พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 511 คำลา
ยามนี้พวกเขากำลังพูดถึงอันตรายที่ต้องประสบพบเจอหลัง
ออกจากเมืองหลวงไป
สี่ปีก่อนเหล่าองค์ชายน้อยออกจากวังไปก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด
กลับมาไม่ได้ ในตอนนั้นองค์ชายพระองค์หนึ่งอายุมากที่สุด องค์
ชายอีกพระองค์หนึ่งก็ล้มป่วย อีกพระองค์หนึ่งก็ยังไม่ลืมตาดูโลก
ฮ่องเต้เพิ่งหายดีได้ไม่นาน เขากลับออกจากเมืองหลวงยาม
บ้านเมืองระส่ำ ระสายเช่นนี้ ทั้งยังเดินทางไปไกลแสนไกล ทั้งยังต้อง
เผชิญหน้ากับเหล่าชาวเมืองผู้ตกทุกข์ได้ยากและโจรกบฏ หาก
จะเกิดเหตุอันใดขึ้นก็คงไม่มีใครแปลกใจ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะ
“ข้าก็กำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่เหมือนกัน” เขาเอ่ยพลางเปลี่ยน
มานั่งขัดสมาธิ “รู้จักนางมาตั้งสี่ปีแล้ว หากไม่มีนาง ข้าคงตายตั้งแต่
สี่ปีก่อนแล้ว”“องค์ชาย คนดีสวรรค์คุ้มครอง จะตายได้อย่างไร หาก
ไม่มีนางก็ยังมีคนอื่น” เขาเอ่ย
“ไม่มีคนอื่น มีเพียงนาง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยสีหน้าแน่วแน่
หมอหลวงหลี่ขมวดคิ้ว
“ในเมื่ออาลัยอาวรณ์แม่นางผู้นั้นเพียงนี้ เหตุใดถึงยังออกจาก
เมืองหลวงเล่าพ่ะย่ะค่ะ” เขาถามออกไปตามตรง
“ข้าอาลัยอาวรณ์เสียที่ไหน หมอหลวงหลี่ ท่านอายุก็มากแล้ว
เหตุใดถึงได้คิดอะไรแปลกพิกลเช่นนี้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องขมวดคิ้วเอ่ย
หมอหลวงหลี่กรอดตามองบน
คนที่แปลกพิกลนั่นแลมักจะกล่าวหาว่าผู้อื่นแปลกเสมอ
พูดได้คำสองคำก็วกกลับเข้ามาเรื่องของแม่นางผู้นี้ แม้แต่
คนโง่เง่าก็ยังดูออกว่าเขามีใจ เขายังจะปิดบังตัวเองไปทำไม
คิดถึงเพียงเท่านั้นก็ได้แต่สะบัดหน้าไปมา ตอนนี้มิใช่เวลา
มาคิดเรื่องของแม่นางผู้นั้น
“องค์ชาย ฝ่าบาทป่วยคราวนี้ เป็นโอกาสดีที่จะใช้เป็นข้ออ้าง
เรียกท่านและชิ่งอ๋องกลับวัง” เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นจิ้นอันจวิ้นอ๋องโบกมือขัดเขา
“ถึงกลับเข้ามาอยู่ในวังก็ไม่มีประโยชน์” เขาเอ่ยพลางมองออก
ไปด้านนอกแล้วเผยยิ้มบาง “วังหลวงมิใช่ที่ที่ปลอดภัยสำ หรับข้า
อีกต่อไป”
“องค์ชาย ฝ่าบาทไม่ได้เป็นอะไร แม้วันหน้าอาจจะ… แต่ก็ยังมี
ไทเฮาอยู่” หมอหลวงหลี่เอ่ย
“แล้วอย่างไรเล่า ถึงไทเฮาจะอยู่ แต่จะอยู่ได้นานกว่ากุ้ยเฟย
หรือ อยู่ได้นานกว่าผิงอ๋องหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเอ่ยแล้วเหลียวไป
มองหมอหลวงหลี่อีกหน “เช่นนั้นแล้วใต้เท้าช่วยคิดหาวิธีได้หรือไม่”
หมอหลวงหลี่มองเขา
“องค์ชาย ข้าเป็นหมอหลวง รักษาคนเป็นอย่างเดียว อย่างอื่น
ทำไม่เป็น” เขาเอ่ยเสียงเนิบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะชอบใจ
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว มิเช่นนั้นตอนนั้นเจ้าคงไม่ช่วยข้าไว้” เขาเอ่ย
