พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 517 แสดงความยินดี (1)
“เปลี่ยนเสื้อ!”
วันที่สิบหกเดือนสาม บนถนนหลวงนอกเขตพระราชฐาน
มีผู้คนยืนอยู่เนืองแน่นเต็มไปหมด พร้อมกับเสียงร้องเพลงของพิธีกร
บรรดาจิ้นซื่อที่ได้รับชุดขุนนางกันแล้วต่างพากันสวมชุดเขียว สวม
รองเท้าทางการ ในมือถือไม้กระดานฮู่ป่านเอาไว้ พวกเขา
ไม่ใช่บัณฑิตยอดฝีมือที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านตำราอย่างลำบากยากเย็น
อีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ชาวนาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินทำนาทำไร่อีกต่อไป
ไม่ใช่พ่อค้าที่วิ่งเต้นขายของอีกแล้ว แต่เป็นขุนนางระดับสูง
ท่ามกลางกลุ่มอาชีพอิสระชน
ไม่เพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น ภรรยาและลูกหลานของเขา
ทะเบียนบ้านทั้งหมดที่เขาเป็นคนถือล้วนเป็นทะเบียนขุนนาง
ครอบครัวพวกเขาต่างรู้สึกเป็นเกียรติกับเรื่องนี้ ลูกหลานใน
ครอบครัวจะมีโอกาสได้รับการสนับสนุน ได้รับการยกเว้นแรงงานและลดภาษี พอก้าวเข้าประตูวังแล้ว หมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอย
ได้ดีไปด้วย
“ถวายคำนับ!”
พร้อมกับเสียงกล่าวดังก้องของพิธีกรนั้น ผู้คนที่กลายเป็น
ขุนนางของพระเจ้าแผ่นดินอย่างเป็นทางการต่างเบียดเสียดกันโขก
ศีรษะคำนับฮ่องเต้ที่อยู่บนกำแพงเมือง
“สวมมงกุฎ!”
ดอกจินซือกงถูกส่งมอบมาทีละดอก ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มหรือ
คนแก่ต่างทัดมันไว้ที่จอนผมอย่างไม่ลังเล
“พิณบรรเลง!”
เหล่าสังคีตของวังที่รออยู่นานแล้วพลันตีกลองดีดพิณ ขุนนาง
ชั้นผู้น้อยจุดประทัด บนถนนหลวงจึงคึกคักอึกทึกขึ้นมาทันใด
“เชิญเหล่าขุนนางขึ้นม้า!”
ม้าอ้วนพีพันธุ์ดีที่คัดเลือกมาอย่างดีพาดพู่ห้อยสีแดงถูก
จูงเข้ามา เหล่าคนเลี้ยงม้าสวมอาภรณ์ใหม่เอี่ยมเอ่ยเชิญเสียงดัง
พลางค้อมกายคำนับในที่สุดก็กลายเป็นขุนนางแล้ว!
ยามนี้คนมากมายตื่นเต้นดีใจจนไม่เป็นตัวของตัวเอง จึงยิ่ง
มีคนร้องห่มร้องไห้กันออกมามากขึ้น
ความคึกคักไม่ได้หยุดลงในยามนี้โดยง่าย ภายใต้การนำของ
จอหงวน ขบวนคนสี่ร้อยกว่านายเดินเลียบไปตามถนนมุ่งหน้า
ไปนอกเขตพระราชฐานอย่างเชื่องช้า
องครักษ์รักษาพระองค์เดินนำ คลอเคล้าด้วยเสียงกลอง ธงทิว
ปลิวไสว ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงคึกคักขึ้นมา
“มาดูเร็ว มาดูเร็ว มาแล้ว มาแล้ว”
เทียบกับความคึกคักอันเคร่งขรึมในเขตพระราชฐานที่มีฮ่องเต้
ประทับอยู่แล้ว ถนนใหญ่ในยามนี้มีเหล่าประชาชนปลด
ปล่อยอารมณ์กันอย่างเต็มที่
แม้ว่าจะมีทหารรักษาพระองค์คุ้มกันอยู่ แต่ข้างทางก็ยังมี
กองบัญชาการปัญจทิศรักษานครรวมถึงทหารและเจ้าหน้าที่
ทางการของข้าหลวงประจำ จังหวัดถือกระบองล้อมกันไว้ ทว่าก็ยัง
ขวางความคึกคักของปวงชนไว้ไม่อยู่ มีบรรดาสตรีที่มาจองที่ไว้ตั้ง
แต่ครึ่งเดือนก่อนโยนผ้าเช็ดหน้าและดอกไม้นานาชนิดในมือไป
ตลอดทั้งทาง เหมือนเทพธิดามาโปรยดอกไม้ให้อย่างไรอย่างนั้น
เนื่องจากมีคนจำ นวนมาก และเพราะปล่อยให้ปวงชนและ
