พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 513 ไปพบ
วันที่สามของเดือนสอง อากาศในเมืองหลวงยังคงเหน็บหนาว
และอึมครึม
“จวิ้นอ๋องกลับตำหนักแล้ว”
คนของตำหนักชิ่งอ๋องค้อมกายต้อนรับพร้อมเสียงรายงานนั้น
มองจิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับมาจากการประชุมในวัง ขันทีที่ตามหลังเขา
มาติดๆ ชูราชโองการในมือขึ้นสูงเพื่อแสดงถึงความเคารพ
“ฝ่าบาท จะเดินทางเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในห้องโถงจิ้นอันจวิ้นอ๋องปลดเสื้อกันลมออก กางแขนให้
นางกำนัลผลัดอาภรณ์เป็นชุดเดินทาง
“คล้อยบ่ายก็ไป” จิ้นอันจวิ้นอ๋องบอก “พาทหารรักษาพระองค์
มารวมกับทัพกวนซีด้วย”
ถอดเสื้อผ้าออกแล้วใส่ตัวใหม่ไป รัดเข็มขัดเส้นใหญ่ จิ้นอัน
จวิ้นอ๋องโบกมือขึ้น บรรดานางกำนัลก็ค้อมกายออกไป“ฝ่าบาท กองทัพเหลยเชียนจะรวมทัพกับทัพกวนซีก่อน
จึงเดินทางมาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยเสียงเบา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบางพลางพยักหน้า
“หลายปีมานี้ลำบากพวกเขาวิ่งเต้นอยู่ข้างนอกแล้ว” เขาเอ่ย
ขันทียิ้มขานรับว่าไม่กล้า เห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องถือกล่องขึ้น
มาจากรั้วศาลา หยิบบางอย่างออกมาจากด้านในนั้น
นี่เป็นของที่ได้มาจากเรือนแม่นางเฉิงวันนั้น เขากอดมันไว้
ตลอดทางดั่งของล้ำค่า กลับมาก็ใส่กุญแจเอาไว้อย่างดี
ไม่รู้ว่าเอามาบรรจุอยู่ในถุงหอมใบยาวที่แขวนไว้กับเอวตั้งแต่
เมื่อใด
“ฝ่าบาท นี่คืออะไรหรือ” เขาถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ของขวัญที่เอานกหวีดสองอันไปแลกมาน่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
ยิ้มตอบ
นกหวีดสองอันรึ
ขันทีเบิกตาโต“ชิ่งอ๋องเล่า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยถาม พลางจัดเสื้อผ้าสาวเท้า
ยาวๆ เดินออกไป
ชิ่งอ๋องเล่นมาตลอดทั้งเช้า หลังจากอาบน้ำล้างหน้าล้างตา
แล้วก็มานั่งทานมูมมามอยู่หน้าโต๊ะไม่ได้สนใจคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง
เลยสักนิด
“ลิ่วเกอร์”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยื่นมือไปลูบศีรษะเขา
“พี่จะไปแล้วนะ คงประมาณครึ่งปีกว่า หรือไม่ก็ปีหนึ่งจึงจะได้
กลับมา เจ้าอยู่ตำหนักก็เป็นเด็กดี อย่าได้กลัวไป มีคนดูแลเจ้า
มากมายนัก”
ชิ่งอ๋องอืออาออกมาสองคำ นี่แน่นอนว่าไม่ได้ขานรับที่จิ้นอัน
จวิ้นอ๋องพูดอยู่แล้ว
“ลิ่วเกอร์”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองซ้ายมองขวา ขันทีและนางกำนัลในตำหนัก
ออกไปกันตั้งนานแล้ว เขายื่นมือไปแกะถุงหอมออก แล้วหยิบ
กระบอกไม้ไผ่ออกมา“เจ้าดูสิ นี่เป็นสิ่งที่นางให้ข้า”
ครานี้ชิ่งอ๋องหันมามอง ยื่นมือจะคว้า
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบชูขึ้นสูงหลบเขา
“อันนี้เจ้าเล่นไม่ได้ อันตรายเกินไป” เขายิ้มบอก