“เหตุใดคนตั้งมากมายกลับช่วยข้าไม่ได้เลยสักคน”
หมอหลวงหลี่เอ่ยขัดจังหวะเขาในทันใด“นั่นคนละเรื่องกัน” เขาตาเบิกโพลงยามเอ่ย “โรคของท่าน
ใช่ว่าจะรักษาได้ง่าย นอกเหนือจากข้าคนอื่นคงรักษาไม่ได้”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะอีกครั้ง
“ใช่ ข้ารู้ ข้ารู้ว่าใต้เท้าหลี่มีเมตตาทั้งยังช่ำ ชองวิชาแพทย์” เขา
เอ่ย
พอเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าหัวเราะยกใหญ่ แต่ในใจของหมอ
หลวงหลี่กลับรู้สึกสับสนวุ่นวาย
พริบตาเดียวก็โตถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่
เสด็จพ่อ… เสด็จพ่อ… ช่วยข้าด้วย
ราวกับภาพของเด็กน้อยที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงปรากฏขึ้น
ตรงหน้าอีกครั้ง เสียงพึมพำดังวนเวียน จนเขาไม่อาจใจร้ายวางมือ
แล้วเดินจากไปได้ลงคอ
“บางทียามนี้หากท่านหนีไปให้ไกล อาจจะไม่เป็นอะไร” หมอ
หลวงหลี่โพล่งขึ้น
“อาจจะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเอ่ยพลางยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้น
“แต่ข้าไม่ชอบคำว่าอาจจะสักเท่าไหร่ เรื่องที่ผู้อื่นเป็นคนกำหนดส่วนข้าได้แต่เฝ้าคอย”
“อย่างไรเสียก็ยังมีโอกาสเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง…” หมอหลวงห
ลี่เอ่ยขึ้นในทันใด
“โอกาสอีกครึ่งหนึ่งที่กุ้ยเฟยกับผิงอ๋องจะไม่ฆ่าข้าอย่างนั้น
หรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตะเบ็งเสียงตวาดลั่น
ใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย ภายในห้องที่เคยอบอุ่น
ดั่ง
ยามฤดูใบไม้ผลิก็พลันหนาวเหน็บขึ้นมา
เขาคือจวิ้นอ๋อง
แม้คนที่อยู่เบื้องหน้าเขาจะเคยอ่อนแอตายแหล่มิตายแหล่
ราวกับลูกไก่ตัวน้อย แต่ถึงอย่างไรก็มีสายเลือดของราชวงศ์
หมอหลวงหลี่ชะงักไป
“องค์ชาย ข้าพลั้งปากไป” เขาก้มหน้าคำนับพลางเอ่ย
“ข้าไม่คาดหวังหรือร้องขอให้พวกเขาให้โอกาสนี้แก่ข้าหรอก”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกของชายหนุ่มดังขึ้นจากด้านบน
“ข้ากลัวยิ่งนัก”
ทันใดนั้นน้ำเสียงก็เปลี่ยนไป บรรยากาศก็เปลี่ยนไปเช่นกันหมอหลวงหลี่เงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
กลัวอย่างนั้นหรือ
สายตาของชายหนุ่มจ้องมองไปยังนอกประตู แสงแดดยาม
บ่ายของเดือนสองสาดส่องเข้ามาให้เห็นเพียงแสงสลัวในห้อง
“ใช่แล้ว ข้ากลัวยิ่งนัก คืนวันนั้นข้ายืนอยู่หน้าประตูวัง มองดู
วังหลวงอันมืดมิด ข้ากลัวยิ่งนัก”
หมอหลวงหลี่เข้าใจในทันใด
“น่ากลัวเสียยิ่งกว่าสิ่งต้องพบเจอยามออกจากเมืองหลวงไป
เชียวหรือ น่ากลัวเสียยิ่งกว่าฝูงหมาป่าที่อันตรายกว่านับร้อยเท่าเลย
หรือ” เขาเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
“ใช่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า “ออกจากเมืองแล้วต้องพบเจอ
