พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 514 ดูลำดับ (2)
บนถนนใหญ่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย เดินเบียดไหล่กัน
ทอดมองไปราวกับจะไม่เห็นฝั่ง
“ท่านชาย จะข้ามไปอย่างไรดีขอรับ”
บ่าวรับใช้นายหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยอาการปากอ้าตาค้าง
“แค่ดูก็รู้แล้วว่ามาดูลำดับเป็นครั้งแรก” บัณฑิตข้างกายยิ้ม
เอ่ยขึ้น ชี้ไปยังบ่าวรับใช้ที่ตกตะลึงคนนั้น รวมถึงท่านชายท่าทาง
เซ่อซ่าข้างกายเขาด้วย
“ใช่นะสิ ครั้งแรกของพวกเรามารอตั้งแต่ยามสาม[1]แล้วด้วย”
บัณฑิตคนนั้นได้ยินคนผู้นี้บอกก็หันมามอง
“พี่หยวนเฉา ครั้งนี้นับได้ว่าไม่เสียแรงที่มารอตั้งแต่ยาม
สามแล้ว” เขายิ้มเอ่ยพลางประสานมือ “ยินดีกับพี่หยวนเฉาที่
สอบผ่านด้วย!”คำว่าสอบผ่านถูกตะโกนขึ้น หันหยวนเฉายังไม่ทันจะเอ่ยรับ ก็
เห็นฝูงชนด้านข้างกรูกันมารายล้อม แต่ละคนจดจ้องเขาอย่างกับ
จะกินเลือดกินเนื้อ หากไม่ใช่ว่าบ่าวรับใช้และผู้ติดตามทำงานได้ดี
ล่ะก็ ได้มีคนยื่นมือมาหิ้วเขาไปแน่แล้ว
“ท่านขุนนางมีคู่หมั้นคู่หมายหรือยัง” เสียงสูงต่ำหยาบกระด้าง
ไม่สม่ำ เสมอเอ่ยประโยคนี้ขึ้นในขณะเดียวกัน
“มีแล้ว มีแล้ว” หันหยวนเฉารีบตอบ
ฝูงชนพลันสลายตัวกันไปอย่างรวดเร็ว
หันหยวนเฉากับสหายสบตากันแล้วหัวเราะออกมายกใหญ่
“แย่งตัวลูกเขยหน้าป้ายประกาศ ช่างน่าขันสิ้นดี” บัณฑิตคน
นั้น
ยิ้มไปยิ้มมาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “หยวนเฉา ยังจำ เมื่อ
สามปีก่อนเจ้าเกือบโดนแย่งตัวไปได้หรือไม่…”
“นั่นไม่ใช่เสียหน่อย” หันหยวนเฉายิ้มบอก “บอกไปไม่รู้กี่ครั้ง
แล้วนะ”
“ใช่สิ ไม่ใช่ลูกสาวตระกูลอำมาตย์เฉิน แม่นางน้อยคนนั้นที่
เขียนอักษรสวย ลูกเขยที่นางเลือกไว้แม้ว่าครั้งนี้ก็ได้เป็นจิ้นซื่อเหมือนกัน แต่ไม่ได้มาจากการแย่งตัวมาจาก
ป้ายประกาศหรอกนะ” บัณฑิตยิ้มเอ่ย “คะ…คนที่จะแย่งตัวเจ้าไป
เป็นลูกเขยครั้งนั้นเป็นใครกันแน่”
“บอกไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไม่ใช่ ไม่ใช่” หันหยวนเฉาเอ่ยอย่าง
รำคาญ ทันใดนั้นก็เงียบลง มองไปยังทิศทางหนึ่ง
“…ดูนั่น คนที่สอบผ่านคนนั้นโดนชิงตัวไปแล้ว!”
