พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 519 แย่งชิง
ท่านชายเฉิงสี่ฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงใคร แต่บ่าวกลับรู้ในทันใด
ว่านางเป็นใคร
“ชุนหลิงหรือ” เขาเบิกตาโพลงพลางเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอะไร
ขึ้น”
ชุนหลิงหรือ ท่านชายเฉิงสี่ก้าวเท้าไปด้านหน้า ก้มมองร่างเล็ก
ที่คุกเข่าขดเป็นก้อนกลมใต้แสงสลัวในยามค่ำคืน ใบหน้าเรียวเล็ก
แหงนขึ้น เผยให้เห็นน้ำตาที่ไหลอาบไปทั่วหน้า ชุนหลิงจริงๆ ด้วย
“ชุนหลิง เกิดอะไรขึ้นหรือ รีบลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมาคุยกัน” เขารีบ
ยกมือพยุงตัวนางขึ้น
แต่ชุนหลิงกลับไม่ลุกขึ้นยืน น้ำตาไหลรินราวสายฝน พลันหัน
มองท่านชายเฉิงสี่พร้อมคลานเข่าเข้ามา
“ท่านชายสี่ ข้าไม่รู้ว่าควรไปหาใคร ท่านชายสี่ ท่านช่วยข้าได้
ไหม”…
ดวงไฟส่องสว่างพร้อมบรรยากาศคึกคักในยามราตรีของ
ฤดูใบไม้ผลิในเมืองหลวงเริ่มกลับมาอีกครั้ง
แสงไฟสว่างไสวประดับประดาหอเต๋อเชิ่งในยามค่ำคืน
สายลมพัดโชยกลีบดอกไม้และใบไม้ปลิวมา พัดพาชายกระโปรงของ
หญิงสาวให้ปลิวตาม ฝูงนกน้อยใหญ่ส่งเสียงร้องพลางเต้นรำกัน
อย่างร่าเริง
ห้องนอนของแม่นางจูเป็นห้องที่ดีที่สุดในหอเต๋อเชิ่ง บัดนี้
หน้าต่างห้องถูกปิดมิดชิด ทำให้ภายในถูกตัดขาดจากบรรยากาศ
คึกคักด้านนอก
ควันจางๆ จากธูปหอมลอยขึ้นด้านหน้ากระจกขอบทองแดง
ทำให้ภายในห้องดูเงียบสงบยิ่งขึ้น แต่แม่นางจูซึ่งนั่งหวีผมอยู่หน้า
กระจกกลับขมวดคิ้ว บ่งบอกถึงความไม่สงบภายในใจ
ประตูเปิดออกอย่างรุนแรง นำพาเสียงคึกคักและกลิ่นหอมฉุน
เข้ามาในห้อง
“อาเหิง!”เสียงฮูหยินดังขึ้นที่ข้างหู ใครบางคนนั่งลงข้างๆ และหันมอง
นาง พลันกรีดร้องด้วยความตกใจ
“เจ้ายังไม่แต่งหน้าทำผมอีกหรือ”
แม่นางจูหันมองหญิงผู้มีใบหน้างดงามในวัยสามสิบกว่าปี
พลันก้มหน้าคำนับพร้อมเอ่ยเรียกแม่ใหญ่
“เร็วเข้าสิ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมยังเขียนคิ้วไม่เสร็จอีก”
หญิงนางนั้นเอ่ยอย่างร้อนใจ พลางหยิบดินสอเขียนคิวขึ้น “มา
แม่ใหญ่จะเขียนคิ้วให้”
แม่นางจูหันหน้าหนี
“แม่ใหญ่ วันนี้ข้าไม่อยากรับแขก” นางเอ่ย
รอยยิ้มบนใบหน้าของฮูหยินหุบลงในทันใด
“อาเหิง แม่ใหญ่เคยบอกเจ้าแล้ว เราจะทำตัวเอาแต่ใจ พอมี
ชื่อเสียงแล้วก็หยิ่งผยองแบบนั้นไม่ได้” นางเอ่ย “นางโลมก็คือ
นางโลม หากทำตัวหยิ่งผยองเกินไป จะกลายเป็นไร้เหตุผล”
แม่นางจูเหลือบมองแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร
ฮูหยินฉีกยิ้มขึ้นอีกครั้ง“อาเหิง หากเป็นวันอื่นก็คงช่างมันได้ เจ้าก็รู้ว่าแม่ใหญ่ไม่เคย
บังคับเจ้า จะรับแขกหรือไม่ ไปงานเลี้ยงหรือไม่ เจ้าก็ตัดสินใจเลือก
เองได้ แต่แขกที่มาวันนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าก็รู้ว่าถ้าเขามาทีไรก็
เรียกหาแต่เจ้าเท่านั้น เจ้าปฏิเสธเขาไปสองครั้งแล้ว คราวนี้ปฏิเสธ
ไม่ได้แล้วจริงๆ ” นางเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน
“มาตั้งหลายครั้งแล้ว วันนี้อาจไม่มาก็ได้” แม่นางจูเอ่ย
“ได้ ถ้าเขาไม่มา เจ้าก็ไม่ต้องไป” ฮูหยินเอ่ยพลางหัวเราะ “แต่
เจ้าก็ต้องแต่งตัวให้พร้อมก่อน ถ้าเกิดเขามาล่ะ จริงไหม”
แม่นางจูฝืนยิ้ม พลันหยิบดินสอเขียนคิ้วขึ้นมา
ฮูหยินเผยยิ้มด้วยความดีใจ พลางยื่นมือไปลูบหัวนาง
“อาเหิงรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรที่สุดแล้ว” นางเอ่ย แล้วจึง
ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
เมื่อประตูห้องปิดลง ภายในห้องก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง แต่
กลิ่นน้ำหอมฉุนของฮูหยินยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูกแม่นางจู ทำให้
นางรู้สึกกระสับกระส่ายใจ พลันโยนดินสอเขียนคิ้วทิ้ง และหันไป
หยิบธูปหอมมาจุดเพิ่มทำไมต้องมาเจอคนแบบนี้ด้วย
หลายปีมานี้ที่สถานเริงรมย์นี้ก็เคยมีคนหมกมุ่นมาติดพันอยู่
บ้าง แต่คนที่ทำให้นางกลัวได้เพียงนี้ นางเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
หรือควรจะพูดว่า ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
เป็นนางโลมโคมเขียว จะรักษาความบริสุทธิ์ตลอดไปได้
อย่างไร
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้ นางเคยคิดว่าจะ
สามารถกำหนดชะตาชีวิตของตนเองได้ครึ่งหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าพอ
เจอสถานการณ์จริงแบบนี้แล้วจะเปราะบางเพียงนี้
แต่ว่า ไม่อยากจริงๆ ไม่ต้องการจริงๆ
วันนั้นทำไมถึงได้เดินเข้าผิดห้อง ดันเดินเข้าไปในห้องเขาคน
นั้น
ได้อย่างไร ความผิดครั้งนั้นทำให้หนีไปไหนไม่ได้แล้ว…
ที่จริงนี่ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์เสน่ห์อันแพรวพราวของนางได้ แต่
บัดนี้ นางกลับไม่ภูมิใจกับมันเลย ในใจคิดเพียงไม่อยากมีใบหน้า
แบบนี้อีกแล้วแม่นางจูหันมองกระจก คิ้วบางคู่นั้น ถึงแม้จะเพิ่งถูกดินสอ
เขียนคิ้วเขียนเพิ่มเข้าไปเพียงเส้นเดียว แต่ความโค้งเว้าที่ทำให้คน
ใจเต้นแรงก็เห็นได้ชัดแล้ว
เสียงฝีเท้าวิ่งอย่างร้อนรนดังขึ้นจากด้านนอก ประตูเปิดออก
อีกครั้ง
“ท่านพี่!”
