พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 516 ร่วมชายคา
“นี่ นี่ เจ้า…”
คนเฝ้าประตูของตระกูลเฉิงตะโกนขึ้นเสียงดังพลางมองประตู
ที่เปิดออก พอเห็นคนเบื้องหน้าชัดๆ ก็ยิ่งตะลึง
“เหตุใดจึงเป็นท่านอีกแล้ว…”
ยังพูดไม่ทันจบก็เกิดเสียงปังดังขึ้น ครานี้กระทั่งประตูก็ถีบ
หลุดแล้ว
คนเฝ้าประตูฟุบนั่งลงกับพื้นอีกครั้ง
นี่มันเรื่องอะไรกัน!
“ท่านชายหก…นายหญิงเรากำลังเขียนอักษรอยู่เจ้าค่ะ…”
ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงสาวใช้
เฉิงเจียวเหนียงจับพู่กันหันมามอง ท่านชายโจวหกสาวเท้าก้าว
ยาวเข้ามา
“เก็บข้าวของ” เขาเอ่ยขึ้น “ไปกับข้า”พูดอะไรอีกแล้ว!
ไม่ได้ยินมาสี่ปีแล้ว คิดว่าคงไม่ได้ยินอีกแล้วแท้ๆ นี่กำลังจะ
ลากนายหญิงออกไปไหนอีกล่ะ
สาวใช้กับปั้นฉินขมวดคิ้วมาล้อมไว้ คนรับใช้ที่ตามมาก็ตั้งหมัด
ขึ้นเช่นกัน
ทว่ายามนี้ไม่ใช่สี่ปีก่อนแล้ว คิดจะพานายหญิงไปง่ายๆ น่ะไม่
ง่ายดายเพียงนั้นหรอก
“ไปไหนหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
“ไปพักเรือนข้า” ท่านชายโจวหกบอก
เฉิงเจียวเหนียงส่งเสียงอ๋อแล้วพยักหน้า
“ได้” นางบอก
ท่านชายโจวหกมีคำอีกเป็นชุดกำลังจะตวาดออกมา ทว่าลิ้นก็
พลันพันกันจนแทบจะกัดลิ้นตัวเอง
เป็นเช่นนี้อีกแล้ว! หญิงนางนี้เหตุใดจึงไม่ทำตัวปกติบ้างนะ
ครานั้นก็เหมือนกัน ทำร้ายเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเลย“เจ้าพูดจาอะไรจะเกริ่นนำก่อนไม่ได้เชียวหรือ” เขาเอ่ยด้วย
เสียงกลัดกลุ้มอย่างอดไม่ได้
“เจ้าก็ไม่เกริ่นนำเหมือนกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย วางพู่กันลง
พลางมองไปยังหน้าประตู “ปั้นฉิน”
สาวใช้กับปั้นฉินต่างขานรับ
“พวกเราจะไปเก็บของเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” พวกนางอมยิ้มเอ่ย
…
“รับเจียวเหนียงไปเรือนเจ้ารึ”
ในยามที่แขกกำลังจะพาลูกสาวออกไป ในที่สุดผู้เป็นนายของ
เรือนก็ได้รับข่าวคราวภายในห้องโถง
นายรองเฉิงจ้องตากับเด็กหน้าตากวนประสาทอย่างเดือดดาล
“เหตุใดต้องไปเรือนเจ้าด้วย”
“เหตุใดจึงไปเรือนข้าไม่ได้” ท่านชายโจวหกก็ถลึงตาตะคอก
ไปเช่นกัน “สิบสามปีก่อนท่านไล่ท่านน้าข้ากับน้องสาวข้ามาเรือนข้า
เหตุใดยามนี้พวกเราจะเชิญน้องสาวไปพักไม่ได้แล้วเล่า”
นายรองเฉิงพลันสีหน้าเขียวคล้ำ“ไอ้หนุ่ม เพ้อเจ้อให้มันน้อยๆ หน่อย” เขาตะคอก
“ท่านอาเขย ข้าเป็นผู้น้อย แต่พ่อแม่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ร่างกาย
แข็งแรงดีอยู่นะขอรับ” ท่านชายโจวหกหัวเราะเย็นชาพลางเอ่ย
นายรองเฉิงกำลังจะพูดบางอย่าง ท่านชายโจวหกก็หันหลังไป
อย่างสุดจะทนแล้ว
“ข้าเรียกท่านว่าอาเขย พยายามทำหน้าที่ของลูกหลาน ด้วย
การบอกกล่าวท่านเพียงเท่านั้น ไม่ได้จะขออนุญาตจากท่าน” เขา
เอ่ย พอกล่าวจบก็เดินออกไป
หน้าที่ของลูกหลานอย่างนั้นรึ นี่มันเรียกหน้าที่ลูกหลานได้หรือ
ไร
หากลูกหลานตระกูลเฉิงกล้าทำเช่นนี้กับเขา ได้โดนเขาตีจน
คุกเข่าที่ลานบ้านแล้ว!
