พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 498 พ้นผ่าน (1)
ข้าใช้เขาป้องกันตัวเองอย่างนั้นหรือ
ข้าอาศัยเขาป้องกันตัวเองอย่างนั้นหรือ
สีหน้าของจิ้นอันจวิ้นอ๋องพลันเปลี่ยนไป
ไม่ ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้น
ข้ากำลังปกป้องเขาต่างหาก ข้ากำลังปกป้องลิ่วเกอร์
“ข้าปกป้องเขา” เขาเอ่ยน้ำเสียงร้อนรน
“ปกป้องอย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงถามน้ำเสียงอ่อนโยน
ปกป้องอย่างไรหรือ
ข้าปกป้องเขาอย่างไรน่ะหรือ
‘เสด็จพ่อ กระหม่อมชวนท่านพี่เล่นด้วย ท่านพี่มิได้เถลไถล…‘
‘…ท่านพี่ ข้าอยู่ที่ตำหนักของท่านตลอด พอถามดูคนอื่นก็บอ
กว่าท่านออกวังไปหาของแทนข้า…‘‘…เป็นเพราะข้าชวนท่านพี่เล่น ท่านพี่ถึงไม่มีเวลาอ่านหนังสือ
…‘
‘…ท่านพี่ อย่าคิดถึงบ้านเลย ข้าเองก็ไม่เคยพบเห็นท่าน
แม่เหมือนกัน…‘
เสียงของเด็กน้อยดังขึ้นในหูไม่หยุด คลายความกังวลให้ผู้อื่น
ทั้ง
ยังปลอบประโลมความโดดเดี่ยวและหวาดกลัวของเขา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้มหน้าลง
ใช่แล้ว อีกคนต่างหากที่ปกป้องเขามาโดยตลอด บอกผู้อื่นว่า
เขามาเล่นเป็นเพื่อนตน ปกป้องอีกคนอย่างนั้นหรือ สู้บอกว่าอีกคน
กำลังปกป้องเขายังจะถูกต้องเสียกว่า สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายยังถูก
ทำร้ายต่อหน้าต่อตาเขาอีกต่างหาก
ต่อหน้าต่อตาเขา เขาได้แต่มองดูอีกฝ่ายถูกทำร้าย จนกระทั่ง
ตอนนี้ก็ไม่อาจทำอะไรเพื่ออีกฝ่ายได้
ปกป้องชิ่งอ๋องอย่างนั้นหรือ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะเยาะตัวเอง
แบบนี้น่ะหรือเรียกว่าปกป้อง“องค์ชาย”
เสียงนั้นดังขึ้นข้างหู
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเหลียวมองตาม ก็เห็นแววตาแสนกังวลของ
ขันที เขาถึงรู้ตัวว่ารถม้าได้จอดลงที่หน้าตำหนักชิ่งอ๋องแล้ว
นี่เขาออกมาจากเรือนของนางแล้วหรือนี่
จิ้นอันจวิ้นอ๋องลุกขึ้นพลางลงจากรถ
เสียงร้องตะโกนดังขึ้นมาจากด้านในตำหนัก จิ้นอันจวิ้นอ๋องยื่น
อยู่ริมทาง มองดูชิ่งอ๋องที่ชูลูกกลมในมือวิ่งไปมา
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เอากำลังอาศัยความสงสารและความ
เอ็นดูของไทเฮาและฮ่องเต้
อาศัยชิ่งอ๋อง เพื่อยับยั้งมิให้พวกเขาวางแผนสมรสของตน
แล้วเขานั้นทำอะไรเพื่อชิ่งอ๋องได้บ้าง
เสียงร้องตะโกนจากอีกฝั่งดังขึ้นอีกครั้ง ชิ่งอ๋องที่ถือลูกกลมอยู่
ในมือล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้น
ขันทีซ้ายขวาหน้าหลังกรูเข้าไปช่วยกันพยุงชิ่งอ๋องให้ลุกขึ้นจิ้นอันจวิ้นอ๋องหยุดฝีเท้าลง มองดูชิ่งอ๋องที่ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่ง
ออกไปอีกครั้ง
ความรักใคร่เอ็นดูเริ่มจางหาย ความสัมพันธ์ก็เริ่มถูกลืมเลือน
เรื่องใดที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นนั้นย่อมไม่มีวันแน่นอน หากต้องการให้ผู้อื่น
เกรงกลัวตน ไม่ถูกผู้อื่นรังแกได้โดยง่าย ตนเองต้องแข็งแกร่งเท่านั้น
