้นเอง
ฮ่องเต้จึงวางเฉยกับเหตุการณ์ตรงหน้า
สายตาฮ่องเต้ทอดตาดูด้านนอกเป็นระยะระย เหตุใดจิ้นอัน
จวิ้นอ๋องยังไม่กลับมาอีก นี่เวลาก็ล่วงเลยไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว
หรือว่าแม่นางเฉิงผู้นั้นยังคำนวณไม่สำ เร็จงั้นรึ
“ฝ่าบาท!ข้าน้อยกัวหย่วน ขอสาบานด้วยชีวิตของข้าน้อย!”
สิ้นประโยคเมื่อครู่ ทำเอาฮ่องเต้หันกลับมาสนใจเขาอีกครั้ง
ว่าอย่างไรนะฮ่องเต้กวาดตามองรอบๆ ตำหนัก เหล่าขุนนางต่างพากันจ้อง
ไปที่กัวหย่วนด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ในเดือนนี้ ตรงกับวันที่สิบห้า ช่วงยามสามสี่เค่อ พระจันทร์
เริ่มมืดลง หากมีข้อผิดพลาด ข้าน้อยยอมถูกตัดหัวเพื่อไถ่บาปที่
ไม่เคารพต่อฟ้าดินขอรับ”
ชายหนุ่มใบหน้าแดงก่ำ นัยน์ตารื้น พลางยื่นมือออกไปกุม
กำปั้นทำท่าถวายบังคม
ทั้ง
ตำหนักตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ สักพักเสียงโหวกเหวกก็
เริ่มดังขึ้น
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นหลี่ฉุนเฟิงหรืออย่างไร” พวกหอ
สังเกตการณ์ต่างพากันหัวเราะเยาะ
ชายหนุ่มโกรธจนควันออกหู
ไม่ผิดที่เขาจะรู้สึกโกรธเคือง แต่หากยังวางไม่ลง ก็คงไม่ต่าง
อะไรกับคนโง่
“ฝ่าบาท โปรดลงโทษกัวหย่วนฐานพูดจาเหลวไหลด้วย
พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ที่กำลังตกตะลึงอยู่ก็รีบดึงสติกลับมา ท่ามกลาง
ความวุ่นวายที่เกิดในตำหนัก ขันทีผู้หนึ่งรีบย่างเท้าเข้ามาในตำหนัก
แล้วโน้มตัวลงรายงานบางอย่างกับฮ่องเต้
ใบหน้าฮ่องเต้พลันดูรื่นรมย์ทันตา
มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นงั้นรึ
ทุกคนต่างสงสัย
“แล้วเจ้าตัวล่ะ” ฮ่องเต้กระซิบถาม
“ถูกท่านราชเลขารั้งไว้มิให้เข้ามาขอรับ” ขันทีเอ่ยตอบเสียง
ค่อย
ฮ่องเต้พลันเอามือฟาดโต๊ะ
“ชักจะบ้าบอเข้าไปทุกที!”ฮ่องเต้ตำหนิ
เหล่าขันทีที่ยืนเฝ้าอยู่รอบๆ เมื่อได้ยินเข้าก็ตะลึงงัน
“ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ” พวกเขารีบเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
ฮ่องเต้กวาดตามองพวกเขา แล้วยกมือปัด
ขันทีนายหนึ่งรีบเดินเข้าไปหยิบเอกสารมาจากมือของกัวหย่วน“เอาละ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะอนุมัติหนังสือของเจ้า” ฮ่องเต้
ยื่นมือรับ