นายรองเฉิงมองเด็กหนุ่มสาวเท้าจากไปด้วยความเดือดดาล
จนตัวสั่น
ตระกูลโจวเอ๋ย ตระกูลโจวที่ไม่สนหน้าผู้ใดทั้งสิ้น ตอนแรกที่
เจียงโจวยังกล้าก่อเรื่องจนพวกเขาตระกูลเฉิงตกต่ำ ยามนี้เมืองหลวงนี่เป็นอาณาบริเวณของตระกูลโจว
คิดได้ดังนั้น นายรองเฉิงจึงนึกขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน ตั้งแต่
เข้าเมืองหลวงมา ยังไม่ได้ไปทักทายตระกูลโจวเลย กระทั่งเขาลืมไป
แล้วว่ายังมีญาติตระกูลนี้อยู่
ดูท่าแล้ว ความเป็นจริงก็ยังคงเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ สิ่งที่
ควรจะมาก็ต้องมาอยู่ดี
“นายท่าน พวกตระกูลโจวแย่งตัวคนไปซึ่งหน้าเช่นนี้” ยามนี้
ฮูหยินรองเฉิงเดินออกมาจากด้านหลังโถงก็เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “รีบ
ไปแย่งตัวคืนมาสิเจ้าคะ”
“จะไปแย่งมาอย่างไร เรือนท่านปู่รับนางไปอยู่ ข้าจะไม่ให้ไป
หรือ อีกอย่างนายพลของตระกูลโจวนี้น่าอับอายขายขี้หน้า จะให้ข้า
ตีกันกับเขาอุตลุดอยู่บนถนนใหญ่หรือ” นายรองเฉิงเอ่ยอย่าง
ไม่สบอารมณ์ “พวกเขาไม่สนหน้าตา แต่ข้ายังสนอยู่นะ”
“ชะ…เช่นนั้นหากเจียวเจียวไม่กลับมา…” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
“เขากล้ารึ!” นายรองเฉิงถลึงตา “เช่นนั้นข้าก็กล้าไปฟ้องร้อง
พวกเขา! พักอยู่สามวันก็ไปรับมาได้แล้ว หากไม่ให้กลับ ที่ไร้เหตุผลก็เป็นพวกเขาแล้ว!”
ฮูหยินรองส่งเสียงอ้อพลางพยักหน้า
“ไม่ได้สิ เจียวเจียวไปอยู่กับพวกเขาทางนั้น อาหารการกินที่
เรือนเราจะทำอย่างไรล่ะ” นางคิดบางอย่างขึ้นมาได้ก็เอ่ยอย่าง
ร้อนรน มองไปด้านนอกพลางรีบเดินตามออกไป
“ปั้นฉิน ปั้นฉิน”
ได้ยินเสียงเรียกของฮูหยินรอง นายรองเฉิงก็ยิ่งโมโหจนแทบจะ
เป็นลมหมดสติไป
พวกเขายังเรียกได้ว่าครอบครัวหรือไม่
ชีวิตเช่นนี้คืออะไรกัน! ไม่ได้การ ได้รับหนังสือจากทางการ
มาเรียบร้อยแล้ว เขาต้องทำตัวเป็นเจ้าของที่แท้จริงได้แล้ว
จนกระทั่งท่านชายโจวหกชิงตัวเฉิงเจียวเหนียงมาอีกครั้ง
ตระกูลโจวก็วุ่นวายโกลาหลทันที แม่นมสาวใช้ทั่วทั้งเรือนวิ่งกันให้
วุ่น
ทว่าเมื่อเทียบกับครั้งนั้นเมื่อสี่ปีก่อนแล้ว ฮูหยินโจวในยามนี้ไร้
ซึ่งความยินดีปรีดา มีเพียงความหวาดผวาไม่สบายใจเท่านั้น“ต้องทำความสะอาดห้องไหน”
“จัดแต่งอะไรบ้าง”
“แบ่งสาวใช้ในเรือนเท่าใด”
คำถามนับไม่ถ้วนพลั่งพรูออกมาดั่งสายฝน ฮูหยินโจวรู้สึกว่า
ปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด
“ไปตามหมอมา ข้าป่วยจริงๆ แล้ว” นางลูบหน้าอกพลางเอ่ย
“ป่วยอะไรของเจ้าล่ะ” นายใหญ่โจวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“เจียวเจียวจะมาพักที่เรือน เจ้าก็ป่วยแล้ว นี่เจ้ากำลังทำให้นาง
ไม่สบายอกสบายใจอยู่นะ”
ข้าไหนเลยจะกล้า! ข้าทำดีต่อนางอย่างจริงใจต่างหาก!