สิ่งใด ข้ายังพอคาดการณ์ได้ ที่สำ คัญที่สุดคือข้าสามารถชักดาบของ
ตัวเองออกมาได้ เมื่อดาบฟันมาก็ป้องกันดาบ เมื่อธนูยิงมาข้าก็
ป้องกันธนู ยามมีคนมาเยือนข้าก็ต้อนรับ ยามมีคนคิดจะฆ่าข้า ข้าก็
ฆ่ามันเสีย แต่คืนวันนั้น วินาทีนั้นหน้าวังหลวง แม้ข้าจะมีดาบอยู่กับ
มือก็ไร้ประโยชน์ นอกจากรอแล้วก็ทำอะไรไม่ได้เลย”หมอหลวงหลี่ทอดถอนใจ
“เพราะอย่างนั้นข้าถึงได้กลัว”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องกางฝ่ามืออันสั่นเทาออกพลางกางแขนเสื้อ
กว้างแล้วยืนขึ้น
“ที่ข้ากลัวมิใช่ภยันอันตราย อันตรายนั้น ข้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ที่แท้สิ่งที่ข้ากลัวคือตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้เลยยามพบเจอกับอันตราย
ต่างหาก”
“เพราะอย่างนั้นให้ข้าออกจากวังหลวงไปฟาดฟันกับภยัน
อันตรายยังจะดีเสียกว่า ข้าไม่อยากนั่งสบายใจอยู่ในเมืองหลวง รอ
ถึงวันหนึ่งจู่ๆ ก็ถูกเรียกเข้าวังอย่างงุนงง แล้วจ้องมองผิงอ๋องนั่งอยู่
บนบัลลังก์”
“ตอนข้าอายุได้ห้าขวบจู่ๆ ก็ถูกพาเข้ามาในวัง จู่ๆ ก็เห็นท่าน
พ่อท่านแม่จากไป จู่ๆ ก็ถูกพวกเขารักใคร่เอ็นดู จู่ๆ ก็ถูกพวกนาง
เกลียดชัง”
“ครั้งนี้ข้าไม่อยากได้แต่มองดู ดูเหมือนว่าข้าจะตัดสินใจทำ
อะไรได้ด้วยตนเอง ดูเหมือนว่าข้าสามารถโน้มนำมากมายหลายเรื่อง แต่ความจริงแล้วนั่นเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะเรื่องเหล่านั้น
ขึ้นอยู่กับคนอื่น แต่พอเกิดเรื่องขึ้นกับตัวเอง ดังเช่นคืนวันนั้น ข้าไม่มี
สิทธิ์แม้แต่จะเข้าไปในวัง”
พูดถึงเพียงเท่านั้นจินอันจวิ้นอ๋องก็ยิ้มออกมาแล้วหันไปหา
หมอหลวงหลี่
“นางนั่นแหละเป็นคนที่ถามว่าข้ารู้สึกว่าข้าทำอะไรได้ด้วย
ตนเองแล้วหรือ ดูสิ เหมือนกับสี่ปีก่อนไม่มีผิด เป็นนางที่คอยย้ำ
เตือน คนที่ช่วยข้าคือนาง ไม่ใช่ผู้อื่นแต่อย่างใด”
หมอหลวงหลี่เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
“องค์ชาย” เขาเงยหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นแม่นางเฉิงอาจช่วย
ท่านได้”
“ช่วยข้าอย่างนั้นหรือ นางช่วยข้ามาตลอด อ๋อ ไม่สิ นางช่วย
คนไว้มากมาย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเอ่ย “คนพูดไม่คิดอะไร คนฟังเก็บ
มาใส่ใจ”
“องค์ชาย ท่านรู้ดีว่าข้าหมายความว่าอย่างไร!” หมอหลวงหลี่
เอ่ยคิ้วขมวด “หากนางพอจะทำอะไรได้บ้าง เช่นใช้เคล็ดวิชาของเทพเซียนที่นางช่ำ ชองอะไรพวกนั้น ทำให้กุ้ยเฟยและผิงอ๋อยทำร้าย
ท่านไม่ได้…”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะยกใหญ่อีกครั้ง เขาหยุดหัวเราะพลาง
จ้องมองหมอหลวงหลี่แล้วส่ายหน้า
“หมอหลวงหลี่ ข้าเคยบอกว่าท่านนั้นช่างมีเมตตา” เขาเอ่ย
สายตาของเขาที่มองมาพาลให้หมอหลวงหลี่เก้อเขิน
“แม้ข้าจะมีเมตตา แต่ก็ไม่ใช่คนโง่เง่า” เขาเอ่ยเสียงขุ่นเคือง
“ข้าไม่ได้คิดว่านางจะเปลี่ยนใจคนที่ทำร้ายท่านถึงสองหน ทั้งยังเป็น