มีคนสงสาร สำ หรับราชนิกูลคนหนึ่งแล้วก็เท่ากับมีที่พึ่งพิง
มีคนเกรงกลัว สำ หรับราชนิกูลคนหนึ่งแล้วอาจจะเป็นสิ่งที่อันตราย
ยิ่งนัก แต่ใครจะเถียงว่าความอันตรายนั้นไม่ใช่ที่พึ่งอย่างหนึ่ง
เพราะน่าสงสาร คนอื่นจึงได้เมตตาและตนก็สามารถรับ
ความเมตตานั้นไว้ได้อย่างเปิดเผย แต่หากเป็นคนที่น่าเกรงกลัวแล้ว
คนที่คิดจะทำอะไรกับเขา ก็คงต้องคิดหน้าคิดหลังเสียงก่อน
หากคนผู้นั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ครองบัลลังก์ เขา
อาจจะไม่รักใคร่เอ็นดูตนอีกต่อไป ในทางกลับกันอาจมีเพียง
ความเกลียดชัง
สิ่งเดียวที่ยับยั้งความเกลียดชังได้มีเพียงความเกรงกลัว
“ใครก็ได้เตรียมรถที”จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันหลังแล้วเอ่ยขึ้น
ขันทีผู้ติดตามอยู่ข้างกันหันมามองด้วยความสงสัย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ไปเล่นเป็นเพื่อนชิ่งอ๋องแล้วหรือ
พอได้ยินคำว่าเตรียมรถเหล่าผู้ติดตามก็ได้สติกลับมาก่อน
จะเดินเข้ามาใกล้
“องค์ชายจะไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” พวกเขาถาม
“เราจะไปทำการบ้านแล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “เราเพิ่ง
นึกออกว่ามีการบ้านข้อหนึ่งที่ข้าทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจเสียที จะไป
ขอให้เหล่าท่านอาจารย์สอนเสียหน่อย”
เหล่าขันทีงุนงงขึ้นมาอีกครั้ง
“องค์ชาย เกรงว่าการบ้านขององค์ชายจะทำให้เหล่าท่าน
อาจารย์ตกใจ” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบาง
“มีอันใดน่าตกใจกัน ไม่ใช่ว่าข้าว่าฉลาดขึ้นมาหรอก เพียงแต่
โง่มานานเท่านั้นเอง” เขาเอ่ยราวกับนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างก็ยก
มือขึ้นมา “เตรียมชุดราชสำ นักไว้ ข้าเป็นถึงราชนิกูล ในเมื่อรับบัญชามาจากฮ่องเต้แล้ว ยามนี้ภัยพิบัติเกินขึ้นไม่เว้น กิจการ
บ้านเมืองน่าเป็นห่วง ข้าควรจะเริ่มแบ่งเบาภาระของฝ่าบาทได้แล้ว”
ขันทีมองเขาอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง แววตาก็พลันยิ้ม
ออกมา
“องค์ชาย คนข้างนอกพวกนั้น จะให้โยกย้ายกลับมาเลย
หรือไม่” เขาเอ่ยกระซิบ
“ยัง ยังไม่ถึงเวลา หากพวกเขามาตอนนี้ ข้าคงจัดการไม่ทัน
รอมีโอกาสเสียก่อน” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “โอกาสนี้ไม่นานก็คงมาถึง
แล้ว”
ขณะเดียวกันกุ้ยเฟยที่อยู่ในตำหนักกำลังร้อนรน
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้”
นางเดินวนไปมาอย่างโกรธแค้น
“ไหนบอกว่าเป็นโอกาสดี เล่นงานเฉินเซ่าได้ ทั้งยังจะขอให้
ฮ่องเต้แต่งตั้งรัชทายาทได้ด้วยไม่ใช่หรือ”
เหล่าขันทีรีบร้อนเดินตามเข้ามา ยกชาร้อนให้พลางยื่นตะเกียง
อุ่นมือเพื่อคลายความเดือดดาล“ผลสุดท้ายเป็นอย่างไรเล่า”
กุ้ยเฟยหยุดฝีเท้าลง ปรบมือพลางเอ่ย
“ผลสุดท้ายกลายเป็นว่าโค่นเฉินเซ่าไม่ได้ รัชทายาทก็ไม่ได้
แต่งตั้ง ส่วนเขากลับลาออกเพื่อรับผิดแล้วกลับบ้านไปอย่างนั้นหรือ
!”