ฮูหยินโจวตื่นตกใจแล้วลุกขึ้น รีบพาแม่นมและสาวใช้ไป
จัดแจงงานอย่างรวดเร็ว
“ฮูหยินสะใภ้ไม่ต้องทำหรอกเจ้าค่ะ ข้าจัดการเองก็ได้แล้ว”
สาวใช้ยิ้มเอ่ย
“นายหญิงของพวกเราเรียบง่ายนัก สาวใช้ก็ไม่ต้องมีมากมาย
ทิ้งไว้ทำความสะอาดและวิ่งไปโน่นนี่สองคนก็พอแล้วเจ้าค่ะ”เรียบง่ายรึ ไม่กล้าคิดแบบนั้นหรอก
ฮูหยินโจวกำลังจะบอกว่าไม่ได้ ก็ไม่กล้าพูด รู้สึกว่าไม่ว่าจะทำ
อย่างไรก็ไม่ได้ไปหมด สุดท้ายจึงปล่อยให้สาวใช้จัดการ นางพูด
อะไรตัวเองฟังไว้ก็พอ
“เจียวเจียวเจ้าพักที่นี่เสีย จะได้ไม่ต้องโดนสองสามีภรรยานั่น
รังแกเอา”
ภายในห้องโถง นายใหญ่โจวเอ่ยด้วยด้วยความแค้นเคืองต่อ
ความไม่เป็นธรรม
“พวกเขากล้าก่อเรื่องก่อราวอีก ข้าจะไปจัดการพวกเขาเอง”
“ไม่ได้โดนรังแกเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงอมยิ้มคำนับ
ทางด้านนี้กำลังพูดคุยกันอยู่ ทางด้านฮูหยินโจวก็อมยิ้มมาบอ
กว่าทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
“เช่นนั้นก็รบกวนท่านลุงท่านป้าแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงคำนับ
เอ่ยขอบคุณ
“ไม่เลย ไม่เลย”
“ไม่หรอก ไม่หรอก”นายใหญ่โจวและภรรยา คนหนึ่งหวาดผวา คนหนึ่งยินดีปรีดา
ส่งเฉิงเจียวเหนียงด้วยตัวเอง
“นี่เหมือนให้หลานสาวมาพักที่เรือนท่านปู่ที่ไหนกัน เหมือน
เชิญพระรูปหนึ่งมาเสียมากกว่า”
บรรดาเด็กสาวตระกูลโจวที่ยืนอยู่ล่างระเบียงมองดู แล้ว
ทอดถอนใจออกมาอย่างอดไม่ได้
“พวกเราต้องไปไหว้ทักทายหน่อยหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็น
พี่น้องกัน” คนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
เหล่าพี่สาวน้องสาวสบตากันแวบหนึ่ง
“ช่างเถิด พระนะ เคารพก็พอแล้ว”
ในยามที่ฟากฟ้ามืดครึ้มลง ขณะที่เหล่าชายหนุ่มกำลังทุบตี
ฝึกฝนในสนามฝึกของตระกูลโจวกันนั้นเอง เสียงกู่ร้องก็ดังขึ้นใน
ยามนั้น จนกระทั่งฟ้าสว่างจ้าแล้วจึงได้หยุดพัก
“ชายหก ไปก่อนนะ” พี่น้องคนหนึ่งเอ่ยทัก
ท่านชายโจวหกที่เปลือยแขนกำลังยืนนิ่งอยู่หน้าเครื่องมือถ่วง
น้ำหนักแม่กุญแจหิน ได้ยินเข้าจึงขานรับขึ้น“พวกเจ้าไปกันก่อนเลย เดี๋ยวข้าฝึกอีกสักหน่อย” เขาบอก
“สมกับฝึกฝนกับหอกจริงดาบจริงมาสามปีแล้วจริงๆ ยิ่งมานะ
พยายามขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” เหล่าพี่น้องเอ่ยชมพลางเดินออกไป