ชิ่งอ๋องไหนเลยจะยอมฟัง ทั่วทั้งร่างโถมเข้าใส่ร่างเขา
เสียงหัวเราะดังขึ้นภายในตำหนัก
เขานั่งตัวตรง มองชิ่งอ๋องที่เขาใช้ของอย่างอื่นมาล่อให้ไม่สนใจ
กระบอกไม้ไผ่แล้วถอนหายใจออกมา แขวนถุงไว้บนร่างให้เรียบร้อย
“ฝ่าบาท ได้เวลาแล้ว”
ขันทีด้านนอกเอ่ยเตือนขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องลุกขึ้นยืน มองชิ่งอ๋องที่ถูกนางกำนัลจับจูงให้
ลุกขึ้น
“ฝ่าบาท ท่านไปอย่างวางใจเถิด ชิ่งอ๋องมีพวกเราดูแลแล้ว”
นางกำนัลอาวุโสอมยิ้มบอกพลางมองชิ่งอ๋อง “ฝ่าบาทชิ่งอ๋อง ทูลลา
จวิ้นอ๋องเร็วเข้า”
ชิ่งอ๋องไม่สนใจ ก้มหน้าเล่นลูกกลมไม้ในมือจิ้นอันจวิ้นอ๋องเข้าไปยกมือกอดเขา
ใช่ คนแบบนี้ คนที่สนิทสนม จึงได้คิดอยากจะกอด เพราะ
วางใจ หรืออีกนัยหนึ่งคือจริงใจน่าไว้ใจ สามารถแสดงส่วนที่
อ่อนโยนที่สุดในทรวงออกมาให้เขา…และนางได้ทั้งหมด
“ข้าไปแล้วนะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย สัมผัสชิ่งอ๋องที่ดิ้นหนีด้วย
ความรำคาญ คลายมือลงแล้วหันหลังเดินออกไป
หอเต๋อเซิ่งในเดือนสองนี้อบอุ่นดั่งวสันตฤดู
ในระเบียงที่ประดับประดาอย่างพิถีพิถัน เสียงสาบเสื้อเสียดสี
กันนี้หยุดลงอย่างรวดเร็ว
“ท่านสาว”
ชุนหลิงมองแม่นางจูที่หยุดฝีเท้าลง เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“วันนี้ข้า…” แม่นางจูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หันหลังไป “ไม่รับแขก”
ชุนหลิงถลึงตาโตด้วยความตกตะลึง
“ท่านสาว” นางรีบเอ่ยเรียก “แต่ว่า ท่านชายฉินสิบสามก็อยู่
ด้วยนะเจ้าคะ”
แม่นางจูยกเท้าเดินกลับไปตามทางแล้ว“อีกเจ็ดวันกรมธรรมการก็จะมีการสอบแล้ว” นางเอ่ย หันไป
มองที่นั่งพิเศษทางด้านสะพานระเบียง “เหตุใดจึงเปรมปรีในเวลานี้
ได้”
นี่มันไม่เกี่ยวกับเจ้า!
ชุนหลิงก่นด่าในใจ
เห็นได้ชัดใจนางคิดอยาดจะไปดูแท้ๆ มิฉะนั้นตอนที่แม่ใหญ่
บอกว่าคนที่มามีใครบ้าง นางคงไม่ถึงขนาดยังไม่ทันจะแต่งหน้า
เสร็จก็รีบร้อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นนี้หรอก!
ยามนี้ยังจะมาเสแสร้งเพื่ออะไรอีก!
“ท่านสาว” นางรีบตามไป กะพริบตาที่มีน้ำตาคลอหน่วย
“แต่ว่าเกิดเขาตั้งใจมาพบท่านพี่โดยเฉพาะเล่า”
“เหลวไหล!” แม่นางจูขมวดคิ้วตวาด
ชุนหลิงรีบก้มหน้าอย่างขลาดกลัว
เห็นท่าทางของนาง แม่นางจูจึงเอ่ยเสียงอ่อนลง
“อย่าได้พูดจาเหลวไหลเช่นนี้ จะทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงเอา
ได้” นางบอกชุนหลิงเงยหน้ามาแล้วพยักหน้า
“ท่านสาว ดีต่อเขาจริงๆ เจ้าค่ะ” นางบอก
แม่นางจูแย้มยิ้ม
“ในสถานที่เริงรมย์ของเรา แม้ว่าจะมีจริงใจบ้างหลอกลวงบ้าง
ปะปนกันไป แต่อย่างน้อยในตอนที่เจอแขก เจ้าต้องจริงใจ” นาง
บอก “ก็คือเล่นละครก็ต้องเล่นให้สมจริงสมจัง ให้คุ้มค่ากับเงินของ
ลูกค้า”
ชุนหลิงพยักหน้า มองแม่นางจูเดินไปทางด้านใน ความอบอุ่น
ในแววตามลายหายไป ความไม่แยแสเข้ามาแทนที่
เล่นละคร มีเจ้าคนเดียวที่ทำเป็นหรือไร
อีกทั้งละครของเจ้าแสดงได้ปลอมเสียไม่มี!