สาวใช้ยิ้มบอกพลางยกมือขึ้นชี้ไปเบื้องหน้า
แม่นางเฉิงสี่ แม่นางเฉิงห้ารวมถึงแม่นางเฉิงเจ็ดที่นั่งอยู่นอก
รถม้ารีบหันไปมองด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ไอ้หยา อายุมากขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ยังจะแย่งกันอีกหรือ”
แม่นางเฉิงสี่เอ่ยอย่างตกใจ
“แย่งสิ แน่นอนว่าต้องแย่ง ได้จิ้นซื่อกลับบ้านไป ประโยชน์มีตั้ง
มากมาย จ่ายภาษีได้น้อยกันทั้งตระกูล พอจ่ายภาษีน้อยก็
จะมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้น” สาวใช้ยิ้มบอก
“เอ๊ะ นั่นจะไม่กลายเป็นแมวกวักเรียกเงินทองไปแล้วหรือไร”
แม่นางเฉิงห้ายิ้มเอ่ยขึ้นทางด้านนี้ยังดูกันไม่เสร็จ อีกด้านหนึ่งก็คึกคักกันขึ้นอีกครั้ง
มีคนสามสี่คนชกต่อยกัน แม่นางเฉิงเจ็ดหัวเราะคิกคัก
ท่านชายเฉิงสี่มองบรรดาน้องสาว ขบขันขึ้นมาอย่างจนใจ
“พวกเจ้ามาดูลำดับเป็นเพื่อนข้าหรือว่ามาดูความคึกคักของ
คนอื่นกันแน่” เขายิ้มเอ่ยขึ้น
“พี่ชายอยากดูลำดับหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มแหย มองฝูงชนที่เบียดเสียดเยียดยัดกระทั่ง
เข็มเล่มเดียวยังลอดไม่ได้เบื้องหน้า
แม้ว่าอยากจะไปเห็นชื่อของตัวเองบนป้ายประกาศความรู้สึก
จะต้องดีเยี่ยมมากแน่ ทว่า…
“ข้ารู้แล้ว ยังต้องไปดูอะไรอีก” เขายิ้มบอก
เฉิงเจียวเหนียงแย้มยิ้มบาง
“คือ…” นางหันไปมองด้านข้าง เอ่ยออกไป คนรับใช้สี่ห้าคนก็
รีบเดินมาหา
“นายหญิง” พวกเขาเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียง“เบียดแหวกเป็นทาง ให้ข้ากับท่านชายสี่เดินเข้าไปดูหน่อย”
เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เหล่าคนรับใช้ขานรับ รีบฝ่าฝูงชนราวกับหมาป่าเหมือนกับเสือ
แหวกเขาผ่าผาเข้าไป
ท่านชายเฉิงสี่เห็นทางถูกแหวกออกอย่างรวดเร็วก็รีบเดิน
เข้าไปพลางมองเฉิงเจียวเหนียง
“น้องสาว เจ้าคงไม่มีทางไม่รู้ชื่อคนรับใช้เหล่านี้ของเจ้ากระมัง
” เขานึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงถามขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ข้าไม่ได้สนใจ” นางบอก “เช่นนั้นกลับไปข้าจะลองจำ ดู”
ท่านชายเฉิงสี่หัวเราะออกมายกใหญ่ คุ้มกันนางไว้อย่างระวัง
พลางเดินไปยังที่ที่ติดประกาศลำดับ
คนผู้นั้นเป็นใครกัน
หันหยวนเฉานึกคิดอย่างอดไม่ได้ พลางมองไป ฝูงชนแหวก