ภายในสนามฝึกเงียบลง ท่านชายโจวหกยกแม่กุญแจหินอยู่
หลายครั้งรับผ้าขนหนูที่สาวใช้เพิ่งจะส่งให้มาเช็ดเหงื่อ เด็กสาวคน
หนึ่งสาวเท้าวิ่งเข้ามา พอเห็นเขาก็หันหน้าวิ่งกลับทันที
“วิ่งอะไรขนาดนั้น เห็นผีหรือไร” ท่านชายโจวหกตะโกนขึ้น
เด็กสาวยืนนิ่งอย่างขลาดกลัว
“ท่านชายหก…” นางคำนับเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่เจ้าค่ะ เป็นนายหญิง
ต้องการ…”
นางยังพูดไม่ทันจบ คนด้านหลังก็สาวเท้าเข้ามา
“นี่ ท่านชายหก ท่านยังอยู่ที่นี่อีกหรือ” สาวใช้ยิ้มเอ่ย “นึกว่า
ยามนี้พวกท่านไปกันหมดแล้วเสียอีก”
ท่านชายโจวหกแค่นเสียงเฮอะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เช็ดเหงื่อ
อย่างเชื่องช้า
“ฝึกเสร็จยังเจ้าคะ” สาวใช้ถามขึ้นอีก“เสร็จแล้ว” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงขุ่น หางตาเห็นสาวใช้นาง
นั้น
เดินเข้ามาหาสองสามก้าว ยิ้มตาหยีพินิจมองตน
มองอะไร! มองอยู่ได้!
“ฝึกเสร็จแล้ว ท่านชายหกก็ใส่เสื้อผ้าปดปิดก่อนเถิดเจ้าค่ะ
นายหญิงจะมายิงธนูแล้ว” สาวใช้ยิ้มตาหยีเอ่ยขึ้น
ท่านชายโจวหกสีหน้าพลันแดงขึ้นมา
คล้ายรู้สึกถึงสายตาที่วนรอบอยู่บนร่างตลอดเวลา
“ท่าน ไม่น่าดู”
เสียงหญิงเอ่ยขึ้นข้างหู
ท่านชายโจวหกยื่นมือไปดึงเสื้อผ้ามาจากมือบ่าวรับใช้ เพิ่งจะ
สวมแขนไปได้ข้างหนึ่งอย่างวุ่นวาย ก็ได้ยินเสียงรองเท้าเกี๊ยะดังขึ้น
เงาร่างของหญิงนางหนึ่งเดินมา เสื้อคลุมสีขาว กระโปรงลายดอก
แขนเสื้อรวบไว้ด้วยกัน บนไหล่คล้องธนูยาวไว้คันหนึ่ง
การะกระทำของท่านชายโจวหกพลันเร็วขึ้นกว่าเดิม
“กลับแล้ว กลับแล้วขอรับ” บ่าวรับใช้บอก
ท่านชายโจวหกเตะขาเขาไปอย่างไม่สบอารมณ์“เตะกลับคืนเจ้าไปแล้ว จะตะโกนทำไม” เขาตำหนิ
“ท่านชาย เสื้อท่านกลับด้านแล้วขอรับ” บ่าวรับใช้นั่งอยู่บนพื้น
เอ่ยบอกด้วยสีหน้าน้อยอกน้อยใจ
ท่านชายโจวหกก้มหน้าลง ทันใดนั้นก็ทั้งเขินทั้งอาย รีบถอด
ออกใหม่ เฉิงเจียวเหนียงเดินผ่านข้างกายเขาไป ก็หยุดลงเล็กน้อย
“ทำอะไร” ท่านชายโจวหกหยิบเสื้อผ้ามาปิดร่างกายให้วุ่น
ถลึงตาพลางเอ่ย
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้าคำนับพลางเอ่ย
กล่าวจบก็สาวเท้าเดินไป
อรุณสวัสดิ์บ้าบออะไร! มีอย่างที่ไหนจ้องญาติผู้ชาย
เปลือยกายแล้วบอกอรุณสวัสดิ์!