ชุนหลิงมองประตูที่ถูกปิดลง สายตาเป็นประกายวาบ หันหลัง
สาวเท้าไปทางสะพานระเบียง
นางเปิดประตูออก เสียงหัวเราะพูดคุยภายในที่นั่งพิเศษดัง
กระแทกหน้า“…ไม่ว่าจะมีคำถามใด ก็ขาดสถานการณ์การเมืองปัจจุบันไป
ไม่ได้…”
เพราะประตูได้เปิดออกเสียงจึงหยุดชะงักไป เหล่าท่านชาย
บัณฑิตภายในห้องต่างหันมามอง
ชุนหลิงคุกเข่าลงอย่างขลาดกลัว
“แม่นางจูบอกว่าวันนี้ไม่พบแขกเจ้าค่ะ” นางบอก
ประโยคนี้ทำให้คนภายในโถงต่างไม่พอใจ
“กว่าพวกเราจะออกมาได้ ก็เพื่อจะฟังเสียงฉินฆ่าเวลาให้ผ่อน
คลายอารมณ์สักพัก” มีคนเอ่ยขึ้น
“แม่นางน้อยบอกว่า ยินดีกับท่านชายทุกท่านที่สอบผ่าน
เจ้าค่ะ” ชุนหลิงคำนับบอก “รอให้การสอบใหญ่ผ่านพ้นไปก่อน ยินดี
จะร่ายรำให้แก่ทุกท่าน”
คนภายในห้องต่างหัวเราะกันออกมา
“แม่นางจูนี่เป็นอาจารย์ที่เข้มงวดเสียจริง”
“สมกับเป็นแม่นางจู จิตใจจดจ่ออยู่แต่การร่ำเรียนหลัก
คุณธรรม”ไอ้พวกโง่ที่คิดเองเออเอง!
ชุนหลิงยิ้มเยาะอยู่ในใจ พลางเงยหน้าขึ้น ไม่เห็นท่านชายท่าน
นั้น
ท่ามกลางผู้คนที่กำลังหัวเราะกันอยู่ นางตกตะลึงมองซ้ายมอง
ขวา
ข้างหน้าต่างที่ติดกับถนน ท่านชายฉินสิบสามถือจอกสุราพิง
หน้าต่างทอดมองไป คล้ายว่าไม่ได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยภายใน
ห้องเลย
“พวกเจ้ามาดูสิ” เขาโพล่งขึ้น ยกมือชี้ไปด้านนอก
คนที่หัวเราะพูดคุยอยู่จึงเข้ามารุมล้อม มองไปยังถนนใหญ่
ทหารรักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งเดินมาตามถนน ด้านหลังพวกเขาเป็น
รถม้าโอ่อ่าใหญ่โตของราชวงศ์
“เป็นผิงอ๋อง!” มีคนเอ่ยขึ้น
“วันนี้จิ้นอันจวิ้นอ๋องเป็นทูตนิรโทษกรรมแก่พวกกบฏเดินทาง
ไปยังถนนเม่าผิง ฮ่องเต้รับสั่งให้ผิงอ๋องเป็นตัวแทนส่งเสด็จ”
ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยขึ้น“ใช่แล้ว จิ้นอันจวิ้นอ๋องไปขอรับสั่งไปยังถนนเม่าผิงด้วยตัวเอง
เลย”
“คิดไม่ถึงจริงๆ เด็กรับเลี้ยงคนนี้กล้าหาญอยู่ไม่น้อยทีเดียว”
คิดไม่ถึงอย่างนั้นรึ
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะเสียงเย็น หรือว่าเด็กรับเลี้ยงคนนี้