“มาเร่งอะไรอีก” แม่นางจูหันไปตะคอกใส่อย่างไม่สบอารมณ์
ชุนหลิงคุกเข่าอยู่หน้าประตู สีหน้าดีใจ
“ท่านพี่” นางตะโกน “มีคนเชิญไปงานเลี้ยง”
“วันนี้ข้าไม่รับแขก” แม่นางจูเอ่ยตอบอย่างไม่สบอารมณ์
“ท่านชายเฉิงสี่เป็นคนเชิญ” ชุนหลิงรีบเอ่ยต่อ
แม่นางจูตกตะลึง
ท่านชายเฉิงสี่ เป็นใครกัน
“ไม่รับ ไม่รับ” นางโบกมืออย่างหงุดหงิด
“ท่านพี่” ชุนหลิงคลานเข่าเข้ามา สีหน้าไม่สบายใจ “ท่านพี่ รับ
เสียดีกว่า ไม่เช่นนั้นหากเขาคนนั้นมาที่นี่…”แม่นางจูตะลึงไปครู่หนึ่ง มือลูบผมที่พาดยาวลงมาอย่างสงบ
“อาเหิง อาเหิง”
เสียงอ่อนหวานของฮูหยินดังขึ้น
แม่นางจูตกใจในทันใด
“ท่านพี่ ท่านพี่” ชุนหลิงสีหน้าตกใจยิ่งกว่า รีบคลานเข่าเข้ามา
ด้านใน
“อาเหิง ท่านชายเกามาแล้ว” ฮูหยินตะโกนเรียกอยู่หน้าประตู
เมื่อเห็นว่าแม่นางจูยังไม่ได้แต่งหน้าทำผม ก็กระวนกระวายขึ้น
มาทันที
“เร็วๆ เข้าสิ”
แม่นางจูตกใจ จึงรีบหยิบดินสอเขียนคิ้วขึ้นมา
“แม่ใหญ่ บังเอิญเสียจริง ข้าเพิ่งรับคำเชิญคนอื่นไปเมื่อครู่นี้
เอง” นางเอ่ย
ฮูหยินตกตะลึง
“รับคำเชิญคนอื่นหรือ รับคำเชิญใครกัน” นางเอ่ยถาม
ชื่ออะไรนะ แม่นางจูรีบหันมองชุนหลิงชุนหลิงเข้าใจความหมาย
“ท่านชายเฉิงสี่” นางรีบเอ่ยตอบ
ท่านชายเฉิงสี่ เขาเป็นใครกัน ฮูหยินขมวดคิ้ว นางจำ ชื่อทุก
คนในเมืองหลวงได้ ขนาดในฝันยังไม่ลืมเลย แต่กลับไม่เคยได้ยินชื่อ
ท่านชายเฉิงสี่อะไรนี่
ตอนข้าเป็นนางโลมแล้ว เจ้ายังดูดนมอยู่เลย จะเล่นแบบนี้กับ
ข้าหรือ
ฮูหยินแค่นหัวเราะ
“ปฏิเสธไปเสีย” นางเอ่ย “ไปหาท่านชายเกา”
“ได้อย่างไรกัน” แม่นางจูเริ่มอารมณ์เสีย “ข้าตอบรับไปแล้ว
จะถือเป็นโมฆะได้อย่างไร”
“เจ้าไม่ต้องผิดคำพูดหรอก ข้าจะเป็นคนเลวให้เอง” ฮูหยินเอ่ย
กึ่งหัวเราะ “ข้าจะไปบอกท่านชายเฉิงผู้นี้เอง โทษเจ้าไม่ได้หรอก”
พูดจบพลันหันหลังทันที
“ข้าอยากรู้เสียจริงว่าท่านเฉิงนี้ใหญ่มาจากไหน”ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ภายให้ห้องรับรองส่วนตัวของหอ
เต๋อเชิ่ง พวกเขาพากันหันมองรอบด้าน สีหน้าตื่นเต้นดีใจ
“ใช้ได้เลยนะเหวินอวี๋ ที่เชิญพวกเรามาที่นี่ได้” ชายหนุ่มคน
หนึ่งเอ่ยขึ้น พลางยื่นมือมาตบบ่าท่านชายเฉิงสี่
ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มอย่างเขินอาย
“ก็แค่มานั่งเล่นพูดคุยกัน” เขาเอ่ย แล้วจึงหยุดลังเลครู่หนึ่ง
“ฟังเพลงบรรเลงสักเพลงเท่านั้น”
เหล่าชายหนุ่มหันมองหน้ากัน แล้วจึงหัวเราะอย่างตื่นเต้นดีใจ
“พูดแบบนี้แปลว่าเชิญคนมาบรรเลงด้วยหรือ” พวกเขาเอ่ย
ถาม
ถึงแม้พวกเขาจะเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก แต่ก็เคยได้ยินว่า
นางโลมในหอเต๋อเชิ่งมีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ไม่ว่า
นางโลมคนไหนต่างก็มีความสามารถในการร้องรำเป็นเลิศ
แน่นอนว่าราคาก็ไม่น้อยเช่นกัน
ท่านชายเฉิงสี่ตอบรับไปอย่างคลุมเครือ พลันหันมองประตู
อย่างกระวนกระวายประตูเปิดออกในทันใด ทำเอาท่านชายเฉิงสี่ตกใจยืดตัวนั่งตรง
“ท่านไหนคือท่านชายเฉิงหรือ”
