พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 523 แย่งชิงอีกครั้ง
“มีคนฆ่ากันตาย มีคนฆ่ากันตาย”
ชายเมาสุราถูกคนเตะจนได้สติขึ้นมา จึงตะโกนเสียงดังขึ้น
“ฆ่าอะไรกัน!” มีคนตะคอกใส่
“ใช้ธนู ยิงคนตาย…ตายไปตั้งหลายคน…” ชายเมาสุรา
ทำไม้ทำมือ พลางหันมองซ้ายขวา แล้วจึงหยุดพูดในทันใด “เอ๊ะ คน
หายไปไหน”
ไม่มีคนตายหรือถูกทำร้าย แถมยังไม่มีรอยเลือดอย่างที่
จินตนาการไว้
ทว่าบนสะพานสายรุ้งอันสะอาดสะอ้านมีคนมายืนมากมาย
ตั้ง
แต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผู้คนจ้องมองไปทางเดียวกันอย่างตื่นเต้น พลาง
กระซิบถกเถียงกันบางอย่าง
เกิดอะไรขึ้นหรือ นี่เขาจินตนาการไปเองหรือ แต่ไม่ใช่สิ เขา
เห็นคนถือธนูเข้ามาด้านล่างจริงๆ …มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เกิดเรื่องอะไรขึ้น บัดนี้ท่านชายเกาซึ่งอยู่ในห้องรับรอง และ
ผู้คนอีกมากมายต่างสงสัยเรื่องนี้ขึ้นในใจ
“ทำไมเจ้าถึงทำร้ายเขา”
แม่หญิงเอ่ยถาม
“จะทำไมเสียอีก” ท่านชายเกาหัวเราะ พลางหันมองหญิงสาว
ที่คุกเขาอยู่ตรงหน้า แล้วจึงหันมองท่านชายเฉิงสี่ซึ่งอยู่ด้านหน้านาง
“เจ้าทำอะไรน่ะ”
เขาเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
หญิงประหลาดที่บอกว่าต้องการมาถามไถ่ผู้นี้มิได้เอ่ย
ถามเหมือนคนปกติ แต่เมื่อสาวใช้คนหนึ่งหอบห่อของวิ่งเข้ามาให้
นางก็จับท่านชายเฉิงสี่ที่ถูกทำร้ายจนหมดสตินอนลงตรงหน้า
แล้วจึงใช้เข็มจิ้มและใช้มือนวดข้อมือที่บาดเจ็บพลางเอ่ยถาม
“ข้ากำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้เขา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยตอบ
พลันเงยหน้าขึ้น “จะทำร้ายคนก็ต้องมีเหตุผลเสมอ”
ท่านชายเกาหัวเราะเยาะ“ที่นี่คือหอเต๋อเชิ่ง เขาจะมาแย่งชิงนางโลมกับข้า แต่สู้ไม่ได้ ก็
เลยต้องโดนทำร้าย” เขาเอ่ยตอบ
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“แบบนี้นี่เอง” นางเอ่ย “ก็ถูกแล้ว สู้ไม่ได้ก็ต้องโดนทำร้าย”
ท่านชายเกาขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนต้องการเอ่ยถามบางอย่าง
แต่แม่นางผู้นั้นทำอะไรบางอย่างกับมือของท่าชายเฉิงสี่ จนทำให้เขา
หายใจเฮือกใหญ่ได้สติขึ้นมา
“ท่านชายสี่” สาวใช้ตะโกนด้วยความดีใจ
ท่านชายเฉิงสี่ค่อยๆ ได้สติกลับมา พลันหันมองเฉิงเจียวเหนียง
อย่างงุนงง ทันใดนั้น ราวกับนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงพยายาม
ลุกขึ้นในทันใด
“เจียวเหนียง” เขาตะโกนขึ้น “ข้า…”
“ท่านพี่ไม่เป็นไรแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ยื่นมือไปยกมือเขา
ขึ้นมาให้ดู
มือ…หมัดที่ต่อยเข้ามาโดนตัวราวกับสายฝนไม่ได้ทำให้เขาเจ็บจน
หมดสติไป แต่เมื่อมือเขาโดนกระทืบใส่อย่างจัง เขาทั้งเจ็บทั้งกลัว
จนหมดสติไป
มือ!
มือของเขา!