เหล่าจิ้นซื่อได้สนุกกับช่วงเวลานี้ให้มากขึ้น เหล่า
จิ้นซื่อจึงเดินกันอย่างเชื่องช้ามาก
จิ้นซื่อคนหนึ่งที่เดินอยู่หน้าขบวนโดนผ้าเช็ดหน้าที่โยนลงมา
ปรกตาไว้ เขารีบยกมือขึ้นหยิบออก ท่าทางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยนี้
ทำเอาเสียงหวีดร้องของสตรีสองข้างทางดังมากกว่าเดิม
จิ้นซื่อผู้นี้อายุราวๆ สามสิบห้าปีจิตใจจดจ่อกับการอ่านตำรา
หันไปมองอย่างใจกล้าด้วยความอดใจไม่ไหว บุปผางามเข้าสู่สายตา
ดวงหน้าสะสวยดั่งพฤกษา พร้อมกับที่เขาหันไปมองนั้นเอง เสียง
วี๊ดว๊ายของเหล่าสตรีตรงหน้าต่างชั้นสองก็พลันดังขึ้นดั่งระเบิดจนหู
แทบดับ
จิ้นซื่อทั้งตื่นเต้นทั้งเขินอาย ประสบการณ์เช่นนี้มีมาครั้งหนึ่งใน
ชีวิตก็ตายอย่างไม่เสียดายแล้ว
“เหตุใดจึงเดินช้านักเล่า”ท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงหนึ่งก็ดังเข้าโสตมา
เดินช้ารึ ยังมีคนไม่พอใจที่เดินช้าอีกหรือ
จิ้นซื่อหันกลับไปมองอย่างอดไม่ได้ จิ้นซื่อคนหนึ่งที่เดิมที
ควรจะเว้นระยะห่างด้านหลังช่วงหนึ่ง ไม่รู้ว่าเดินตามทันตั้งแต่
เมื่อใด แทบจะชนม้าเขาอยู่แล้ว
นี่คือจิ้นซื่อหนุ่มคนหนึ่ง อาภรณ์เขียวตลอดทั้งร่างทำให้
ใบหน้าเขายิ่งเหมือนหยกเข้าไปใหญ่ ดอกจินฮวาตรงจอนผมสั่นไหว
ไม่เหมือนจิ้นซื่อคนอื่นๆ ที่ดูๆ แล้วน่าขัน ตรงกันข้าม มันดูเหมาะสม
หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือใบหน้าของเขาปกคลุมไปด้วยความสง่า
งามของดอกไม้
สำ หรับเด็กหนุ่มที่อายุเต็มสิบเก้าปีผู้นี้ จิ้นซื่อวัยสามสิบห้า
มีความอิจฉาอย่างยากจะปิดมิด อิจฉาที่เขาเยาว์วัย อิจฉาใบหน้า
ของเขา อิจฉาตระกูลของเขา
“พี่ฟางจิ้น”
จิ้นซื่อหนุ่มน้อยยิ้มบางให้เขา ประสานมือบ่งบอกว่าขออภัย
พลางหลีกม้าให้รอยยิ้มนี้ทำเอาเสียงหวีดร้องของสตรีโดยรอบยิ่งคึกคักกว่า
เดิม
ม้าของฟางจิ้นแทบจะตกใจ ยังดีที่คนเลี้ยงม้าคว้าไว้แน่น
“น้องฉิน เป็นด้านหน้าที่เดินกันช้า อย่ารีบร้อนไป” เขาเอ่ย
พลางชี้ไปยังด้านหน้า
แล้วฟางจิ้นก็ชี้ไปด้านหลัง
“ด้านหลังก็น่าจะไม่รีบเช่นกัน” เขายิ้มเอ่ย
คนด้านหลังของท่านชายฉินสิบสามไม่รีบร้อนจริงๆ เดิน
เว้นระยะตามหลังเขามาอย่างเอื่อยเฉื่อย
ท่านชายฉินสิบสามแย้มยิ้มบาง เอ่ยเชิญขึ้นอีกครั้ง สายตา
มองข้ามฟางจิ้นไปเบื้องหน้า คล้ายกำลังหาบางอย่างอยู่
หาอะไรน่ะ จะรีบร้อนไปไหนกัน
ฟางจิ้นฉงนอยู่ในใจ ทว่ายามนี้ไม่ใช่เวลามาสงสัย เขาก็ไม่
มีเวลามาสนใจเรื่องของคนอื่นเช่นกัน ณ ขณะนี้เขาต้องดื่มด่ำกับ
ช่วงเวลานี้ของตนเอาไว้ขบวนเคลื่อนไปด้านหน้าท่ามกลางการกู่ร้องเบียดเสียดของ
ฝูงชน เบื้องหน้าเกิดเสียงเอะอะดังขึ้นมาอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น”
“เป็นแม่นางจูของหอเต๋อเซิ่งมาร่ายรำถวายให้แด่เหล่าจิ้นซื่อ”
เสียงบอกเล่าดังลอยมา ทำให้ฝูงชนยิ่งคึกคักกว่าเดิม พากัน
มองไปทางด้านนั้น ส่วนขบวนของเหล่าจิ้นซื่อก็เดินเข้าไปใกล้ทีละ
ก้าวๆ อย่างเนิบช้า
อาคารสีสันสดสวยหน้าหอเต๋อเซิ่ง ชั้นล่างนั้นกลับไม่ยก
พื้นเวทีขึ้นมา มีเพียงกลองใบหนึ่งเท่านั้น
“แม่นางจูร่ายรำ!”