“กุ้ยเฟย กุ้ยเฟย กุ้ยเฟยอย่าได้กังวลไปพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าต้อง
ไม่เป็นอะไรแน่นอน”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ กุ้ยเฟย เพียงแค่หลบภัยเป็นการชั่วคราว
เท่านั้น”
“ฝ่าบาทคงไม่ลงโทษใต้เท้าหนักถึงเพียงนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายใหญ่ที่ถูกรั้งตัวเอาไว้ได้ยินดังนั้นก็เบ้ปากก่อน
จะหันหลังเดินจากไป
เหล่าขันทีขานรับพลางถวายบังคมส่งเสด็จในทันใด
“ไม่รู้ว่าทั้งวันนางเป็นกังวลเรื่องใด”
องค์ชายเอ่ยเสียงแผ่วเบาพลางเดินไปทางห้องหนังสือ“ผู้ใดจะถูกโค่นล้ม ผู้ใดจะหนีความผิด ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไร
กับข้า ข้าเป็นองค์ชายใหญ่ เป็นโอสรเพียงคนเดียวของเสด็จพ่อ
ตำแหน่งรัชทายาทจะเป็นของผู้ใดไปได้อีก”
ขันทีคนสนิทพยักหน้าเห็นด้วย
“แม่นางเฉินมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงรายงานของขันทีดังขึ้นจากด้านนอก องค์ชายใหญ่หุบยิ้ม
ลง ก่อนจะนั่งเงียบท่าทางเคร่งขรึม พอเห็นแม่นางเฉินสิบแปดเดิน
เข้าประตูมา ทั้งสองก็คำนับให้กัน
“แม่นางเฉิน ข้าได้ยินคนเล่าลือกันว่า อักษรของแม่นางเฉิงผู้
นั้น
เขียนได้งามที่สุดในโลกหล้า” องค์ชายใหญ่มองนางก็นึกขึ้นได้
จึงเอ่ยออกมา “แต่นางไม่ยอมสอนข้า”
แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มบาง
“องค์ชาย องค์ชายไม่จำ เป็นต้องเขียนอักษรงามที่สุดในโลก
หล้า” นางเอ่ย “สิ่งที่องค์ชายต้องทำคือปกครองไพร่ฟ้าให้
มีที่อยู่อาศัยมีสัมมาอาชีพ ให้ไพร่ฟ้าใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ให้บนโลก
หล้านี้มีคนเขียนอักษรได้งดงามยิ่งกว่านั้น”โลกหล้าอยู่ในกำมือของเขา ช่างน่าตื่นเต้นเสียงจริง
องค์ชายขานตอบรับ ก่อนจะเผยยิ้มบางแล้วพยักหน้าให้ พลาง
ถลกแขนเสื้อแล้วยกมือขึ้น
“เชิญแม่นางเฉิน” เขาเอ่ย
แม่นางเฉินสิบแปดคำนับกลับ แล้วจึงเดินไปที่โต๊ะของตน
พลางยกพู่กันขึ้น
เหตุฟ้าแปรปรวนในครั้งนี้ คนในราชสำ นักบ้างก็ยินดีบ้างก็