อาศัยแค่การรับเลี้ยงก็ปลอดภัยสงบสุขอีกทั้งยังมีชีวิตที่ได้รับความ
โปรดปรานล้นหลามมาจนถึงปัจจุบันกัน
“…แบ่งเบาภาระฝ่าบาท ปลอบขวัญปวงประชา จวิ้นอ๋องเป็น
แบบอย่างได้ดีเลยทีเดียว…”
ประโยคนี้ดังเข้าโสตมา ท่านชายฉินสิบสามก็ยิ่งหัวเราะ
มากกว่าเก่า
แบ่งเบาภาระต่อฝ่าบาท ปลอบขวัญปวงประชา น่าเชื่อกับผีน่ะ
สิ ทำเพื่อตัวเองเสียมากกว่า ดูท่าแล้วต้องเป็นเพราะฮ่องเต้ที่จู่ๆ ก็
ล้มป่วยในวันนั้นทำเอาเขาตกใจเป็นแน่ รู้ว่าความโปรดปรานของ
ฮ่องเต้มีได้ไม่นาน จึงได้ไปหาความดีความชอบเหล่านั้นมาประดับ
กายในฐานะราชนิกุล คิดจะมีความดีความชอบมาประดับกาย
เป็นการคิดมากเกินตัวไปหรือไม่
ท่านชายฉินสิบสามหรี่ตาลง มองความโอ่อ่าใหญ่โตค่อยๆ
ไกลออกไป ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มจนหมด
“…จิ้นอันจวิ้นอ๋องสนิทสนมกับแม่นางเฉิงนี่นา มีคนเคยเห็น
รถม้าของจวิ้นอ๋องจอดอยู่ที่เรือนแม่นางเฉิงตั้งหลายครั้ง…”
“…เสียงฉินขจัดปัดเป่าเรือนก็ทำเพื่อเขาโดยเฉพาะไม่ใช่หรือ
…”
ภายในห้องมีเสียงหัวเราะที่รู้สึกได้ในใจแต่ไม่อาจพูดออกไปได้
ดังขึ้น
ท่านชายฉินสิบสามโยนถ้วยชาลงบนโต๊ะ
“ข้ากลับก่อนแล้ว” เขาเอ่ย
ทุกคนตกใจยังไม่ทันจะตั้งตัวก็เห็นท่านชายฉินสิบสามเดิน
ออกจากประตูไปแล้ว
ชุนหลิงที่อยู่ข้างประตูรีบหลบพัลวันไม่ทันระวังล้มลงไปกับพื้น
ยังไม่ทันจะมองท่านชายท่านนั้นเท่าใด ลมหอบใหญ่ก็พัดผ่าน บ่าวรับใช้ด้านหลังกอดเสื้อกันลมวิ่งเหยาะๆ ตามไป
“ยังดีๆ อยู่เลย เป็นอะไรไปหรือ”
“การสอบครั้งนี้เขาต้องผ่านไปให้ได้ น่าจะไปอ่านตำราแน่แล้ว
”
คนภายในห้องวิพากษ์วิจารณ์หัวเราะพูดคุยกัน ชุนหลิงที่
คุกเข่าอยู่นอกประตูกัดริมฝีปากจับประตูพยุงตัวลุกขึ้น
เป็นอะไรไปอย่างนั้นรึ
เพราะพวกเจ้าเอ่ยถึงหญิงนางนั้นน่ะสิ!
หญิงนางนั้น!
ชุนหลิงเงยหน้าขึ้น เหตุใดจึงตายยากตายเย็นนัก เหตุใดจึงไม่
มีใครสามารถควบคุมนางได้กัน เหตุใดยิ่งมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งมีอิสระกัน
กระทั่งเชื้อพระวงศ์ก็ได้เป็นแล้ว!
เชื้อพระวงศ์ยังเป็นแล้ว ท่านชายสิบสามอะไรนี่ใครจะไม่ถูกใจ
ได้อีก!
