พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 497 ข้อเสนอ
ข่าวการเกิดจันทรุปราคาแพร่ไปทั่ว พาลในชาวบ้านทั้ง
เมืองหลวงไม่เป็นอันสงบสุข
“คราวก่อนก็เป็นเช่นนี้ บอกว่าจะเกิดสุริยุปราคา ผลเป็น
อย่างไรเล่า วันนี้ที่พวกเขาบอกว่าจะเกิดก็ไม่เกิด จู่ๆ ก็มาเกินเอาวัน
อื่นเสียอย่างนั้น ตกใจกันแทบตาย”
“แต่ก็เกิดสุริยุปราคาขึ้นจริง เพียงแต่เวลาไม่แม่นยำก็เท่านั้น
เตรียมการไว้ก่อน ไม่ว่าจะเกิดวันไหนก็ตกใจกันอยู่ดี”
เพราะเคลือบแคลงสงสัยในเหล่าขุนนางหอสังเกตการณ์ทำให้
ความน่าหวาดกลัวลดลงไปยิ่งนัก
แม้จะไม่มีผู้ใดอยากให้เกิดขึ้น แต่วันที่สิบห้าเดือนสิบสองก็มา
ถึง ขณะที่ดวงจันทร์ในวันนั้นค่อยๆ เลือนหาย แม้จะเตรียม
ใจมาก่อนหน้าแล้ว คนบนหอสังเกตการณ์ก็ยังคงโห่ร้องออกมา
อย่างตื่นตระหนกขณะเดียวกันเสียงฆ้องและกลองก็ดั่งสนั่นไปทั่วทั้งเมือง
ก่อนที่ฮ่องเต้จะคุกเข่าก้มกราบก็หันไปมองดูเวลา
ยามโฉ่วสี่เค่อ แม่นยำยิ่งนัก!
กัวหย่วนซึ่งอยู่ในท่าเดียวกัน พอเห็นฮ่องเต้นิ่งไป เขาก็เกือบจะ
สติแตกจนน้ำตาไหลออกมา
ท่านพ่อ ในที่สุดลูกก็ไม่ได้ทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียง
ลูกชายผู้เป็นขุนนางจากหอดูดาวผู้นี้จะไม่ใช่เรื่องขบขันของ
ชาวเมืองอีกต่อไป
กัวหย่วนหมอบกราบตาม
เสียงฆ้องและกลองทั่วทั้งท้องถนนดังอื้ออึงอยู่ในหู แม้แต่เฉิง
เจียวเหนียงเองก็รู้สึกเช่นนั้น
“นายหญิง เช่นนี้ไม่น่ากลัวหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินกระซิบถามอย่า
งอดไม่ได้
“ไม่น่ากลัว แต่กลับน่ายินดีเสียยิ่งกว่า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“น่ายินดีหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินถาม“ฟ้ากำลังบอกอะไรบางอย่างกับคนเรา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็
ค่อยตักเตือนบอกกล่าวอยู่เสมอ เช่นนี้ไม่เรียกว่าน่ายินดีหรือ” เฉิง
เจียวเหนียงเอ่ย ปั้นฉินเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
“ฟ้าไม่กลั่นแกล้งคน ไม่น่ากลัว” นางเอ่ย
“คนต่างหากที่กลั่นแกล้งคนด้วยกันเอง น่ากลัวนัก” ปั้นฉินเอ่ย
เหลียวไปมองเฉิงเจียวเหนียงอย่างปลื้มปริ่ม
เฉิงเจียวเหนียงส่งยิ้มบางให้นาง
“นั่นก็ไม่ได้น่ากลัว ก็เป็นลิขิตฟ้าเช่นกัน” นางเอ่ย
ปั้น
ฉินร้องอ๋อ แม้จะยังไม่เข้าใจนักแต่ก็พยักหน้ายิ้มแย้ม นาง
ยืนอยู่ข้างกายเฉิงเจียวเหนียง มองดูดวงเดือนบนฟ้ายามราตรี
ความหวาดกลัวเลือนหายไปพร้อมกลับแสงสว่างจาก
ทิศตะวันออก เอาชนะปีศาจเทียนโก่ว ปกป้องพระจันทร์จากการถูก
กลืนกินไว้ได้ เสียงฆ้องและกลองเงียบลง ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วย