ข้อมือที่ถูกยกขึ้นมาตรงหน้าถูกผ้าสีขาวพันคลุมไว้หลายชั้น
ด้านข้างสองด้านมีกิ่งไม้สั้นๆ เหน็บอยู่
“ไม่ต้องเป็นห่วง อีกสามวันก็ขยับได้แล้ว เดือนเดียวก็
จะกลับมาเป็นปกติ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
กลับเป็นปกติหรือ
ท่านชายเฉิงสี่หันมองนางอย่างกึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ เพราะตอนนั้น
เขาได้ยินเสียงกระดูกตัวเองแตกละเอียด…
“ท่านชายสี่ ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนั้นมือของหลี่ต้าเสาถูกคน
ตัดจนขาด นายหญิงยังต่อให้ได้เลย ของท่านชายเพียงแค่กระดูกหัก
เท่านั้น” สาวใช้เอ่ยพลางหัวเราะ
อ้อ ใช่ ใช่ สี่หน้าท่านชายเฉิงสี่ทั้งตื่นเต้นและดีใจ“ข้ารู้แล้ว!”
เมื่อเห็นคนทางนั้นไม่สนใจพวกเขา อยู่ดีๆ ลูกน้องท่านชายเกา
จึงตะโกนขึ้น พลันยื่นมือชี้นิ้วมาที่เฉิงเจียวเหนียง
“เจ้าคือแม่นางเฉิงคนนั้น!”
ต่อมือที่ขาดได้ ชุบชีวิตคนได้ มีเพียงหมอเทวดาผู้นั้นเท่านั้นที่
ทำได้ไม่ใช่หรือ
แถมนางยังแซ่เฉิง!
ที่แท้ก็เป็นนางนี่เอง
เด็กบ้าแห่งเจียงโจว!
ท่านชายเกาหุบยิ้ม ยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง
ถ้าเป็นแบบนี้ ก็เรียกว่าเป็นตระกูลคนบ้าจริงๆ
“ที่แท้เจ้าก็คือแม่นางเฉิงนี่เอง ข้าชื่นชมเจ้ามานานแล้ว” เขา
ฉีกยิ้มขึ้นอีกครั้ง พลันยกมือขึ้นคำนับ
เมื่อได้ยินเสียงทางนี้ ท่านชายเฉิงสี่จึงหันมามองอย่างอดไม่ได้
เขามองเห็นแม่นางจูที่นั่งตกตะลึงอยู่ตรงนั้น แล้วจึงหันมองชายร่าง
ท้วม พลันเข้าใจสถานการณ์ และรู้สึกเวียนหัวในทันใด“เจียวเหนียง เจียวเหนียง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้ารีบไปเถิด
รีบไป”
ท่านชายเฉิงสี่ทั้งอับอายทั้งรู้สึกผิด ยกแขนเสื้อขึ้นปิดหน้า
พลางตะโกนขึ้น
นี่เรายังอยู่ทีหอเต๋อเชิ่งอยู่หรือ! แถมยังอยู่ต่อหน้าท่านชายเกา
อีก!
นี่ข้าปล่อยให้เจียวเหนียงมาที่นี่ มาเจอคนแบบนี้ เจอเรื่อง
แบบนี้ได้อย่างไร!
ขณะที่เขากำลังตะโกนโวยวาย เสียงฝีเท้า และเสียงโกลาหล
จากการต่อสู้ก็ดังขึ้นจากด้านนอก
“ท่านชายสิบสี่ไม่เป็นไรใช่ไหม”
มีคนเอ่ยถามเสียงสูง
ถึงแม้เขาจะมีผู้ติดตามมาเที่ยวหอนางโลมด้วยไม่มาก แต่เมื่อ
เกิดเรื่อง ก็มีคนตามมาไม่น้อย
ท่านชายเกาเผยยิ้ม พลันมองเหล่าองรักษ์ของตระกูลเฉิงที่ยืน
ล้อมรอบถือคันธนูเล็งมาที่เขาอยู่“หยุดเดี๋ยวนี้” เขาเอ่ยขึ้น
เสียงต่อตู้ด้านนอกเงียบลง
“แม่นางเฉิง เจ้าต้องการอะไร” ท่านชายเกาหันมองเฉิงเจียว
เหนียง เอ่ยถามกึ่งหัวเราะ
“ก็ต้องดูว่าท่านชายเกาต้องการอะไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ต้องการสู้ต่อหรือจะใช้วิธีอื่นแย่งชิง”
ท่านชายเกาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
“แย่งชิงหรือ แย่งชิงอะไร” เขาเอ่ยถาม
“แย่งชิงนางโลมอย่างไรเล่า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย สายตา
จับจ้องไปที่แม่นางจูซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