สิ้นคำฮ่องเต้ พวกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันนิ่งงัน
“ฝ่าบาท เรื่องของฟ้าดินมิใช่เรื่องเด็กเล่นนะขอรับ!”เฉินเซ่ารีบ
เอ่ยค้าน
“พฤติการณ์ท้องฟ้ามิใช่เรื่องล้อเล่น” ฮ่องเต้เอ่ยด้วยท่าทีนิ่ง
เฉย “ฉะนั้นแล้ว หากจันทรุปราคาเกิดขึ้นจริง เราคงต้องทำพิธีบูชา
ขอขมาฟ้าดิน แต่หากไม่เกิดขึ้นล่ะก็…”
ฮ่องเต้เอ่ยถึงตรงนี้พลันลุกยืนขึ้น แล้ววางเอกสารลงบนโต๊ะ
สายตาชำ เลืองไปที่กัวหย่วน
“ก็ลงโทษเขาเสีย”
… เรื่อ
งนี้ยังคงยืดเยื้อไปจนถึงเพลาพลบค่ำ
ฮ่องเต้วางเอกสารลง แล้วหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า
“ฝ่าบาท โปรดระวังพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีสะอื้นเอ่ย
“เสวยอาหารบ้างเถิดขอรับ”ฮ่องเต้ส่ายหน้า
“ฝ่าบาท เสวยอาหารสักนิดเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีทอดถอนใจ
“มื้อเที่ยงฝ่าบาทก็มิได้เสวย มื้อเย็นจะไม่เสวยมิได้นะขอรับ”
“เราผิดพลาดตรงไหนไปหรือ เหตุใดเค้าลางหายนะค่อยๆ
ปรากฏให้เห็น” ฮ่องเต้พึมพำ
ไหนว่าช่วงนี้มีแต่เรื่องดีๆ หลั่งไหลเข้ามานี่นา
ทั้ง
เรื่องอาวุธวิเศษ เรื่องสุขภาพวรกายที่ดีขึ้น ไหนจะเรื่อง
ทายาทในท้อง กอปรเรื่องกวาดล้างพวกขุนนางที่คดโกงและ
ก่อความวุ่นวาย ข่าวคราวเรื่องศึกตะวันตกเฉียงเหนือ ดูๆ แล้วก็
เป็นเรื่องที่น่ายินดีทั้งนั้น
แล้วเหตุใดถึงได้…
“มีจุดไหนตกหล่นไปงั้นหรือ เราก็พยายามเต็มที่แล้ว แต่
สวรรค์ก็ยังอยากจะลงโทษเรา…”ฮ่องเต้ตัดพ้อ
ก่อนหน้าก็สุริยุปราคา แล้วยังจะมีจันทรุปราคาอีก นี่มัน
หายนะชัดๆตอนแรกก็นึกว่าพวกหอสังเกตการณ์คำนวณผิดพลาด
แต่ทว่า…
“จิ้นอันจวิ้นอ๋องว่าอย่างไรอีก”ฮ่องเต้เอ่ยถาม
“ไม่มีแล้วขอรับ พระองค์แค่เอ่ยว่าแม่นางเฉิงเองก็คำนวณ
ออกมาได้ว่าจะเกิดจันทรุปราคาขึ้นขอรับ” ขันทีตอบ
แล้วจันทรุปราคาที่เกิดขึ้น จะนำโชคหรือนำร้ายมาให้ล่ะ
ยังต้องคิดอีกหรือ ก็ต้องเป็นร้ายสิ
ฮ่องเต้ทอดถอนใจ
“หรือว่าจะเรียกแม่นางเฉิงเข้าพบขอรับ” ขันทีเสนอ
ฮ่องเต้ส่ายหน้า
“เรื่องที่ถามไปแล้ว เหตุใดจำ ต้องไปถามซ้ำ ๆ อีก อีกทั้ง
มิใช่นางผู้เดียวเท่านั้นที่คำนวณออกมาได้ ศิษย์ผู้นั้นเองก็คำนวณได้
เช่นกัน อย่างไรเสียมันก็ต้องมีคนคำนวณออกมาได้อยู่แล้ว เอาแต่
ถามซ้ำ ถามซาก มันจะดูไม่งาม สู้เชื่อคำของศิษย์คนนั้น แล้ว
มาลองดูสักตั้งกันยังจะดีกว่า”