ความสุขสันต์
แต่ผลที่ตามมาหลังปรากฏการณ์บนท้องฟ้าครั้งนี้กำลังจะ
เกิดขึ้น“ท้องฟ้าแปรปรวน เป็นเหตุมาจากการเมืองอันมิชอบธรรม
ฝ่าบาทได้โปรดขอขมาต่อไพร่ฟ้าด้วยเถิด”
“การเมืองราชสำ นักมิชอบธรรม ก็มิได้หมายความว่ากษัตริย์
ไร้คุณธรรม แต่เหล่าขุนนางทุจริตต่างหากที่ไร้คุณธรรม”
“ที่ขุนนางไร้คุณธรรม มิใช่เพราะกษัตริย์ปกครองไม่เด็ดขาด
หรอกหรือ”
ในราชสำ นักถกเถียงเรื่องนี้กันอยู่นาน อย่าว่าแต่องค์ชายใหญ่
ที่ยืนอยู่ในท้องพระโรงยังอดกระดิกเท้าเล่นเพื่อคลาย
ความเบื่อหน่ายเลย แม้แต่ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เองก็รำคาญอยู่
ไม่น้อย
ดูเถิด สุดท้ายแล้วก็สาดโคลนใส่กันไปมา ผู้ใดก็
ไม่มียอมรับผิด พอเกิดเรื่องก็มีแต่ข้าผู้เป็นโอรสแห่งสวรรค์ผู้นี้ที่ต้อง
รับผิดและถูกลงทัณฑ์!
“รัชสมัยฮ่องเต้เว่ยเหวินปีที่เจ็ดเดือนที่แปด เกิดสุริยุปราคา ปี
ที่แปดเดือนที่สอง ก็เกิดสุริยุปราคาขึ้นอีกหน ดวงดาวบ่งชี้ หากเปิดบันทึกดวงดาวยามที่ฮ่องเต้เว่ยเหวินครองบัลลังก์ดู จะพบว่าเกิด
สุริยุปราคาสิบแปดหน ฮ่องเต้เว่ยเหวินครองราชย์สามสิบปี…”
“นั่นเป็นเพราะฮ่องเต้เว่ยเหวินบำเพ็ญบารมีปกครองบ้านเมือง
โดยธรรม ในตอนนั้นเกิดเหตุอุกาบาตตกที่แถบตงจวิ้น ปฐมกษัตริย์
ประหารชาวบ้านที่เรือนตั้งอยู่ล้อมรอบหินอุกาบาทก้อนนั้น ก่อนจะ
สิ้นพระชนลง ส่วนจิ่งกงที่เห็นพระอังคารสถิต คิดกังวลว่าจะเกิด
หายนะแก่ตน แม้จะมีพิธีกรรมแก้ไขแต่หากผู้อื่นต้องรับเคราะห์แทน
ตน เขาก็มิอาจยอมรับได้ สรวงสรรค์สดับรับฟังความร้อนใจของเขา
ดาวพระอังคารจึงเคลื่อนออกไป”
“หลังจากเกิดสุริยุปราคาในปีนี้ กองทัพตะวันตกเฉียงเหนือก็
คว้าชัยยิ่งใหญ่กลับมา สุขภาพร่างกายของฝ่าบาทก็แข็งแรงขึ้น
เช่นนี้น่ะหรือเรียกว่าฟ้าลงทัณฑ์”
คำนี้ช่างถูกอกถูกใจฮ่องเต้เป็นยิ่งนัก จึงหันไปทางเกาหลิงปอ
ก่อนจะเผยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
บอกแล้วอย่างไรเล่า มิใช่เพราะเราไร้คุณธรรมเสียหน่อย!“ฝ่าบาท เกิตเหตุฟ้าแปรปวนเช่นนี้ ชาวเมืองเสียขวัญยิ่งนัก
ขอพระองค์ทรงโปรดปลอบขวัญไพร่ฟ้าด้วยเถิด” เกาหลิงปอโค้งตัว
ลงแล้วเอ่ย “อดีตกาลมาหากมีอัครเสนาบดีบกพร่องในหน้าที่ ย่อม
ต้องออกแถลงการณ์สำ นึกผิด”
ได้ยินเช่นนั้นเหล่าขุนนางราชสำ นักก็หน้าถอดสี
“แบ่งเบาภารกิจบ้านเมืองของฮ่องเต้ บรรเทาทุกข์ปวงชน คือ
หน้าที่ของอัครเสนาบดี” เกาหลิงปอพูดต่อ พลางหมุนตัวไปทาง
เฉินเซ่า “อำมาตย์เฉินคงไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่”
ออกแถลงการณ์สำ นึกผิดอย่างนั้นหรือ คนอย่างเฉินเซ่าหรือ