แย่งชิงนางโลมหรือ
เมื่อได้ยินดังนี้ ผู้คนในห้องต่างพากันตกตะลึง กระทั่งแม่นาง
จูยังเงยหน้าขึ้นมองนาง
“เจียวเหนียง!” ท่านชายเฉิงสี่ตะโกนขึ้นพลางยกมือขึ้นบังหน้า
เขาแทบจะร้องไห้ออกมา “ไม่ใช่แบบนั้น…”
เขาไม่ได้…เขาไม่ได้…
เขากำลังทำอะไร เขาควรอธิบายอย่างไร
ท่านชายเกาเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึงโดยไม่รอให้เขาเอ่ยก่อน
“แม่นางเฉิงว่าอย่างไรนะ” เขาเอ่ยถาม
“ท่านมิได้แย่งชิงนางโลมกับท่านพี่ของข้าอยู่หรือ” เฉิงเจียว
เหนียงเอ่ยถาม “เช่นนั้นก็ขอให้แย่งชิงกันต่อ”
คราวนี้ทุกคนจึงได้เข้าใจ ส่งเสียงฮือฮากันอย่างอดไม่ได้
“แม่นางเฉิง ไม่ได้ล้อเล่นอยู่ใช่ไหม” ท่านชายเกาเอ่ยถาม
นางคงแค่อารมณ์เสียอยู่กระมัง
“เจียวเหนียง เป็นความผิดของข้าเอง เป็นความผิดของข้า
ทั้ง
หมด…” ท่านชายเฉิงสี่พยายามลุกขึ้นมาตะโกนอย่างยากลำบาก
“ไม่ นี่เป็นความผิดของข้า”
แม่นางจูเองก็โผตัวเข้ามาร้องไห้อีกครั้ง
“เป็นความผิดของจูเหิงเอง จูเหิงขออภัยโทษท่านชายเฉิงสี่”
เสียงเพล้งดังก้องขึ้นหนึ่งครั้ง เสียงร้องไห้โวยวายภายในห้อง
พลันหยุดลงในทันใดเฉิงเจียวเหนียงเก็บมือเข้ามา หันมองถ้วยชาที่แตกกระจาย
กลางห้อง
“ร้องไห้ทำไม โวยวายทำไม” นางขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “เมื่ออายุยัง
น้อยก็ต้องหัดออกไปสร้างผลงาน มาเที่ยวหอนางโลม มาหา
นางโลม ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เจ้าเป็นนางโลมก็ควรยินดีที่มีคน
มาแย่งชิง ส่วนพวกเขามาเพื่อฆ่าเวลา ก็ควรสนุกกับการแย่งชิง กล้า
เล่นก็เล่นไป ไม่กล้าเล่นก็ไม่ต้องเล่น เกิดเรื่องหน่อยก็ร้องไห้
โหวกเหวกโวยวายแบบนี้มันช่างน่าขันเสียจริง!”
เป็นแบบนี้หรือ ฟังดูเหมือนจะใช่
ผู้คนในห้องถูกตะคอกใส่จนนิ่งตะลึงไป
นางเป็นนางโลม ไม่ควรโกรธเคืองและเกลียดชังที่ถูกคนแย่ง
ชิง
ท่านชายเกาตามจีบนาง ชอบนาง นางก็ควรดีใจ ควรน้อมรับ
มันด้วยรอยยิ้ม แบบนี้ถึงจะเรียกว่ามีความรับผิดชอบ
แต่ว่า…
แม่นางจูสีหน้าซีดเซียว ปิดตาลงน้ำตาไหนรินบัดนี้นางขาดความรับผิดชอบไป จะเล่นด้วยไม่ได้แล้ว…
“ท่านชายเกา นางโลมผู้นี้ท่านยังจะแย่งชิงอยู่หรือไม่” เฉิง
เจียวเหนียงไม่สนว่าคนรอบข้างจะเป็นอย่างไร เพียงแต่หันมองไป
ทางท่านชายเกา และเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
การมาหานางโลมที่ซ่อง หรือแย่งชิงนางโลมเพื่อความบันเทิง
เป็นเรื่องผิดจริยธรรมที่ควรดูถูก แต่บัดนี้ เมื่อหันมองสีหน้าของหญิง
ผู้นี้ และฟังคำพูดที่นางเอ่ยออกมา ผู้คนภายในห้องต่างพากัน
เคร่งขรึมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังเรื่องหนึ่ง
ถูกต้อง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจัง
ท่านชายเกาหันมองหญิงสาวตรงหน้า พลันฉีกยิ้มออกมา
ถูกต้อง เขากำลังแย่งชิงนางโลมอยู่ แต่ในเมื่อรู้ว่าเขากำลัง
แย่งชิงอยู่ เหตุใดแม่หญิงผู้นี้ถึงยังกล้าเอ่ยแบบนี้
นี่มันเป็นการยั่วยุ!