ขันทีพยักหน้า“ฝ่าบาท” ขันทีลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่อดไม่ได้ที่จะลองเอ่ยถาม
“ฝ่าบาทคิดว่าศิษย์ผู้นี้จะรู้จักกับแม่นางเฉิงหรือไม่…”
ฮ่องเต้ระเบิดเสียงหัวเราะ
“เราเองก็เคยคิดเช่นนี้ เลยให้คนไปสืบมา” เขาเอ่ยต่อ “กัว
หย่วนมิใช่คนเมือง สมัยก่อนบิดาของเขาเคยได้ดิบดีเพราะคำนวณ
ปฏิทินจันทรคติออกมาได้ เลยได้เข้ามาเรียนรู้ด้านดาราศาสตร์
ตั้ง
แต่อายุหกขวบ ต่อมาพอบิดาด่วนจากไป ไม่มีผู้ใดคอยสอนเขา
เลยต้องเดินทางมาขอวิชาที่เมืองหลวง จึงได้มาเป็นศิษย์ประจำ หอ
สังเกตการณ์ เขาอยู่ที่นั่นมาสามปีแล้ว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แถมยัง
รู้จักกับพวกขุนนางในนั้นแค่ไม่กี่คน จะเอาเวลาที่ไหนไปรู้จักกับ
แม่นางเฉิงกันล่ะ”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ก็ยิ้มหัวเราะ
“ตอนที่แม่นางเฉิงก่อเพลิง ตัวเขาต้องคอยเฝ้าลูกโลก เลยมิได้
สังเกตว่ามีควันไฟเกิดขึ้น”
ก็เลยมิได้เป็นแบบหลี่เม่าที่ได้รับอิทธิพลจากแม่นางเฉิงขันทีหัวเราะตาม คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะพูดติดตลก อย่างน้อย
ก็ได้รู้ว่าฮ่องเต้ยังอารมณ์ดีอยู่
“เห็นทีเรื่องคำนวณพฤติการณ์ท้องฟ้าจะมิใช่เรื่องยากอันใด
นะขอรับ” เขาเอ่ยอย่างขำขัน “นอกจากเฉิงเจียวเหนียงแล้ว ก็ยังมี
คนอื่นที่ทำนายได้อีกขอรับ”
ใช่แล้วล่ะ นอกจากแม่นางเฉิงแล้ว ในวังแห่งนี้ยังมีคนที่
มีความสามารถด้วยเช่นกัน
ฮ่องเต้ยิ้มกริ่มพอใจ
“แม่นางเฉิงก็เป็นแค่คนคนหนึ่ง มิใช่เทพเซียนอย่างที่ใครเขา
ว่ากัน” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ
แต่พอรื่นเริงได้ไม่นาน เขาก็เริ่มถอนหายใจ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร จันทรุปราคาที่เกิดต่อจากสุริยุปราคา ก็คง
มิใช่ลางดี ก็คงต้องรอดูกันต่อไป ว่าหลังจากวันที่สิบห้า จะมีเรื่อง
วุ่นวายอันใดเกิดขึ้น แต่ที่แน่ๆ คือมีการไถ่บาปเกิดขึ้นแน่นอน
บาปอันใด สิ่งใดคือบาปกันแน่
น่าพะว้าพะวังนัก!ฮ่องเต้วางกระดาษกับพู่กันลงบนโต๊ะ แล้วหลับตาอีกครั้ง
แม้ว่าฮ่องเต้จะมิได้เรียกแม่นางเฉิงมาเข้าพบ แต่ใช่ว่าทุกคน
จะวางใจกับเรื่องนี้
“แต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้ก็มิใช่คนที่เด็ดขาด”
ตกกลางคืน เฉินเซ่านั่งบ่นพึมพำในห้องของนายใหญ่เฉิน