ชุนหลิงหันหน้ากลับมา แม่นางจูผู้นี้เป็นนางโลมที่มีชื่อเสียงสูง
สุด เหตุใดจึงยั่วยวนเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงไม่ได้เลยเล่า“นี่ เจ้ายังจะอยู่ทำอะไรอีก”
มีคนเอ่ยขึ้น
ชุนหลิงหลุดจากภวังค์รีบคำนับแล้วหันหลังไป เดินไปได้ไม่กี่
ก้าวก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกเบื้องหน้า เห็นชั้นล่างเด็กในร้านจำ นวน
หนึ่งเดินนำท่านชายร่ำรวยคนหนึ่งเข้ามา ด้านข้างรายล้อมไปด้วย
ผู้คน
“นี่ใครน่ะ” นางเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“นี่น่ะหรือ” เด็กในร้านที่เดินเข้ามาด้านข้างได้ยินเข้าก็ชะโงก
ไปมองชั้นล่าง ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านชายสิบเก้าสกุลเกา”
“สกุลเกาหรือ” ชุนหลิงเอ่ยถาม “สกุลเกาที่เป็นเชื้อพระวงศ์นั่น
น่ะรึ”
เด็กในร้านยิ้มพลางพยักหน้า
“มีไทเฮา ทั้งยังมีกุ้ยเฟย แล้วยังมีสกุลเกาของฝ่าบาทติ้งอ๋อง
อีก” เขายิ้มบอก “พอเสือออกจากถ้ำ เหล่าท่านชายสกุลเกาก็กล้า
มาเที่ยวเล่นที่หอเต๋อเซิ่งกันแล้ว”
เด็กในร้านเอ่ยเย้าพลางก้าวเข้าไปสกุลเกานั่น…
ชุนหลิงมองไปชั้นล่างอีกครั้ง พิงผนังเหมือนกำลังครุ่นคิด
บางอย่าง
…
ณ เจียงโจว ฝนปรอยๆ มืดครึ้มในเดือนสอง แม่นางเฉิงหก
ห่มคลุมเพียงเสื้อกันลม ไม่สนใจสาวใช้ที่วิ่งเหยาะถือร่มอยู่ด้านหลัง
สาวเท้าก้าวไป เพิ่งจะถึงหน้าห้องโถงก็ได้ยินเสียงตบโต๊ะดังขึ้นจาก
ด้านใน
“ระยำเสียจริง!”
นายใหญ่เฉิงเอ่ยขึ้น
“นายท่าน ท่านเพิ่งจะกินยาไป หมอก็บอกแล้วว่าฤดูหนาวนี้
ยากจะผ่านพ้นได้ อย่าให้อาการกำเริบอีกนะเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่
เฉิงรีบเอ่ยขึ้น พลางมองไปยังจดหมายบนโต๊ะ “ชายสี่เขียนอะไร
มาหรือ”
“ชายสี่เขียนว่า เจ้ารองกับภรรยารังแกเจียวเหนียง” นายใหญ่
เฉิงเอ่ยฮูหยินใหญ่เฉิงพลันเบิกตาโต
“พวกเขาน่ะหรือ” นางเอ่ย “พวกเขารังแกเจียวเหนียงหรือ
เสียสติไปแล้วหรือไร พวกเขาไม่รู้หรือว่าหญิงนางนั้นเป็นดาวหายนะ
ไม่อาจล่วงเกินได้เด็ดขาด”
นายใหญ่เฉิงถลึงตามองนาง
“เพ้อเจ้ออะไร!” เขาตวาด
“นี่เรียกเพ้อเจ้อหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงก้มหน้าลง คล้ายเอ่ยกับ
ตัวเองว่า “ก็เห็นอยู่ว่าจริง”
นายใหญ่เฉิงไม่สนใจนางอีก ก้มหน้าหยิบจดหมายมาอ่านต่อ
สีหน้าเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง
แม่นางเฉิงหกที่อยู่ด้านนอกกำลังก้าวเข้ามา ได้ยินเสียงตบดัง
ขึ้นจากด้านในอีกครั้ง
นายใหญ่เฉิงโยนจดหมายกลับลงบนโต๊ะอีกครั้ง
“เก็บข้าวของ ข้าจะเข้าเมืองหลวง!” เขาเอ่ย
เข้าเมืองหลวงรึฮูหยินใหญ่เฉิงหันหน้าไปมองเขา แม่นางเฉิงหกก็ก้าวเท้า
เข้ามาพอดี ต่างคนต่างตกใจ