“ดูเร็ว แม่นางจูร่ายรำ”
“นอกจากเทศกาลชมโคมแล้ว นี่เป็นการร่ายรำต่อหน้าฝูงชน
ของแม่นางจูเชียวนะ ราคาสูงค่ามาก!”
กองสังคีตของวังหลวงเดินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เหล่าจิ้นซื่อ
หน้าใหม่ที่เดินตามมาด้านหลังติดๆ จึงได้ยินเสียงกลองที่แม่นางจู
ใช้การร่ายรำด้วยเท้าตีขึ้น เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า เดี๋ยวทุ้มเดี๋ยวกังวานคนหน้ากลองโยกย้ายไปมา คลุมด้วยอาภรณ์หรูหราใน นฤดูหนาว
วาดลายเป็นท่วงท่าประณีตวิจิตร ศีรษะสวมมงกุฎสูง ไข่มุกที่ห้อย
อยู่ขยับไหวตามและเป็นประกายภายใต้แสงตะวัน
จิ้นซื่อที่อยู่หน้าสุดหักใจเดินต่อไม่ได้ ด้านหลังก็ร้อนใจอยาก
จะดู คนเลี้ยงม้าที่จูงม้านำทางก็มองจนใจลอยไปแล้ว ขบวนจึงพลัน
ชะงักลง
ยังดีที่เหล่าทหารรักษาพระองค์พบได้ทันเวลาจึงเอ่ยเร่ง ทำให้
รอดพ้นจากความวุ่นวายไปได้
สายตาแม่นางจูมองจิ้นซื่อหนุ่มน้อยคนนั้นที่ใบหน้ามีรอยยิ้ม
ประดับพยักหน้าชื่นชม ทว่าไม่ได้หลงใหลมัวเมาเหมือนกับคนอื่นๆ
พอพ้นสายตาไปเขาก็ดึงสายตากลับไปมองด้านหน้า ค่อยๆ เดิน
จากไปอย่างช้าๆ แม้กระทั่งหน้ายังไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย
เขาไม่รู้ ว่าการร่ายรำนี้ไม่ใช่เพื่อทุกคน แต่เพื่อเขาเพียง
คนเดียว
“ช่างเป็นสิ่งที่ยากจะลืมในชีวิตจริงๆ” ฟางจิ้นพึมพำขึ้น หันไป
มองคราหนึ่งไม่รู้ว่าเมื่อใดที่จิ้นซื่อหนุ่มคนนั้นเดินตามมาติดๆ อีกแล้ว
“นั่นสิ นั่นสิ” ท่านชายฉินสิบสามแย้มยิ้มบางเล็กน้อยพลางเอ่ย
เขามองไปเบื้องหน้า จู่ๆ ก็ยกมือขึ้น “ดูสิ”
ดูอะไร
ฟางจิ้นรีบมองไป บนถนนเบื้องหน้า บนหน้าต่างข้างทางล้วน
มีแต่ผู้คนที่โบกไม้โบกมือกู่ร้อง ไม่มีเรื่องน่าสนใจอย่างการที่แม่นาง
จูผู้งดงามมาร่ายรำอวยพรเลยสักนิด
“เรือนนางฟ้า” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มบอก
ฟางจิ้นมองไป เห็นหอสุราแห่งหนึ่งธงสีสันสดสวยโบกสะบัด
เรือนนางฟ้าน่ะหรือ
เขาย่อมรู้จักอยู่แล้ว แม้จะเข้าเมืองหลวงมาเพื่อจดจ่อร่ำเรียน
แต่หลายวันก่อนหลังจากการสอบระดับจังหวัดผ่านพ้นไป คนใน
ครอบครัวก็เชิญเขาไปแสดงความยินดีที่เรือนนางฟ้า
ในฤดูวสันต์แรก กินนางฟ้าผ่านมาสักหม้อก็เยี่ยมยอดไม่น้อย