ฮูหยินใบหน้าสวยพราวเสน่ห์เดินเข้ามาเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
นี่คือนางโลมที่เชิญมาหรือ ถึงแม้จะอายุมากไปหน่อย แต่ก็ยัง
สวยมากอยู่ดี
ชายหนุ่มในห้องพากันหันไปมองอย่างตื่นเต้น
ฮูหยินแค่นหัวเราะในใจ
“ขอโทษด้วยนะเจ้าคะ แม่นางจูที่ท่านเลือกมีนัดอื่นแล้ว จึงไม่
สามารถมาได้” นางเอ่ยพลางอมยิ้ม
แม่นางจูหรือ
กลุ่มชายหนุ่มที่นั่งอยู่ต่างพากันตกใจ
แม่นางจู นางโลมคนนั้นน่ะหรือ
แม่นางจูที่ร่ายรำเพื่อความบันเทิงในขบวนรถม้าของพิธี
สวมมงกุฎจิ้นซื่องั้นหรือ
“เจ้านี่ เชิญใครมาก็ได้ ทำไมมาถึงก็เชิญนางโลมอันดับหนึ่ง
มาเลย จะเชิญสำ เร็จได้อย่างไร” ใครคนหนึ่งกระซิบบอกท่านชายเฉิงสี่อย่างอดไม่ได้
ท่านชายเฉิงสี่ไม่ได้หันไปมองเขา และราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เขา
พูดด้วย แต่กลับหันมองฮูหยินโฉมงามคนนั้น
“แต่ตอนที่ข้าเชิญ แม่นางจูยังไม่มีนัดหมาย และได้ตอบรับคำ
เชิญข้าแล้ว” เขาเอ่ย
เมื่อได้ยินดังนี้ คนทั้งในและนอกห้องต่างพากันหันมองเขา
ด้วยสีหน้าตกตะลึง
“เช่นนั้น ข้าคงต้องบอกความจริงกับท่าน ว่าแม่นางจูมีนัด
อยู่แล้ว จึงไม่สามารถมาพบท่านชายเฉิงได้” ฮูหยินหุบยิ้ม เอ่ยขึ้น
อย่างเนิบเฉย
“นี่มันเหตุผลอะไรกัน ข้าเป็นคนนัดก่อน และนางก็ตอบรับแล้ว
” ท่านชายเฉิงยืดตัวตรงเอ่ยขึ้น
ยังกล้าเถียงต่อ
บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไปในทันใด คนอื่นที่มานั่ง
เป็นเพื่อนก็รู้สึกผิดปกติเช่นกัน“ท่านชายเฉิง พวกเรามาพูดกันอย่างตรงไปตรงมาดีกว่า
แม่นางจูให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่ไหม” ฮูหยินเอ่ยขึ้นกึ่งหัวเราะ ยืดตัวขึ้น
ก้มมองท่านชายเฉิงจากมุมสูง
อะไรนะ
เป็นเช่นนี้หรือ…
คนอื่นพากันหันมองท่านชายเฉิงอย่างตกตะลึง
หมอนี่รู้จักกับแม่นางจูอยู่แล้วหรือ
“นางไม่อยากพบแขกคนนั้น จึงขอให้ท่านมาเป็นโล่กำบัง ท่าน
เข้าใจดีใช่ไหม” ฮูหยินถามตามตรง
“แม่หญิงพูดเรื่องอะไรกัน” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยขึ้น สีหน้า
โกรธเคือง “ข้าเพียงแค่มาดื่มเหล้า เจ้ามาพูดเรื่องอะไรแบบนี้ รีบไป
เรียกแม่นางจูมาก็พอ”
ฮูหยินหัวเราะขึ้น
“ท่านชาย ข้าเคยเจอคนแบบท่านมามากแล้ว” นางเอ่ย พลาง
กรีดนิ้วที่ทาเล็บสีแดงสด “ทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงาม เพียงเห็น
รอยยิ้มของสาวงามก็รู้สึกหัวร้อน กล้าทำไปเสียทุกอย่าง แต่ว่าถึงอย่างไรก็ควรคิดให้รอบคอบเสียบ้าง บางครั้งหัวร้อนแล้วก็จบไป
แต่บางครั้งท่านอาจรับผลจากการหัวร้อนนี้ไม่ไหว”
ต่อให้ไม่เคยมาหอเต๋อเชิ่ง แต่หากได้ยินดังนี้ ทุกคนต่างก็เข้า
ใจดีว่าหมายถึงอะไร
นึกไม่ถึงว่าท่านชายเฉิงสี่จะสร้างแย่งชิงนางโลมกับผู้อื่น ทว่า
ท่าทางนางโลมผู้นั้นจะถูกใจเขามากกว่าหน่อย
“แม่หญิงพูดเรื่องตลกอะไรกัน” ท่านชายเฉิงสี่พูดอย่าง
โกรธเคือง “ข้าฟังไม่เข้าใจ ถึงอย่างไรก็ไปเชิญแม่นางจูมาเถิด”
พวกคนบ้านนอกช่างน่ารำคาญเสียจริง!
หญิงผู้นั้นเองก็เคยเป็นนางโลมมาก่อน ถูกคนตามจีบ
มาตลอด พออายุมากขึ้นก็กลายเป็นผู้ฝึกสอนในสำ นักโคมเขียว
ทุกคนต่างชื่นชมนาง แต่หมอนี่กลับกล้าแกล้งทำเป็นโง่ต่อหน้านาง
ปล่อยให้นางพูดพล่ามเสียเวลา
“ในเมื่อท่านชายฟังไม่เข้าใจ ข้าก็จะพูดตรงๆ ให้ฟัง” ฮูหยิน
สีหน้าโกรธจัด “ต่อไปนี้ท่านไม่ต้องมาหาแม่นางจูของข้าอีก!”เมื่อได้ยินดังนี้ บ่าวของท่านชายเฉิงสี่ซึ่งนั่งอยู่ข้างประตูก็
ทนไม่ไหว กระโดดลุกขึ้นมาในทันใด
“แม่นางอย่างเจ้ามาพูดกับขุนนางของข้าแบบนี้ได้อย่างไร”
เขาตะคอกใส่
ขุนนางหรือ
หญิงผู้นั้นหันมองท่านชายเฉิงสี่
บ่าวสีหน้าภูมิใจ ใช่แล้ว บัดนนี้ท่านชายของเขาได้เป็นขุนนาง
แล้ว เป็นแค่แม่เล้าในสำ นักโคมเขียว กล้ามาพูดกลับขุนนางแบบนี้
ได้อย่างไร!
ฮูหยินเลิกคิ้วหัวเราะขึ้น
“ขุนนางหรือ ที่นี่มีขุนนางมากมาย” นางเอ่ย “ไม่ต้องเอา
ตำแหน่งขุนนางมาขู่ข้า ถ้าอยากขู่ ก็ต้องดูว่าตัวเองมีความสามารถ
พอไหม”
“นี่ เจ้ารู้ไหมว่าท่านชายข้าเป็นใคร” บ่าวรีบเอ่ยขึ้นอย่าง
โกรธเคืองในขณะเดียวกันนี้ ภายในห้องรับรองหรูอีกห้องหนึ่ง ชายร่าง
ท้วมที่กำลังพิงกายอยู่บนสาวงามเหลือบตาขึ้นมามอง
เมื่อเขาขยับตัว เสียงเพลงภายในห้องก็เงียบลงในทันใด ชาย
หญิงที่กำลังหยอกล้อกันอยู่บนที่นั่งทั้งสองฝั่งพลันเงียบลงเช่นกัน
สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่สาวใช้ที่ยืนเขินอายอยู่หน้าประตู
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ชายบนที่นั่งหัวโต๊ะเอ่ยขึ้นเนิบช้า
“ท่านชายเกา นายหญิง นายหญิงของข้าถูกขุนนางเฉิงเชิญไป
ก่อนแล้วเจ้าค่ะ” ชุนหลิงเงยหน้าขึ้นเอ่ย
“ขุนนางเฉิงหรือ” ชายคนนั้นแค่นหัวเราะ
คนอื่นก็หัวเราะตาม
“ขุนนางเฉิงคนไหนกัน ได้ตัวแม่นางจูไปได้อย่างไร” ชายคน
นั้น
เอ่ยขึ้นช้าๆ “ข้าเชิญมาตั้งหลายครั้งยังเชิญไม่สำ เร็จเลย”
เขาเอ่ยขึ้น พลางหยิบผลไม้แช่เหล้าที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมา
ใช้แรงบีบจนน้ำผลไม้กระเด็นไปรอบทิศ