นางกำลังยั่วยุตระกูลเกาของเขา!
แม่นางเฉิงผู้นี้ ในที่สุดนางก็มายั่วยุตระกูลเกาของเขาอย่าง
โจ่งแจ้งแล้ว!ถึงแม้เขาจะเพิ่งเคยเจอแม่นางเฉิงเป็นครั้งแรก แต่เขารู้จักนาง
ดีมานานแล้ว ท่านพ่อมักเอ่ยถึงนางที่บ้าน และภายนอกก็มีข่าวลือ
เกี่ยวกับนางมากมาย นางมีอาจารย์ผู้เก่งกาจ เรียนรู้ความสามารถ
แปลกประหลาดมามาก เป็นที่น่าเกรงขามในหมู่ชาวเมือง และเป็น
บุคคลน่ากลัวในราชสำ นัก
ท่านพ่อบอกว่าหญิงสาวผู้นี้มีความกล้าและสติปัญญาที่น้อย
คนนักจะมี หากตระกูลเกาไม่ได้นางมาเป็นพวก ก็ควรต้องกำจัด
นาง
แต่ก็ไม่จำ เป็นขนาดนั้น ตระกูลเกาของพวกเขาไม่จำ เป็นต้อง
ลงมือเอง เหตุหนึ่งเพราะพวกเขายังมีเรื่องใหญ่ต้องทำอีกมาก ถึง
แม้หญิงผู้นี้จะน่ารังเกียจ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายต่อรากฐานของ
พวกเขา ท่านพ่อเน้นย้ำเสมอ ว่าเวลาจะทำอะไรต้องเรียง
ลำดับความสำ คัญให้ดี อีกเหตุผลหนึ่งคือ…
“ถึงแม้คำพูดโง่เขลาของฝูงชนจะเชื่อไม่ได้ แต่หญิงผู้นี้ก็
มีกลิ่นอายของความเคราะห์ร้ายจริง” ใต้เท้าเกาถอนหายใจเอ่ยขึ้น
“ดูคนที่ได้พบเจอนางสิ ไม่มีใครจบลงด้วยดีทั้งนั้น”ตัวอย่างเช่น ราชเลขาหลิว เจียงเหวินหยวน และเฝิงหลิน
คนอื่นก็ไม่ได้สำ คัญอะไร เพราะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเกา
ไม่เกี่ยวข้องกับท่านชายสิบสี่ มีเพียงเจียงเหวินหยวน
เจียงเหวินหยวนไม่เพียงเป็นแรงสนับสนุนสำ คัญทางการทหาร
ของท่านพ่อเขา แต่ยังเป็นผู้ช่วยในกิจการส่วนตัวของท่านพ่อเขา
ด้วย ตั้งแต่กำจัดเจียงเหวินหยวนไป ก็ราวกับตัดอวัยวะสำ คัญของ
เขาไป
บัดนี้แม่นางเฉิงผู้นี้ไม่เพียงวนเวียนอยู่รอบตัวเขาเท่านั้น แต่ได้
เข้ามาหาเรื่องซึ่งหน้าแล้ว
นางคิดว่าตัวเองจะผ่านทุกอย่างไปได้โดยไม่มีใครสู้ได้เลยหรือ
ตระกูลเกาของพวกเขาไม่อยากลงมือกับนาง ไม่ใช่ว่าไม่กล้า
ลงมือกับนาง
บัดนี้ หากนางยอมรับผิดและชดเชยความผิด เอ่ยประโยค
อ่อนน้อมสักสองสามประโยค เรื่องนี้ก็คงผ่านไป ยังคงให้เกียรตินาง
เป็นการชั่วคราวได้ แต่นึกไม่ถึงว่าหญิงผู้นี้จะกำแหงเพียงนี้!