จะทำเช่นนั้น!อีกอย่างหากออกแถลงการณ์สำ นึกผิดไปแล้วชาวบ้าน
ชาวเมืองก็ต้องรู้กันทั่ว ผู้ใดจะยอมแบกรับคำครหาด่าทอโดยไม่
มีมูลเหตุเช่นนั้น
ตามนิสัยใจคอของเฉินเซ่าแล้ว ย่อมต้องดึงดันให้ฮ่องเต้ออก
แถลงการณ์สำ นึกผิดเป็นแน่ และไม่มีทางยอมรับว่าเป็นความผิด
ของตนก็เห็นกันอยู่ว่าไม่ว่าจะเป็นกิจการบ้านเมืองหรือเรื่องใน
ครอบครัวของฮ่องเต้นนั้นล้วนมีแต่เรื่องน่ายินดี ฉะนั้นแล้วสวรรค์คง
มิได้ลงโทษฮ่องเต้เป็นแน่ เฉินเซ่าเอ๋ยเจ้ายังจะบีบบังคับฮ่องเต้อยู่อีก
หรือ จิตใจทำด้วยอะไรกัน
แต่หากเขาจำ ใจยอมรับผิดเสียก็ยิ่งดี วันหน้าย่อมมีโอกาส
ใช้เล่นงานเขาได้ ขุนนางทุจริตไร้คุณธรรมเช่นเจ้า มีสิทธิอะไรถึงได้
ครองตำแหน่งสูงส่งเช่นนั้น
ใบหน้าของเกาหลิงปอยิ้มแย้ม แววตาสุกใสเป็นประกาย
ปรากฏการณ์บนท้องฟ้านั่นช่างน่ากลัวนัก แต่ที่น่ากลัวก็เพราะ
ต้องการให้คนกลัว เหมือนดั่งยามที่ฮ่องเต้ฮั่นเฉิงปลิดชีพอัคร
เสนาบดีตี๋ฟางจิ้น
เพียงแค่มีโอกาสไม่ว่าเรื่องใดก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
ใต้เท้าเฉิน ขอโทษด้วยนะที่คราวนี้โอกาสอยู่ในมือของข้าแล้ว
“กระหม่อมไม่อาจทำเช่นนั้นได้!”
เสียงก้องกังวานทรงพลังของเฉินเซ่าดังขึ้นในท้องพระโรงอย่าง
ที่คาดไว้“กระหม่อมมิได้ทำผิด แม้นรับผิดแล้วก็มิอาจปลอบขวัญ
ไพร่ฟ้าที่หวาดหวั่น เหตุนี้เกิดขึ้นเพราะการเมืองราชสำ นักไร้
คุณธรรม”
สีหน้าของฮ่องเต้เริ่มดูไม่สบอารมณ์นัก ความขุ่นเคืองบน
ใบหน้าของเกาหลิงปอก็เริ่มเผยออกมา แต่ทว่าใจกลับลิงโลดยิ่งนัก
“รายงานพ่ะย่ะค่ะ”
วินาทีนั้นเองหัวหน้าสำ นักราชกิจส่วนพระองค์วั่นหลิวฟางที่อยู่
หน้าประตูตำหนักก็ร้องตะโกนขึ้นพลางก้มหัวจรดพื้น
“ฝ่าบาท ชาวเมืองเม่าผิงถนนจิงหนานก่อเหตุอาละวาด
พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อคำนั้นเอ่ยออกไป ทั้งตำหนักก็ตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที
แม้แต่ฮ่องเต้ก็ผุดลุกยืนขึ้นจากบัลลังก์
“วั่นหลิวฟาง เจ้าว่าอย่างไรนะ” เขาตวาดลั่นราวกับไม่เชื่อ
คำพูดเมื่อครู่
วั่น
หลิวฟางล้มลุกคลุกคลานเข้ามา พลางชูสาส์นขึ้นเหนือหัว
“ฝ่าบาท หลิวเสี่ยวถงก่อกบฏที่จิงหนานเม่าผิงพ่ะย่ะค่ะ”“ฤดูร้อนปีนี้ เม่าผิงประสบภัยแล้ง ชาวเมืองอดอยาก ยาม
ฤดูหนาว หิมะตกติดต่อกันเจ็ดวันเจ็ดคืน คนเจ็บคนตายนับไม่ถ้วน
ชาวเมืองเศร้าโศกเพราะความสูญเสีย”
พอได้เห็นสาส์นกราบทูลข้อราชการ มือของฮ่องเต้ก็สั่นเครือ
ไม่หยุด สีหน้าตื่นตระหนกแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด
“เรื่องนี้ เรื่องนี้เหตุใดเราถึงไม่รู้!”