ท่านชายโจวหกถลึงตามองไปด้านหลังวิจารณ์อย่างโกรธเคือง
“ท่านชายหก ท่านล่ำสันกว่าสี่ปีก่อนนัก” สาวใช้เอ่ยคิกคัก
สมกับเป็นนายบ่าวสองคนที่ไม่รู้จักอับจักอายดีแท้!
ท่านชายโจวหกผูกเสื้ออย่างเคืองๆ ได้ยินเสียงธนูแหวกอากาศ
อยู่ด้านหลังไม่หยุด เขาข่มใจไม่หันไปมองแล้วกระทืบเท้าเดินออกไปเพียงไม่นานเรื่องฝึกธนูในทุกๆ วันของเฉิงเจียวเหนียง งก็ถูก
นายใหญ่โจวและคนอื่นๆ ทราบเข้า รีบร้อนกันให้คนไปเปลี่ยนเป้า
ฟางในสนามฝึกใหม่ แล้วให้เหล่าลูกหลานที่ฝึกยามเช้าเลิกกัน
ก่อนเวลา
“มีสิทธิ์อะไร!”
ท่านชายโจวหกได้ยินข่าวเข้าก็ไม่พอใจขึ้นมา
“เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกข้าที่จะฝึกหนัก นางก็แค่ชอบ
การละเล่นแค่นั้นเอง”
“เรื่องของเจียวเจียวล้วนเป็นเรื่องส่วนตัว” นายใหญ่โจว
ถลึงตาไม่ให้กังขา
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นการฝึกจบลงทุกคนต่าง
กลับกันไป ขณะนั้นเองท่านชายโจวก็ไม่ยอมกลับ นายใหญ่โจวมีธุระ
ไม่อยู่พอดี พี่น้องคนอื่นๆ ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ จำ ต้องปล่อยเขาทำไป
ท่านชายโจวหกยิ่งหนักข้อใหญ่ ไม่เพียงแต่จะไม่กลับก่อนที่เฉิง
เจียวเหนียงจะมาเท่านั้น หลังจากนางมาแล้วเขาก็ยังไม่กลับไป แต่
เสื้อผ้านั้นสวมใส่เรียบร้อยแล้ว“ท่านชายหก ท่านเก่งกาจจริงๆ”
สาวใช้มองท่านชายโจวหกยกแม่กุญแจหินติดต่อกันหลายครั้ง
หลายคราก็เอ่ยด้วยสีหน้าชื่นชม
ท่านชายโจวหกเดินไปยังหน้าแท่นแขวนอาวุธด้วย
ความเย่อหยิ่ง
“ท่านชายโจวหกใช้อาวุธสิบแปดอย่างได้หมดเลยหรือเจ้าคะ”
สาวใช้ยิ้มตาหยีถามขึ้น
ท่านชายโจวหกหยิบกระบองยาวท่อนหนึ่งขึ้นมา หางตาเห็น
หญิงนางนั้นเปลี่ยนเป้าอันที่สามแล้ว ภายใต้แสงอรุณยามวสันแรก
หน้าผากชื้นเหงื่ออย่างเห็นได้ชัด
หนึ่งกระบอง หนึ่งดาบ เงาวาบผ่านในสนามรบไปมา เสียง
สาวใช้เอ่ยชมว่าดีไม่ขาดปาก
ท่านชายโจวหกหอบหายใจเล็กน้อยพลางกำหอกยาวไว้
หันหน้าไปอีกครั้งจึงตกตะลึงอย่างอดไม่อยู่
ไปไหนแล้ว“ท่านชายหก ท่านอยู่ทัพหน้าใช้อะไรหรือเจ้าคะ” สาวใช้ยังคง
ถามต่อ
“นายหญิงเจ้าเล่า” ท่านชายโจวหกเอ่ยถาม
“นายหญิงข้าหรือ นายหญิงข้าไม่ได้เข้าร่วมรบเสียหน่อย”