ทว่า…“หากน้องฉินอยากกินล่ะก็ ต้องกินฉลองในงานเลี้ยงอวยพร
ก่อนค่อยมา” เขากระซิบยิ้มบอก
ท่านชายฉินสิบสามมองไปเบื้องหน้า พร้อมกับม้าที่ค่อยๆ เดิน
เข้าไปใกล้เรือนนางฟ้าอย่างช้าๆ
“นั่นก็ไม่แน่หรอก” เขาแย้มยิ้มบางเอ่ยขึ้น
ไม่แน่รึ
ฟางจิ้นไม่เข้าใจขึ้นมาอีกครั้ง เงยหน้ามองไป เห็นด้านหน้า
เรือนนางฟ้านั่นมีคนยืนอยู่มากมายเช่นกัน พอเห็นว่าขบวนเดิน
มาใกล้ ผู้ดูแลที่อยู่หน้าสุดประสานมือคำนับขึ้นสูง
“เรือนนางฟ้า มอบสุราให้กับเหล่าขุนนางทุกท่าน” เขาเอ่ยขึ้น
เสียงดัง
มอบสุราให้รึ
บรรดาจิ้นซื่อตกใจกันเล็กน้อย สุรามีความพิเศษใดหรือไร…
ทว่าความคิดเพิ่งจะเกิดขึ้น บนถนนก็พลันโกลาหล ฝูงชนพุ่ง
เข้ามาราวกับคลื่นสาดซัด
“…เป็นสุราที่เถ้าแก่พวกเจ้าหมักเองหรือไม่”ฝูงชนตะโกนขึ้นเสียงดัง
ผู้ดูแลอมยิ้มประสานมือ
“ขอรับ”
ฝูงชนยิ่งเนืองแน่นเข้ามา
“ของเขาเม่าหยวนหรือ”
ผู้ดูแลหัวเราะยกใหญ่
“แน่นอนว่าไม่ใช่ เขาเม่าหยวนมีให้เพียงเขาเม่าหยวน สุราของ
ขุนนางก็บ่มให้ขุนนางโดยเฉพาะ”
ผู้คนกรูกันมาจนทหารรักษาพระองค์และเจ้าหน้าที่ราชการ
ซ้ายขวาที่อยู่เบื้องหน้าถูกเบียดจนยืนไม่อยู่
“เกิดเรื่องใดขึ้นรึ” คนรอบด้านต่างพากันถามขึ้น
“เรือนนางฟ้าสมควรตายนี่ นึกไม่ถึงว่าจะแจกสุราอีกแล้ว”
มีคนเอ่ยขึ้น เงยหน้ามองฟ้าอย่างห้ามไม่อยู่ “ขอให้ขุนนางใหม่พวก
นี้อย่าเมากันทั้งถนนเลย กระทั่งงานเลี้ยงอวยพรของฮ่องเต้ก็เข้าร่วม
ไม่ได้ เช่นนั้นได้กลายเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์กันแปลกใหม่นับพันปี
แน่”จอกทองคำสีอ่อนวางอยู่เต็มโต๊ะ เรืองรองส่องแสงทิ่มตา
ภายใต้แสงตะวัน ทำให้สุราฉยงเจียงบนนั้นยิ่งดึงดูดใจคน
“คงไม่เมาหรอกกระมัง” จอหงวนคนแรกที่รับจอกทองมาเอ่ย
ถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่ ไม่อาจเสียกิริยาในงานเลี้ยงอวยพรได้นะ
อีกอย่างสุรานี้มันดีจริงๆ หรือ
สายตาที่โหดเหี้ยมรอบด้านมองออกถึงความลังเลของเขา
“เจ้าไม่ดื่มก็เอามาให้ข้า!”
เสียงคำรามดั่งฟ้าร้อง
จอหงวนตกใจจนมือสั่นเบาๆ เหล่าผู้คนที่เดิมทีใช้สายตา
แรงกล้ามองตน เหตุใดยามนี้สายตาแรงกล้านั้นจึงจดจ้องมาที่ยังมือ
ตนได้เล่า
สุรานี้ดีเพียงนั้นเชียวรึ