เสียงของฮ่องเต้ดังสะท้าน สาส์นในมือถูกปาออกไป
“ฝ่าบาท เพิ่งตรวจสอบพบเมื่อครู่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อครึ่งเดือนก่อน
เม่าผิงได้ส่งสาส์นขอความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภัยพิบัติแต่กลับถูก
ขัดขวาง” ขุนนางคนหนึ่งก้าวขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้น
“ผู้ใดมันบังอาจ” ฮ่องเต้ตะโกนลั่น
“ขุนนางท้องพระโรงเกาหลิงปอพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางผู้นั้นเอ่ย
เสียงดังฟังชัด
บนในหน้าของเกาหลิงปอที่ยืนอยู่อีกฝั่งไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้จริงอยู่ที่เขารู้ว่าเม่าผิงเกิดภัยจากหิมะ แต่ยามนี้ฮ่องเต้มีแต่
เรื่องรื่นเริงน่ายินดีเข้ามาไม่หยุดหย่อน ยิ่งใกล้จะสิ้นปีแล้วด้วย เขา
จึงผัดผ่อนเรื่องนี้ออกไปก่อนแล้วค่อยกราบทูลทีหลัง อีกอย่างพอ
อ่านความจากสาส์นแล้วก็เห็นว่าภัยพิบัตินั้นมิได้รุนแรง เรื่องก่อ
กบฏยิ่งไม่ได้เอ่ยถึงด้วยซ้ำ
หากหนักหนาสาหัสถึงเพียงนั้น เกาหลิงปอผู้นี้ก็คงไม่โง่
ถึงขนาดยั้งเรื่องไว้หรอก!
ไม่ได้การแล้ว ไม่ได้การแล้ว ต้องมีบางอย่างผิดปกติเป็นแน่
สาส์นที่ส่งมาถึงมือเขาต้องมีปัญหาแน่นอน!
ข้อมูลเหตุภัยพิบัติโดยละเอียดต้องอยู่ในมือของพวกเฉินเซ่า
อย่างแน่นอน!
พวกเขาจงใจชัดๆ!
เกาหลิงปอกระจ่างแจ้งในทันใด แหงนหน้ามองเฉินเซ่า ส่วน
เฉินเซ่าก็มองมาทีเขาเช่นกัน
อำมาตย์เฉินผู้ที่กิริยาเคร่งขรึมมาโดยตลอด ราวกับกำลังยิ้ม
บางอยู่ในตอนนี้ถึงว่าละคราวนี้เฉินเซ่าถึงได้ดื้อดึงอ้างว่าสวรรค์ลงโทษ เป็น
ตายร้ายดีอย่างไรก็จะให้ฝ่าบาทออกแถลงการณ์สำ นึกผิดให้ได้ เขา
ต้องการให้ฝ่าบาทออกแถลงการณ์เสียที่ไหน เห็นได้แน่ชัดว่ากำลัง
วางแผนเช่นเดียวกับเขา หมายจะอาศัยปรากฏการณ์บนฟากฟ้า
ครั้งนี้กำจัดอีกฝ่าย!
ยังมีผู้ใดอีก
สายตาของเกาหลิงปอมองไปยังวั่นหลิวฟางที่ถอยออกไปอยู่
หน้าประตูแล้ว
เรื่องด่วนเช่นนี้ใช่ธุระกงการของขันทีอย่างวั่นหลินฟาง
มารายงานเสียที่ไหน!บังอาจยื่นมือเข้ามาแทรกแซงกิจการราชสำ นัก
ผิดข้อห้ามของขันทีหลวง
หากวั่นหลิวฟางไม่ได้บ้าไปแล้วก็คงต้องมีบางอย่างน่าเย้ายวน
พอให้เขาทำเช่นนี้ได้!