สาวใช้ยิ้มบอก
ท่านชายโจวหกถลึงตาส่งเสียงถุยออกมา
“นายหญิงเจ้าเล่า” เขายกมือชี้ไปทางสนามยิงธนูพลางเอ่ย
สาวใช้จึงส่งเสียงอ๋อออกมาแล้วหันไปมอง
“นายหญิงข้ากลับไปแล้วกระมัง” นางบอก
กลับไปแล้วกระมังอย่างนั้นรึ
มีสาวใช้เช่นนี้ด้วยหรือ
“ไม่เป็นไรหรอก นายหญิงข้าไม่ต้องให้ข้ารับใช้ ท่านชายหก
ท่านชายหก อาวุธที่ท่านใช้แนวหน้าคือหอกยาวหรือว่าดาบเล่มนี้
หรือ ท่านเล่นอันนี้อีกรอบหน่อยสิ อันนี้คืออะไรหรือ”
“ไสหัวไป”ท่านชายโจวหกส่งเสียงถุยพลางบอก ไม่สนใจสาวใช้นางนั้น
อีก เขาหยิบเสื้อผ้าสาวเท้าออกไป บ่าวรับใช้รีบวิ่งเหยาะๆ ตามทันที
เดินออกจากสนามฝึกมาก็ไม่ได้ยินเสียงตอแยของสาวใช้นาง
นั้น
อีก จึงหันกลับไปมองอย่างระวัง เห็นว่าไม่มีใครตามมาแน่แล้ว
ท่านชายโจวหกจึงได้สะบัดแขนที่ปวดเมื่อยไปมาอย่างทนไม่ไหว
กัดฟันแยกเขี้ยวเล็กน้อย นี่มันเหนื่อยล้าเสียยิ่งกว่าอยู่ทัพหน้า
สังหารคนอีก…
วันต่อมา ท่านชายโจวหกก็ยังคงปรากฏตัวที่สนามฝึกดังเดิม
เพียงแต่ว่ารอจนตะวันทิ่มตาแล้วก็ยังไม่เห็นหญิงนางนั้น
“บอกตั้งนานแล้วว่านางก็แค่ชอบละเล่นเฉยๆ เรื่องส่วนบุคคล
อะไรกัน!” ท่านชายโจวหกพร่ำบ่น เสียบหอกยาวในมือไว้กับแท่น
“คนที่มีมานะพยายามจะฝึกฝนหนักในช่วงที่หนาวและร้อนที่สุด ลม
ฝนขัดขวางไม่ได้ จะมาทำเล่นๆ ได้อย่างไร”
“ไม่ใช่ ท่านชาย ข้าได้ยินมาว่าผลการสอบระดับราชสำ นักได้
ประกาศออกมาแล้ว สิบวันหลังจากนี้จะมีขบวนรถม้าและสวมมงกุฎดังนั้นแม่นางเฉิงจึงเตรียมไปแสดงความยินดีขอรับ” บ่าวรับใช ช้นาย
หนึ่งรีบเอ่ยบอก
เมื่อวานวันที่เจ็ด เดือนสาม หลังจากสอบระดับจังหวัดไปเหล่า
จิ้นซื่อก็เข้าร่วมการสอบระดับราชสำ นักที่ฮ่องเต้ทรงจัดขึ้น ผ่าน
มาหนึ่งวันหนึ่งคืน ก็ประกาศผลแล้ว
“ท่านชายเฉิงสี่ผู้นี้ได้ที่สามร้อยกว่า ซ้ำ ยังไม่ใช่ที่แปดอย่างฉิน
สิบสาม มีอะไรให้น่าแสดงความยินดีกัน” ท่านชายโจวหกหลุดขำ
ออกมา
“แม่นางเฉิงดูเหมือนว่าจะเตรียมแสดงความยินดีเพื่อท่านชาย
ฉินสิบสามนะขอรับ” บ่าวรับใช้เอ่ยบอก
เสียงขำของท่านชายโจวหกหยุดลง
ให้เขาหรือ
“ไม่ใช่อันดับที่แปดแค่นั้นหรือไร…” เขาบ่น “มีอะไรให้น่า
แสดงความยินดีกัน ข้าเลื่อนขั้นติดต่อกันมาสามขั้นแล้วนะ…”