ออกแล้วรวมตัวกันใหม่ หญิงนางนั้นกับบัณฑิตหนุ่มนั่นหายลับไป
ท่ามกลางทะเลผู้คนอย่างเชื่องช้า ไปดูลำดับเหมือนกันหรือ“หยวนเฉา หยวนเฉา”
สหายตบไหล่เขาพลางโวยวายเสียงดัง ขัดการค้นหาของเขา
ขึ้น
“เจ้าดูสิ คนนั้นทางด้านนั้นน่ะ” สหายตบบ่าเขาพลางชี้ไปยัง
ด้านหนึ่ง
บนรถม้า สาวใช้ยังชี้ชวนให้เหล่าเด็กสาวดูความคึกคัก
หัวเราะออกมากันยกใหญ่เป็นครั้งคราว
“เด็กสาวคนนั้น ดูๆ แล้วเหมือนจะคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่นะ” สหาย
เอ่ยขึ้น พลางมองหันหยวนเฉา “เหมือนคนนั้นน่ะ เป็นเด็กสาวที่
มาหาตอนนั้นกระมัง”
หันหยวนเฉาแย้มยิ้ม
“ไปกันเถอะ เรายังต้องมาดูความคึกคักอะไรอีก กลับไป
เตรียมสอบระดับราชสำ นักอย่างสบายใจกันเถอะ” เขาเบี่ยงประเด็น
พลางหันหลังกลับ
คำว่าสอบระดับราชสำ นักเตือนสติสหายเข้า ทันใดนั้นก็
ไม่มีกระจิตกระใจจะไปดูความคึกคักอะไรแล้ว“ไป ไป” เขารีบเอ่ยขึ้นเช่นกัน
ทั้ง
สองเดินย้อนฝ่าฝูงชนที่แน่นขนัดไป
เฉิงเจียวเหนียงกับท่านชายเฉิงสี่ยืนนิ่งอยู่หน้าป้ายสีเหลือง รู้
ลำดับชื่อล่วงหน้าแล้วดังนั้นจึงรู้คร่าวๆ ว่าอยู่ตรงไหน ทว่าสายตา
ของท่านชายเฉิงสี่ยังคงตกลงบนลำดับแรกเป็นอย่างแรกอยู่ดี
ฉินหู
“ท่านชายฉินท่านนั้นนี่เอง” ท่านชายเฉิงเอ่ย แฝงไว้ด้วย
ความตกใจและอิจฉา “นึกไม่ถึงว่าอายุน้อยแค่นี้จะเก่งกาจเพียงนี้
เชียว”
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองแล้วแย้มยิ้มบาง
“คนบางคนก็มีพรสวรรค์ เรื่องนี้ไม่ต้องเอามาเปรียบเทียบและ
อย่าได้ใส่ใจ” นางบอก
“ข้าไม่ได้เปรียบเทียบ” ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มบอก สายตาตกอยู่
แผ่นสุดท้าย ไม่นานก็หาชื่อของตัวเองเจอ หัวใจเต้นแรง
สีหน้าท่าทางตื่นเต้น “ดูสิ ชื่อข้า ชื่อข้า”
ความรู้สึกที่ได้เห็นชื่อตัวเองกับตาไม่เหมือนกันจริงๆ ด้วยคนด้านข้างเห็นท่าทางดีอกดีใจของเขาก็ชะโงกหน้ามามอง
ลำดับชื่อที่เขามองอยู่ แล้วเบ้ปาก
“ได้ที่ท้ายๆ เช่นนี้ยังตื่นเต้นเสียขนาดนี้ ไม่รู้ว่าลำดับต้นๆ
จะเป็นลมล้มพับจนต้องหามตัวออกไปเลยหรือไม่” พวกเขาหัวเราะ
กระซิบกันเสียงเบา
……
“ท่านชาย!”
ในขณะเดียวกันห่างจากเมืองหลวงออกไปสิบลี้ ทั้งคู่ที่ควบม้า
ก็ค่อยๆ ชะลอลง บ่าวรับใช้หนึ่งในนั้นชี้ไปด้านหน้าพลางตะโกนเรียก
เสียงดัง
“ดูสิขอรับ ท่านชายโจวมาแล้ว!”