เกาหลิงปอกัดฟันกรอด
เฉินเซ่า!ขุนนางผู้ทรงคุณธรรมเช่นเจ้ากล้าเล่นสกปรกถึงขนาดนี้เชียว
หรือ!
สวรรค์หามีตาไม่!
เกาหลิงปอเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้า ได้ยินเพียงเสียงฮ่องเต้
ดังรำไรข้างหู
แต่ว่าครั้งนี้เขาไม่ยอมแพ้แน่นอน
“ฝ่าบาท สาส์นที่กระหม่อมได้รับมิได้เขียนว่าเหตุภัยพิบัติ
ร้ายแรงถึงเพียงนี้” เกาหลิงปอสูดหายใจลึก เอ่ยเสียงหนักแน่น
แม้จะรู้ดีว่ายามนี้พูดอะไรออกไปก็เปล่าประโยชน์
“ภัยพิบัติร้ายแรงหรือไม่ เราเป็นผู้ตัดสิน!” ฮ่องเต้ตวาดลั่น
“กระหม่อมน้อมรับผิด”
เหล่าขุนนางทั้งราชสำ นักเอ่ยขึ้นโดยพร้อมเพรียง
กระหม่อมน้อมรับผิด กระหม่อมน้อมรับผิด ในที่สุดก็
ยอมรับผิดกันได้แล้วหรือ!
“เกิดสุริยุปราคา ต่อมาเกิดจันทรุปราคา พวกเจ้าก็ยัง
ไม่ยอมรับผิด กล่าวหาว่าเป็นความผิดของเรา ตำหนิว่าเราปกครองบ้าเมืองอย่างไร้คุณธรรม!” ฮ่องเต้ยืนขึ้นแล้วแค่นยิ้มเอ่ย “แต่พอ
เกิดภัยพิบัติใหญ่ กลับปิดบังเรา!จนสวรรค์ทนเห็นไม่ได้!พวกเจ้าช่าง
เป็นขุนนางชั้นยอดของเราจริงๆ!”
เฉินเซ่าโค้งตัวถวายบังคมพลางยกแผ่นไม้ขึ้น
“กระหม่อมขอฝ่าบาทโปรดลงโทษเกาหลิงปอโทษฐานปิดบัง
ฝ่าบาท” เขาเอ่ยเสียงดังลั่น “ฝ่าบาทปกครองแผ่นดินโดยธรรมไร้
ข้อบกพร่อง กระหม่อมขออภัยโทษต่อฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรง
พิจารณา”
ฮ่องเต้มองคนทั้งตำหนักด้วยสีหน้าเย็นชา
“ชาวเมืองยากแค้น ภัยพิบัติเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน สุริยุปราคา
จันทรุปราคา เกิดภัยธรรมชาติเพราะสวรรค์ลงทัณฑ์ คิดว่าเรา
ไม่กลัวบ้างหรือ เราขอรับผิดต่อสรวงสวรรค์ ให้อภัยเจ้า” เขาเอ่ย
เสียงเนิบช้า
เกาหลิงปอทอดถอนใจอย่างทุกข์ระทมอยู่ในใจ
ฮ่องเต้ยอมออกแถลงการณ์สำ นึกผิดแล้ว ขุนนางที่กดดัน
ฮ่องเต้เสียจนตรอกอย่างเขา ก็คงหนีไม่พ้นเช่นกัน ตีห่านไม่ตายไม่หนำซ้ำ ยังถูกแว้งกัดอีกต่างหาก!
ได้ ได้ ฝากไว้ก่อนเถิดพวกเจ้า!