“ครั้งนี้ฝ่าบาทกล้ารับคำจากเจ้ากัวหย่วน เจ้านั่นเองก็ช่างกล้า
ที่ยอมสาบานตนด้วยชีวิต เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ฝ่าบาทเองก็คงทราบ
เรื่องมาก่อนและมีแผนรับรองไว้อยู่แล้ว”
นายใหญ่เฉินพยักหน้า
“ถึงแม้เจ้าจะขัดขวางแม่นางเฉิงได้ แต่เจ้าก็ยังขัดขวางผู้อื่น
มิได้อยู่ดี”เขาหัวเราะ
เฉินเซ่าพยักหน้าพลางจิบชา
“สงสัยคงจะมีจันทรุปราคาเกิดขึ้นจริงๆ” เขาเอ่ย “ความหมาย
ของจันทรุปราคาก็คืออับโชค บวกกับสุริยุปราคาที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
ก็บังเกิดเป็นความหายนะซ้ำ ซ้อนน่ะสิ”“เทพแห่งแสงสว่าง นำทางสู่ความโปร่งใส ดั่งผู้มีคุณธรรม”
นายใหญ่เฉินเอ่ยต่อ “แสวงสว่างที่ถูกกลืนกิน ก็เปรียบได้กับความ
มีบุญแต่กรรมบังนั่นแหละ”
เฉินเซ่ารินชาให้นายใหญ่เฉิน พลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“งานหลวงผิดพลาด ฟ้าดินจึงส่งคำเตือน ฝ่าบาทคง
ใช้ความสงบสยบความโกลาหล” เขารีบเอ่ยออกมา “คงพอใช้โอกาส
นี้ได้”
นายใหญ่เฉินยื่นมือรับถ้วยชา พลางยิ้มพราย
… “ที่
แท้ ฝ่าบาททรงเรียกเฉิงเจียวเหนียงเข้าพบด้วยเหตุนี้นี่เอง”
เกาหลิงปอเอ่ย
“มีเพียงแค่ศิษย์ผู้นั้นที่เอ่ยขึ้น หรือว่าแม่นางเฉิงมีส่วนเอี่ยว
ด้วย”
เหล่านางระบำกลับกันไปหมดแล้ว เหลือแต่ขุนนางบางส่วนที่
ยังคงนั่งพูดคุยกันในห้อง“ข้าสืบมาแล้ว มีแค่ศิษย์ผู้นั้นเพียงผู้เดียวที่เอ่ยขึ้น” ขุนนางผู้
หนึ่งเอยขึ้น “พวกคนที่หอสังเกตการณ์ถกเถียงกันเป็นบ้าเป็นหลัง
พอเรื่องไปถึงหูฮ่องเต้ ก็เลยให้คนไปแม่นางเฉิงเพื่อยืนยัน แต่กลับ
ถูกรั้งตัวไว้เสียก่อน ก็เลยให้จวิ้นอ๋องไปถาม ดูเหมือนว่าแม่นาง
เฉิงเองก็บอกไว้ว่าจะเกิดขึ้น ฮ่องเต้เลยรับคำของศิษย์ผู้นั้น”
เกาหลิงปอหยักหน้า
“ข้าก็นึกไปว่าแม่นางเฉิงจะรู้วิธีปั่นป่วนท้องฟ้าได้เสียอีก”เขา
เอ่ยอย่างขำขัน
เหล่าขุนนางหัวเราะชอบใจ
“เรื่องแบบนั้นมีที่ไหนกันเล่า”พวกเขาเอ่ย
“ก็ถ้าเป็นเช่นนั้น คงมีจันทรุปราคาเกิดขึ้นจริงๆ” ขุนนางผู้หนึ่ง
เอ่ยขึ้น “ทั้งสุริยุปราคา และจันทรุปราคา นี่มันลางร้ายเคราะ
ซ้ำ กรรมซัดชัดๆ!”
“ก็อย่างที่กล่าวไว้ งานหลวงผิดพลาด ต้องมาตรวจสอบว่า
ปัญหามันอยู่ที่ใด” เกาหลิงปอหัวเราะ พลางยกตกเกียงทองขึ้นมา
“นี่แหละโอกาส”ทุกคนในห้องต่างมองหน้าแล้วหัวเราะเฮฮาจิบเหล้ากัน
ยกใหญ่