แย่งชิงนางโลม! นางกล้าแย่งชิงนางโลมกับข้า!“พูดแบบนี้หมายความว่าแม่นางเฉิงจะแย่งชิงด้วยหรือ” เขา
เอ่ยอย่างเนิบช้า
“แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดจบ ในเมื่อเริ่มต้น
แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาผลลัพธ์ตอนจบให้ได้” เฉิงเจียวเหนียง
เอ่ย
…
“พวกเขาจะทำอะไรกันนะ”
แม่นางม่อตกใจอกสั่นขวัญหาย กระโดดโหยงขึ้นมา ความคิด
วุ่นวายปรากฏขึ้นในหัวเมื่อได้รับรายงานเรื่องนี้จากพนักงานต้อนรับ
แขก
“จะแย่งชิงนางโลมต่อ” บ่าวต้อนรับแขกเอ่ยตอบ
ยังจะแย่งชิงอีกหรือ
“…แม่นางเฉิงยังบอกอีกว่า เมื่อครู่นี้ท่านชายเกามีคนเยอะ
ท่านพี่นางเสียเปรียบ บัดนี้นางพาคนมาแล้ว จึงถามท่านชายเกาว่า
จะสู้กันต่อ หรือจะทำอย่างอื่น…” บ่าวต้อนรับแขกเอ่ยต่อช่างเป็นเรื่องที่พบเจอได้ยากเสียจริง เขาเอ่ยขึ้นด้วย
ความตื่นเต้นดีใจ
น้องสาวคนหนึ่งพาคนมาช่วยพี่ชายต่อสู้แย่งชิงนางโลม พูด
ออกไปคงไม่มีใครเชื่อ
“แย่งชิงนางโลมอะไรกัน!” แม่นางม่อยกมือขึ้นตบหน้าเขา
ทำเอาหมวกของเขาเบี้ยวไปข้างหนึ่ง “เจ้าโง่หรืออย่างไร บัดนี้มันไม่
ใช่เรื่องของนางโลมแล้ว นี่มันตระกูลเกากับตระกูลเฉิงงัดกันชัดๆ !”
งัดกันแล้ว! ในที่สุดก็งัดกันแล้ว!
ชุนหลิงนั่งสะอึกสะอื้นอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้ม
บางๆ เผยขึ้นที่มุมปาก แล้วจึงฟุบหน้าลงร้องไห้โฮต่อ
“ท่านพี่ข้าช่างน่าสงสาร…”
แย่งชิงอย่างไร สู้กันต่อหรือ
แม่นางจูนั่งอยู่ภายในห้อง หันมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้า
เหม่อลอย
แย่งชิงนางโลม!
นางหัวเราะขึ้นในทันใด หยดน้ำตายังคงแวววาวเป็นประกายใช่แล้ว เมื่ออายุยังน้อยก็ต้องหัดออกไปสร้างผลงาน ไม่ใช่
เรื่องใหญ่อะไร การแย่งชิงก็เป็นการสร้างผลงาน เป็นการ
สร้างชื่อเสียงหน้าตา แล้วมันเกี่ยวกับนางโลมอย่างนางอย่างไร
นางเป็นเพียงของสิ่งหนึ่งเท่านั้น
“ไม่ต้องสู้กันแล้ว” นางเอ่ยขึ้นในทันใด
ผู้คนภายในห้องพากันหันมองนาง
“นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีและสง่างาม หากลงมือสู้กันก็คงน่า
เสียดาย”
“อีกอย่าง ถึงแม้ข้าจะเป็นนางโลมโคมเขียว แต่บัดนี้มิใช่การ
เชิญไปงานเลี้ยงในตำหนัก ดังนั้นจึงไม่ต้องสู้กันด้วยยศ
ถาบรรดาศักดิ์” แม่นางจูเอ่ยต่อ “บัดนี้เป็นเพียงความบันเทิงใน
การท่องราตรี ข้าเปฌนนนางโลม จึงควรคุยกันเรื่องราคาเท่านั้น
ใครให้ราคาสูงก็จะได้ข้าไป”
นางพูดจบพลันเผยยิ้ม หันมองท่านชายเกา แล้วจึงหันมอง
แม่นางเฉิง
“ดังนั้น ใครให้ราคาสูงกว่า จูเหิงก็จะไปรับใช้ผู้นั้น”ท่านชายเกาหันมองเฉิงเจียวเหนียง ส่วนเฉิงเจียวเหนียงเองก็
หันมองเขา
“ได้” ท่านชายเกาเอ่ยขึ้นพลางเผยยิ้ม
“ได้” เฉิงเจียวเหนียงเองก็เอ่ยขึ้นพลางเผยยิ้มเช่นกัน