“กระหม่อม น้อมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ออกแถลงการณ์รับผิดหลังจากเกิดเหตุท้องฟ้าแปรปวน
เกาหลิงปอลาออกเพื่อรับโทษ บวกกับข่าวภัยพิบัติหิมะตกและกบฏ
เม่าผิงถูกแพร่ออกไป บ้านเมืองก็กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง
เหตุฟ้าแปรปรวนนั้นเกิดขึ้นพอเหมาะพอเจาะกับเหตุภัยพิบัติ
หิมะตกและกบฏเม่าผิง แม้จะทำให้ชาวเมืองตกใจยิ่งนัก แต่
ความหวาดหวั่นก็เริ่มคลายลง
คนเรานั้นกลัวสิ่งที่ตนไม่รู้ แต่ยามนี้รู้แล้วว่าที่ฟ้าเปลี่ยนนั้น
ต้องการจะบอกสิ่งใด จิตใจก็กลับมาสงบดั่งได้ยกภูเขาออกจากอก
“นี่เงิน”
ภายในเรือนตระกูลเฉิง ณ สะพานอวี้ไต้ จิ้นอันจวิ้นอ๋องมอง
องครักษ์ยกเงินกล่องหนึ่งมาวางบนระเบียง
“หนึ่งพันก้วน แม่นางนับดู”
ปั้น
ฉินและสาวใช้ป้องปากหัวเราะเฉิงเจียวเหนียงเองก็ยิ้มบางออกมาเช่นกัน
ดีใจอย่างที่คาดไว้จริงเสียด้วย!จงใจขโมยเงินเช่นนี้ได้ผล
เหมือนกันนี่
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินเข้ามาในห้องโถงอย่างลำพองใจ
“เพียงแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าเป็นผู้ทำนาย”
เขาเอ่ย “แต่ฮ่องเต้นั้นรู้ดีอยู่แก่ใจ”
“เหตุใดถึงบอกว่าข้าเป็นผู้ทำนาย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ฟ้า
มีกฎของฟ้า ไม่ใช่อยู่ที่ข้าทำนาย”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะ
“เจ้ากัวหย่วนจากหอสังเกตการณ์ซื่อเทียนไถนั่นโชคดีเสียจริง
ได้เลื่อนยศเป็นผู้ตรวจการแล้ว ทำหน้าที่คำนวณดวงดาว ได้บ้านอีก
หลัง ไม่ต้องเช่าบ้านรูหนูนอกเมืองอีกต่อไป” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ผู้คนพากันขนานนามว่าเขาเป็นหลี่ฉุนเฟิงกลับชาติมาเกิด แต่กลับ
ไม่มีใครรู้ว่าหลี่ฉุนเฟิงตัวจริงอยู่ที่นี่”
“องค์ชายพูดจากตลกนัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้ม“ใช่ ใช่ ข้าพูดตลก” เขาเอ่ยพลางเหลียวไปมองเฉิงเจียวเหนียง
“แล้วเจ้าตลกไหม”
ปั้น
ฉินป้องปากหัวเราะ สาวใช้ที่อยู่อีกฝากก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
แต่ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้งพอเห็นว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องกำลัง
ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่นั่งอยู่ในห้องโถงตอนนี้ท่าทางดูผ่อนคลาย
ยิ่งนัก
คราวนี้เขาเป็นคนเตือนให้ฮ่องเต้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ทั้งยัง
บอกให้รู้ว่าเป็นฝีมือของเฉิงเจียวเหนียง บ้านเมืองก็ไม่วุ่นวาย
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวจริงๆ
“ข้ารู้สึกดีนักที่ได้ทำอะไรด้วยตัวเองในครั้งนี้ หากรู้แต่แรกข้า
คงพาลิ่วเกอร์ออกจากวังมาตั้งนานแล้ว” เขาเอ่ย
“องค์ชายคิดว่าตนทำอะไรได้ด้วยตัวเองแล้วอย่างนั้นหรือ“
เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
คราวก่อนคล้ายว่าจะเคยได้ยินประโยคนี้มาแล้วหนหนึ่ง จิ้น
อันจวิ้นอ๋องชะงักไป ราวกับนึกย้อนไปยามที่ตนพูดเรื่องแม่สื่อนางคิดจะทำอะไรกันนะ
“ใช่แล้ว ข้าทำได้แล้ว” เขาเอ่ย แกล้งยักคิ้วหลิ่วตา “ไม่ใช่ว่า
เจ้ามาเป็นแม่สื่อให้ข้าแล้วนะ”
“ไม่” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า พลางมองจิ้นอันจวิ้นอ๋อง “ข้า
เพียงแค่คิดว่า ที่แท้องค์ชายกำลังคิดว่าการเอาผู้อื่นมาเป็นโล่กำบัง
คือการทำอะไรด้วยตนเองหรอกหรือนี่”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องชะงักไป
“เช่นนั้นองค์ชายคิดจะใช้ชิ่งอ๋องปกป้องตัวเองไปอีกนานเท่าใด
ตลอดชีวิตเลยหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยเสียงเนิบ