พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 498 พ้นผ่าน (2)
หลูเจิ้งจ้องมองเฝิงหลินที่กำจอกเหล้าอยู่ในมือ แล้วจึงหัน
กลับมามองตัวเอง ภายในใจสับสนวุ่นวาย เขาเหลียวออกไปมองนอ
กร้านอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ทันใดนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนก่อนจะลุก
พรวดขึ้นในทันใด
“เป็นอะไรไป” เฝิงหลินถาม พลางเหลียวมองไปข้างนอกตาม
สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันทีเช่นกัน
ม้าสี่ตัวและรถม้าอีกหนึ่งคันวิ่งมาจากเมืองหลวง ชายหญิง
มากมายหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้าน สาวใช้นางหนึ่งประคองร่างของหญิง
สาวลงจากรถ แม้ในยามฤดูหนาวเช่นนี้นางกลับไม่สวมเสื้อคลุมลง
จากรถ เผยให้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน
แม้ท้องฟ้าจะสดใส แต่ในหน้าหนาวเช่นนี้สายลมยังคงพัดพา
พาลให้คนหนาวเหน็บ
“เจียวเจียว”นายใหญ่โจวลงจากหลังม้าแล้วเอ่ยขึ้น
“เจ้ารออยู่ที่นี่เถิด ไม่ต้องรับเขาไกลถึงสิบลี้ หน้าหนาวเช่นนี้
พวกเขาคงแวะพักกันตลอดทาง วันนี้ถึงเพิ่งมาถึงเมืองหลวง มาทัน
ปีใหม่พอดี”
เขาเอ่ยพลางมองเข้ามาในร้านอาหาร พอสบตาเข้ากับ
เฝิงหลินและหลูเจิ้ง สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด
“รีบไป รีบไป ร้านนี้มีพวกตัวซวยนั่งอยู่ คงเข้าไปไม่ได้แล้วล่ะ”
เขาตะโกนลั่นในทันใด “พวกเรารีบไปกันเถิด แม้แต่ที่นั่งก็คงมีความ
ซวยติดอยู่”
เฝิงหลินลุกพรวดขึ้น
“ควนจือ”
หลูเจิ้งหมายจะคว้าแขนเขาไว้ ทว่าช้าไปก้าวหนึ่ง เฝิงหลิน
จึงก้าวเท้าเดินออกไปแล้ว
นายใหญ่โจวคะยั้นคะยอ แต่เฉิงเจียวเหนียงกลับไม่ยอมขึ้นรถ
ยังคงยื่นนิ่งอยู่ที่เดิม“แม่นางเฉิง ขอถามได้หรือไม่เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าวันใด
จะเกิดเหตุกบกินเดือนกินตะวัน”
เฝิงหลินเอ่ยพลางชี้นิ้วขึ้นบนฟ้า สีหน้าเคร่งเครียด
แม่นางเฉิง ขอถามได้หรือไม่เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าวันใดจะเกิดเหตุ
กบกินเดือนกินตะวันอย่างนั้นหรือ
นี่มันด่ากันซึ่งหน้าชัดๆ
พอคำนั้นเอ่ยออกไปหลูเจิ้งที่เดิมตามติดมาก็ยกมือขึ้นปิดหน้า
อย่างระอาใจ
นายใหญ่โจวส่งเสียงถุย
ปั้น
ฉินก็โมโหจดเลือดขึ้นหน้า
ตอนที่เห็นเฝิงหลินยืนเคารพอยู่หน้าประตูวันนั้นก็นึกว่า
จะสำ นึกผิดแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทำเช่นนี้กับนายหญิง
“ท่านเองย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
พอเอ่ยคำนั้นออกไป เฝิงหลินก็หน้าเปลี่ยนสีในทันที
นายใหญ่โจวหัวเราะลั่น
“เจ้า!” เฝิงหลินก้าวเข้ามาใกล้“ควนจือ” หลูเจิ้งปรามไม่ใช้เฝิงหลินพูดต่อ ทั้งยังโค้งคำนับให้
เฉิงเจียวเหนียง “หลูเจิงคารวะแม่นาง”
เฉิงเจียวเหนียงคำนับกลับ ก่อนจะหันหลังขึ้นรถไป
นายใหญ่โจวตามติดอยู่ด้านหลัง หันมาถลึงตาถ่มปากใส่
เฝิงหลินอีกหน
“ควนจือ” หลูเจิ้งดึงตัวเฝิงหลินที่คิดจะตามออกไป “ควนจือ
อย่าให้มันมากเกินไปนัก”
เฝิงหลินนิ่งเงียบ จ้องมองหญิงสาวที่ขึ้นนั่งบนรถม้าเรียบร้อย
แล้ว
“…ซวยจริงๆ ถึงเจ้านั่นจะออกไปแล้วก็ยังทิ้งความซวยไว้ ได้
เจอหน้า ได้พูดคุย ซวยแท้…”
“เร็วเข้า เร็วเข้า ขับรถให้มันนิ่มหน่อย อย่าให้นายหญิงของ
พวกเจ้าต้องตกใจ…”
นายใหญ่โจวส่งเสียงเดี๋ยวค่อยเดี๋ยวดัง เท้าสะเอวชี้นิ้ว จนคน
ทั้ง
กลุ่มพากันลนลานเขาเป็นท่านลุงของแม่นางผู้นั้น แต่กลับเหมือนผู้ติดตาม
ไม่มีผิด
“หากคนไม่ประพฤติตนดั่งที่สมควร ไม่ว่ากฎหมายบ้านเมือง
หรือกฎสวรรค์ก็จะล่มลสาย ฟ้าดินแปรปวน หากหญิงนางนี้ยังไม่
จากไป ราชสำ นักจะต้องพบกับหายนะเป็นแน่” เขาเอ่ยเสียงเนิบช้า
สีหน้าของหลูเจิ้งเปลี่ยนไป ยื่นมืออกไปคว้าแขนของอีกคนไว้
ตามสัญชาตญาณ ทว่าเฝิงหลินกลับเบี่ยงตัวหลบ
“เฝิงหลิน” หลูเจิ้งเอ่ยเรียกน้ำเสียงร้อนรน
ทว่าเฝิงหลินไม่ได้พุ่งตัวเข้าหานายใหญ่โจวอย่างที่เขาคิดไว้
แต่กลับหันหลังเดินกลับไปยังม้าของตัวเองก่อนจะพลิกตัวขึ้นม้าไป
“ควนจือ” หลูเจิ้งเดินเข้าไปใกล้ด้วยความสับสน
“พี่หลู” เฟิงหลินยกมือขึ้นคำนับเขาบนหลังม้า “เพื่อแผ่นดิน
เพื่อปวงชน อย่าได้ลืมปณิธานเดิมของตน เฝิงหลินขอตัวลา”
หลูเจิ้งยกมือขึ้นคำนับ มองดูเฝิงหลินที่ควบม้ากลับไป
ขบวนรถม้าของเฉิงเจียวเหนียงก็เริ่มเคลื่อนออกไป เฝิงหลิน
ปราดตามองคิดต่างก็ไม่อาจร่วมทางได้
เขายกมือขึ้นคำนับไปทางที่เฉิงเจียวเหนียงมุ่งหน้าออกไป ก่อน
จะสะบัดแส้ม้า ร่างผอมของทั้งคนและม้าควบแซงหน้าขบวนของเฉิง
เจียวเหนียงไป
นายใหญ่โจวถุยส่งท้ายให้กับแผ่นหลังของเฝิงหลินอีกหน
“ไม่สำ นึกบุญคุณ คิดร้ายกลั่นแกล้งผู้อื่น โป้ปดพระเจ้า
แผ่นดิน ฝ่าบาทควรจะตัดหัวเขาเสีย ขอขมาฟ้าดิน” เขาเอ่ยขึ้น
เสียงนั้นดังพอที่เฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ในรถได้ยินอย่างแน่นอน
เขาเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของเฝิงหลินที่ไกลออกไป
ด้านหน้าก็มีขบวนรถม้าควบเข้ามาอย่างเร็วไว
“นายท่าน นายรองเฉิงมาถึงแล้วขอรับ” บ่าวคนหนึ่งจำ หน้า
เขาได้ จึงรีบเอ่ยบอกในทันใด
นายใหญ่โจวถุยออกมาอีกครั้ง
“มาได้เวลาจริงเชียว เรื่องวุ่นวายเพิ่งจะผ่านพ้นไป มาถึง
เจ้าพวกนั้นก็เสวยสุขกันเลย” เขาก่นด่า “สวรรค์หามีตาไม่”แม้เรื่องไต่สวนนายรองเฉิงจะยังคงอยู่ แต่เฝิงหลินนั้นถูกขับ
ไล่ออกไปแล้ว ทั้งยังมีความดีความชอบจากกระสุนหินนั่นอีก แล้วก็
ยังมีประโยคที่ว่าคนพูดไม่ได้ตั้งใจ คนฟังเก็บมาใส่ใจ คนทำไม่ได้ตั้ง
ใจ คนมองกลับเอามาใส่ใจ ผู้ใดจะวางใจได้ว่าจะไม่ถูกหญิงนางนี้
แว้งกัด
เช่นนั้นแล้วพอนายรองเฉิงมาถึงเมืองหลวง ก็แค่ขึ้นศาลต้าหลี่
ให้พอเป็นพิธี หรือว่ายอมรับผิดเสียหรือไม่ก็โยนความผิดให้ใครสัก
คน อย่างเช่นพวกคนที่ศาลาพักม้า สุดท้ายก็คงโดนสั่งสอนเพียงแค่
คำสองคำ ไม่ทันได้ปวดแสบปวดร้อน จากนั้นพอถึงเวลาเลื่อนขั้น
ก็ได้เลื่อนขึ้น พอถึงเวลาร่ำรวยก็ร่ำรวยเพียงแค่นั้น
ใครใช้ให้เขามีลูกสาวเป็นนางกันเล่า!
นายใหญ่โจวก่นด่าพึมพำอยู่ในใจ มองดูรถม้าที่เคลื่อนเข้ามา
“แม่นางเจ็ด รีบดูนั่น นั่นเมืองหลวงอย่างไรเล่า” ฮูหยินรองเฉิน
เลิกม่านขึ้น พลางชี้ไปด้านนอก สีหน้าดูตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก
แม่นางเฉิงเจ็ดเกาะขอบหน้าต่างมองออกไปข้างนอก เมือง
ใหญ่ควันหมอกควันพวยพุ่งในยามฤดูหนาวปรากฏขึ้นเบื้องหน้าลมหนาวที่ปะทะเข้ากับใบหน้าทำให้ความตื่นเต้นลดลง
“ท่านแม่ หนาวจะตายอยู่แล้ว ข้าแสบหน้าจนทนไม่ไหวแล้ว”
นางร้องคร่ำครวญพลางยกมือขึ้นมากุมหน้า
ฮูหยินเฉิงดึงนางเข้ามากอดในอ้อมอก เด็กน้อยอีกคนก็ปีนขึ้น
มาเบียดในอ้อมกอดของคนเป็นแม่
“กลัวอันใดกัน พวกเราจะเข้าเมืองหลวงแล้ว หญิงเจ็ดขี้ผึ้งปัด
แก้มของเมืองหลวงน่ะล้วนแต่ของชั้นเลิศทั้งนั้น พอถึงตอนนั้น
เจ้าอยากได้สิ่งใดก็ย่อมได้ แม่จะเลี้ยงเจ้าให้เป็นดั่งเทพธิดา” นาง
เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เหมือนดั่งเทพธิดาเชียวหรือ แม่นางเฉิงเจ็ดดีใจนักจนเผยยิ้ม
ออกมา
สามแม่ลูกมองออกไปนอกรถ ก็เห็นรถม้าขบวนหนึ่งกำลังควบ
เข้ามาใกล้
“ดูสิ พี่สาวเจ้ามารับพวกเราแล้ว” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยด้วย
ความดีใจ
พี่สาว…แม่นางเฉิงเจ็ดเบ้ปาก มองออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
หญิงสาวบนรถม้ามิได้ปรากฏตัวให้เห็น ชายผู้อยู่หน้าสุด
หน้านิ่วคิ้วขมวดควบม้าเข้ามาแล้วยกมือคำนับให้กับท่านพ่อ
“พวกเจ้ามาช้าเสียจริง” นายใหญ่โจวเอ่ย “คิดว่าจะมาไม่ทัน
บวงสรวงเทพเจ้าเตาไฟแล้วเสียอีก”
นายรองเฉิงส่งเสียงเย้ยหยัน
“ลูกยังเล็ก เดินทางหน้าหนาวเช่นนี้ลำบากนัก” เขาเอ่ย “คง
เทียบกับพวกเจ้าไม่ได้ ที่อยู่สุขสบายในเมืองหลวง”
อยู่สุขสบายอย่างนั้นหรือ
นายใหญ่โจวอยากจะตะโกนด่าเขาให้มันรู้แล้วรู้รอด
พวกเขาที่อยู่ในเมืองหลวงคอเกือบจะหลุดออกจากบ่าอยู่
รอมร่อ!ล้วนแต่เป็นเพราะตัวซวยอย่างพวกเจ้าก่อเรื่อง!
สวมเสื้อขนหมีหรูหราถึงเพียงนี้ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเดินทาง
มาอย่างยากลำบาก หน้าตาอิ่มเอิบเสียยิ่งกระไร เห็นได้ชัดว่านาย
รองเฉิงเดินทางมาอย่างแสนสุขสบาย นายใหญ่โจวได้แต่กัดฟัน
กรอดดี ข้าจะให้พวกเจ้าได้ลิ้มรสการอยู่สุขสบายเช่นพวกข้าดู!
พอคิดได้ดังนั้น นายใหญ่โจวก็ง้างมือขึ้นโดยพลัน แล้วชกไปที่
นายรองเฉิงที่กำลังมองผ่านเขาไปด้วยท่าเย่อหยิง
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มคนที่ควรจะน้ำตาไหล
ดีใจเมื่อได้พบกัน
นายรองเฉิงถูกนายใหญ่โจวที่เกิดจากตระกูลนักรบต่อยเข้า
เต็มหมัดก็ร่วงลงจากหลังม้า
ม้าเองก็ตกใจส่งเสียงร้องจ้าละหวั่น
“ข้าจะต่อยเจ้า คนที่นำความหายนะมาสู่ราชสำ นัก ไม่สำ นึก
พระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้!” นายใหญ่โจวขมวดคิ้วตวาดลั่น
สุขุมหนักแน่นท่ามกลางความวุ่นวาย ก่อนจะชี้นิ้วออกไปข้างหน้า
“มัดตัวมันเดี๋ยวนี้!จับตัวส่งไปที่กรมขุนนาง!”
แม่นางเฉินเจ็ดมองดูเหล่าคนหน้าตาโหดเหี้ยมกรูเข้ามาหา
ท่านพ่อของตน ในหูได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องของท่านแม่ ก่อน
จะมองไปยังเมืองหลวงที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า สุดท้ายก็หยุด
สายตาที่รถม้าฝั่งตรงข้ามที่ไม่ขยับไหวตั้งแต่ตั้งจนถึงบัดนี้ ทั้งยังไม่ผู้ใดปรากฏตัวออกมา ทว่าทันใดนั้นม่านรถที่เคยทิ้งตัวลงก็
กลายเป็นช่องว่างมืดมิดต่อหน้าต่อตาแม่นางเฉิงเจ็ด วินาทีนั้นอูสร
ร้ายกินคนก็ปรากฏตัวขึ้น
เมืองหลวง น่ากลัวยิ่งนัก
แม่นางเฉิงเจ็ดอุดหู ปิดตาลงแล้วกรีดร้องออกมา