คนที่ท่านจับได้คาหนังคาเขาว่าเป็นคนทำร้ายน้องชาย ข้า
หมายความว่าพอจะมีวิธีใดที่จะทำให้เขาหวาดกลัว หยุดยั้งพวกเขา
มิใช้ทำการนั้นได้”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องคลี่ยิ้ม
“สิ่งที่แน่นอนที่สุด สิ่งที่ทำให้มนุษย์จิตใจสงบมากที่สุด ทั้งยัง
เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุด นั่นก็คือความตาย” เขาเอ่ย “มีเพียง
ความตายเท่านั้น”คราวนี้น้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง ใบหน้ายกยิ้ม แต่หมอหลวงหลี่
กลับรู้สึกปวดร้าวไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
“นี่เป็นปัญหาของข้า”
เสียงพูดของชายหนุ่มดังขึ้นต่อเนื่อง
“หากข้าต้องการความช่วยเหลือจากนาง ข้าจะไปบอกกับนาง
เอง บอกกับนางอย่างตรงไปตรงมา ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ
ความเป็นความตายข้าและผู้อื่น ไม่เกี่ยวข้องกับนาง นางไม่
จำ เป็นต้องรู้ ยิ่งไม่จำ เป็นต้องช่วยเหลือข้า ใต้เท้าหลี่เองก็เช่นกัน”
ข้าหรือ หมอหลวงหลี่เงยหน้าขึ้นมองเขา
“ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงได้เชิญท่านมารักษาข้า จ่ายยาให้
ข้า ก็เพียงเท่านั้น เป็นปัญหาของข้าเพียงเท่านั้น” จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
อมยิ้ม “เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน ความเป็นความตายนี้
ไม่เกี่ยวกับท่าน ไม่เช่นนั้นแล้วจะเป็นการไม่ยุติธรรมต่อพวกท่าน”
หมอหลวงหลี่จ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทอดถอนใจ
ออกมาเบาๆ“องค์ชาย บนโลกนี้ มีความยุติธรรมเสียที่ไหนกัน” เขาเอ่ย
เสียงแผ่วเบา
“มีสิ” จิ้นอันจวิ้นอ๋อง “อยู่ในใจของตนเอง”
หมอหลวงหลี่มองอีกครั้ง สุดท้ายก็พ่นลมหายใจยามออกมา
แล้วโค้งคำนับ
“เช่นนั้นวันนี้ หลี่ซิวขออวยพรให้องค์ชายเดินทางปลอดภัย
คว้าชัยกลับมาเป็นการล่วงหน้า” เขาเอ่ยก่อนจะชะงักไป
“สมปรารถนาทุกประการ”
เรื่องที่เขาจะเดินทางไปยังเม่าผิงนั้น หากเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้
สำ เร็จแล้วคนอื่นก็กลายเป็นเรื่องง่าย แต่ที่ยุ่งยากอยู่ไม่น้อยก็คือ
การดูแลชิ่งอ๋อง
“จะให้อยู่ที่ตำหนักชิ่งอ๋องได้อย่างไร” ไทเฮาเอ่ยพลางเช็ด
น้ำตา
“ไทเฮา” จิ้นอันจวิ้นอ๋องคลานเข่าอยู่ข้างไทเฮา แววตานั้นแสน
ซื่อตรง “เขาเป็นถึงชิ่งอ๋องแล้ว ย่อมต้องอยู่ที่ตำหนักชิ่งอ๋อง”“หยุดพูดเช่นนี้กับข้าเสียที!” ไทเฮาขมวดคิ้วเอ่ย “เขาเป็น
ชิ่งอ๋องก็จริง แต่ก็เป็นลิ่วเกอร์ของข้าด้วย”
“ไทเฮา” จิ้นอันจวิ้นอ๋องกอดแขนนาง “หากไทเฮารักชิ่งอ๋อง
จริง โปรดให้เขาอยู่นอกวังต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ ชิ่งอ๋องชอบวิ่งเล่น
กระหม่อมสร้างสนามผืนใหญ่ให้เขาเล่นได้ตามใจ มีคนอีกนับร้อย
เป็นเพื่อนเล่นเขา”
“พูดจาเหลวไหลเสียจริง แล้วในวังหลวงไม่มีหรืออย่างไร”