ขุ่นเคือง บรรยากาศเทศกาลในเดือนสิบสองจึงซบเซาลงไปมาก
ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากประตูเมืองไปห้าลี้ มีคนสอง
คนกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ตรงข้ามกัน
“ทำนายอย่างนั้นหรือ”
ชายหนึ่งในนั้นแค่นหัวเราะออกมา
“ควนจือ เจ้าหยุดพูดได้แล้ว”
หลูเจิ้งวางจอกเหล้าลง พลางส่งสายตาเตือนเขา
“อย่าคิดว่านี่เป็นโอกาสของเจ้า หากเจ้าฉวยโอกาสนี้เที่ยวไป
บอกว่านางคือคนชั่วที่ทำให้เกิดเภทภัย เจ้าคงไม่รอดแน่”เฝิงหลินไม่เอ่ยคำใด ยกเหล้าขึ้นดื่ม สีหน้าเรียบเฉย
“รู้จักสู้ รู้จักถอย ควนจือ เจ้ารู้ว่าควรพูดอย่างไร แต่ยังไม่รู้ว่า
ยามใดไม่ควรพูด” หลูเจิ้งทอดถอนใจ
เรียนรู้การพูดจากนาง สามปีต่อมา ก็เป็นนางที่ทำให้เขาไม่สา
มารถพูดได้อีกต่อไป
เฝิงหลินกำจอกเหล้า สีหน้าเลื่อนลอย
“วันนี้มาเพื่อเลี้ยงส่ง อย่าพูดถึงเรื่องอื่นเลย” หลูเจิ้งเห็นดังนั้น
ก็เอ่ยขึ้นในทันใด พลางชี้นิ้วไปที่เนื้อย่างตรงหน้า “มา ชิมนี่ดู สามปี
ก่อนที่เจ้าจากเมืองหลวงไป คงไม่ได้ลิ้มรสมานานแล้ว ตอนนี้
เจ้ากลับมาแล้วยังไม่ทันได้เที่ยวเล่นสำ มะเลเทเมาด้วยกันก็ต้อง
จากกันอีกแล้ว”
จากไปคราวนี้ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อใด
จู่ๆ หลูเจิ้งก็รู้สึกปลงอนิจจัง นึกถึงงานเลี้ยงส่งของตนเองเมื่อ
คราวก่อน แถมยังสภาพย่ำแย่กว่าเฝิงหลินในตอนนี้เสียอีก
ฮ่องเต้ส่งขุนนางยศใหญ่ผู้หนึ่งออกจากเมืองหลวง แต่กลับ
ไม่ประหารชีวิตเขา ในตอนนั้นเขาก็รู้ได้อย่างแน่ชัดว่าเกาหลิงปอวางแผนส่งเขาไปยังดินแดนป่าเถื่อนทางใต้เพื่อไม่ให้เขามีหนทาง
กลับมาได้อีก
ในตอนนั้นตัวเขาอยู่ในงานเลี้ยงส่ง ความเจ็บปวดและ
ความหวาดกลัวในใจเขาคงไม่มีผู้ใดเข้าใจได้ แต่พอเขาเงยหน้าขึ้น
พริบตาเดียวทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป
ชีวิตของเขาพลิกผันไปในทันที
ราวกับตายแล้วเกิดใหม่
เพราะแม่นางผู้นั้น
ทำให้คนฟื้นขึ้นมาได้ ทั้งยังทำให้คนตายได้ แถมยังทำให้คน
เดียวกันฟื้นขึ้นมาและพรากชีวิตไปอีกครั้ง