ท่านชายบนหลังม้าด้านหลังถอดหมวกกันลมออก เผยให้เห็น
ใบหน้า เป็นฉินหูผู้ที่ได้ลำดับต้นในยามนี้
รอยยิ้มบนใบหน้าฉินหูแย้มบาน มองคนและม้าเบื้องหน้าควบ
ใกล้เข้ามา“ไอ้หยา โจวซื่อจิ่น เดินทางลำบากเสียแล้ว” เขาควบม้าเข้า
ไปหา ประสานมือยิ้มเอ่ยเสียงดัง
บนร่างท่านชายโจวหกยังสวมเสื้อกันฝนไว้ หยาดฝนบนเสื้อ
โดนลมเป่าแห้งไปแล้ว เขายกมือไปถอดหมวกออก มองท่านชายฉิน
สิบสามแล้วแค่นเสียงเฮอะออกมา
“ไม่หรอก ไม่หรอก ลำบากฉินเสิ่งหยวนมาต้อนรับแล้ว” เขา
ประสานมือเอ่ยขึ้น
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะออกมายกใหญ่ ยืดตัวตรงไปทาง
เขา
“มา มา เรียกอีกสองทีซิ” เขาบอก “จะได้ไม่เสียแรงที่ข้าฝ่าฝน
ควบม้ามาแต่ไกลเพื่อรับเจ้าตั้งแต่เช้า”
ท่านชายโจวหกส่งเสียงถุยออกมา ทันใดนั้นก็หยิบมงกุฎ
ดอกไม้ออกมาจากด้านหลัง
ท่านชายฉินสิบสามตกใจยกใหญ่
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ” เขาตะโกนขึ้นพลางเร่งม้าให้กลับลำทว่าก็ยังคงสายเกินไป เขาโดนท่านชายโจวหกเร่งม้ามาพลาง
ยื่นมือคว้าไว้
“ข้าไม่อยากใส่ของพรรค์นี้!” เขาตะโกนขึ้น
ในที่สุดแขนหนาแข็งแกร่งของท่านชายโจวหกก็จับไว้ได้ เขาถูก
กดไว้และสวมไว้บนศีรษะ
“อุตส่าห์เรียกเจ้าว่าฉินเสิ่งหยวนแล้ว จะไม่ทัดดอกไม้ได้
อย่างไร” ท่านชายโจวหกหัวเราะออกมายกใหญ่
“ยังไม่ได้สอบระดับราชสำ นักเลย! ทัดอะไรกันเล่า!” ท่านชาย
ฉินสิบสามยื่นมือไปดึงออก
ท่านชายโจวหกยกมือกดไว้
“นี่ เจ้าเป๋ เจ้าไม่กล้าทัดใช่หรือไม่ หรือว่ากลัวทัดไปแล้ว
ถึงเวลานั้นจะไม่ติดสิบอันดับแรก” เขายิ้มเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามส่งเสียงถุยออกมา สะบัดท่านชายโจวหก
ออก
“อย่ามายั่วยุข้าเลย เปล่าประโยชน์น่า” เขาบอกพลางเร่ง
ม้าขึ้นหน้า มงกุฎดอกไม้ที่สวมอยู่บนศีรษะเอียงไปเอียงมาแต่ก็ไม่ถอดทิ้งเสียที
“ในวันนั้นข้าต้องได้สิบอันดับแรกมาแน่ ข้าก็แค่รังเกียจดอกไม้
น่าเกลียดของเจ้าแค่นั้นเอง”
“น่าเกลียดจริงๆ ด้วย”
“เจ้าไปเอามาจากไหน”
“ไม่รู้จักเลือกดอกไม้ที่มันสวยๆ มาหน่อย…”
“ขโมยมาจากข้างทางกระมัง ไม่ได้จ่ายเงินซื้อมาใช่หรือไม่”
ท่านชายโจวหกหัวเราะออกมายกใหญ่ เร่งม้าตามขึ้นไป
ม้าทั้งสองตัวแย่งกันขึ้นหน้ากันไปมา
[1] ยามสาม 23.00-01.00 น.