ไทเฮาขมวดคิ้วเอ่ยอย่างขุ่นเคือง
“ไทเฮา อยู่นอกวัง เขาเป็นอิสระ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
ไทเฮาโมโหยิ่งกว่าเดิม
“ในวังนี้มีผู้ใดกล้าดีเหนี่ยวรั้งอิสระของเขา!” นางเอ่ยเสียง
เกรี้ยวกราด ยกมือผลักจิ้นอันจวิ้นอ๋องออก
จิ้นอันจวิ้นอ๋องกอดแน่นไม่ยอมปล่อย
“ไทเฮา ชิ่งอ๋องเองก็คงไม่อยากเหนี่ยวรั้งอิสระของผู้ใด!” เขา
เอ่ย “ไทเฮา ชิ่งอ๋องไม่รู้สึกตัว ไม่ว่าจะอยู่ในวังหรืออยู่ที่ตำหนัก
หรือว่าจะอยู่ในป่ารกร้าง สำ หรับเขาแล้วก็เหมือนกันทั้งหมด ไทเฮามันเหมือนกันทั้งหมด ไทเฮา เพียงแต่คนอื่นมิได้คิดเช่นนั้น เหล่า
องค์หญิงเองก็เติบใหญ่แล้ว ช่วงฤดูผลิเหมาะแก่การออกมาวิ่งเล่น
นัก พระสนมอันก็ตั้งครรภ์ ต้องระวังสุขภาพ ฮ่องเต้เองก็ล้มป่วยทั้ง
ยังต้องกังวลเรื่องงานราชสำ นัก…”
“ไทเฮา หากมีท่านอยู่ ไม่ว่าชิ่งอ๋องจะอยู่ที่ใดก็สุขสบาย” จิ้น
อันจวิ้นอ๋องพูดต่อพลางเขย่าแขนไทเฮา “ยิ่งไปกว่านั้น กระหม่อมได้
เชิญแม่นางเฉิงมาแล้ว”
แม่นางเฉิงอย่างนั้นหรือ
“เชิญนางมาทำไมกัน” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วถาม “นางก็ไม่ยอม
รักษาชิ่งอ๋องอยู่ดี”
“ไทเฮา มิใช่ว่าไม่รักษาแต่นางรักษาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” จิ้นอันจวิ้น
อ๋องเอ่ยแก้ต่าง
ไทเฮาส่งเสียงฮึดฮัด
“ก็แล้วจะเชิญนางมาทำไมเล่า!” นางเอ่ย
“แม้นางจะรักษาไม่ได้ แต่นางก็เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ ทั้งยังมี
เคล็ดวิชาจากเทพเซียน…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะชอบใจไม่ทันพูดจบ ไทเฮาก็ถุยออกมา
“เจ้าพูดถึงเรื่องไล่ภูตผีปีศาจใช่หรือไม่” นางเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะยกใหญ่
“ไทเฮา บัณฑิตมิพูดเรื่องผีสางเทวดา” เขายิ้มเอ่ย
“ข้าเป็นหญิงมิใช่บัณฑิต” ไทเฮาเอ่ย
“ไทเฮาล้อกระหม่อมเล่นอีกแล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลาง
หัวเราะ
ไทเฮาถลึงตาใส่เขา สุดท้ายก็ทำได้เพียงยกนิ้วดันหน้าเขาด้วย
ความหงุดหงิด
“เจ้านี่จริงๆ เลย” นางเอ่ย “ไม่รู้ว่าไปเอาเยี่ยงอย่างจากผู้ใด
ถึงได้นิสัยเช่นนี้ อยู่ดีไม่ว่าดี อยากจะไปลำบากกายลำบากใจ”
“ฝ่าบาทเคยบอกว่ากระหม่อมเหมือนไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นอัน
จวิ้นอ๋องเอ่ยสีหน้าจริงจัง
ไทเฮาหัวเราะออกมาในที่สุด ก่อนจะฟาดเขาไปทีหนึ่ง หัวเราะ
ได้พักหนึ่งก็เงียบไป ก่อนจะหันไปหาข้ารับใช้“พวกเจ้าพาคนไปที่ตำหนักชิ่งอ๋อง” นางเอ่ย “ไปดูแลชิ่งอ๋อง
แทนข้าที”
เหล่าข้ารับใช้ขานรับพลางถวายบังคม
ถึงได้บอกอย่างไรเล่า ไม่มีสิ่งใดต้องอาลัยอาวรณ์ มีแต่ควรค่า
หรือไม่ต่างหาก
มองดูไทเฮาเรียกคนเข้ามา เหล่าข้ารับใช้ฟังรับสั่ง รอยยิ้มบน
มุมปากของจิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคงไม่จางหาย ราวกับแข็งทื่อไม่ขยับ
เสียมากกว่า