พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 524 ราคาแพง
ท่านชายโจวหกแทบจะควบม้าพุ่งเข้าไปในหอเต๋อเซิ่ง เดิมที
ห้องโถงเต็มไปด้วยเสียงดังกึกก้องอยู่แล้วก็ยิ่งคึกคักเข้าไปใหญ่
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายกลายเป็นว่าไม่มีใครต่อว่าเขา
สักคำ ผู้คนที่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เขาพุ่งตัวเข้ามาเมื่อครู่ก็มิได้สนใจ
และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สำ หรับท่านชายโจวหกแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาเยือนยังหอ
เต๋อเซิ่งแห่งนี้ เพียงแต่ก่อนหน้าเขามาแค่ช่วงกลางวัน แต่ครั้งนี้
เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาตอนช่วงค่ำ ทั่วทั้งหอคละคลุ้งไปด้วย
กลิ่นหอมของแป้งร่ำ ประดับประดาด้วยสีสันเขียวแดง แม้ว่าจะยัง
ไม่เข้าสู่ช่วงฤดูร้อนก็ตาม แต่เหล่าสตรีในหอต่างก็เริ่มสวมใส่
อาภรณ์สำ หรับหน้าร้อนกันเสียแล้ว เผยให้เห็นผิวสาวอันขาวเนียน
ท่านชายโจวหกรู้สึกมึนหัวตาลายนี่มันไม่ถูกต้อง ก็ไหนว่ามีเรื่องเกิดขึ้นไง เหตุใดบรรยากาศ
ถึงได้เป็นเช่นนี้ล่ะ
ไม่มีอาวุธหน้าไม้วางสลับกัน ไม่มีผู้คนวิ่งหนี ไม่มีร่องรอย
ความยุ่งเหยิง จะเห็นก็มีแต่กลุ่มคนที่ท่าทางดูคึกคัก สายตาจับจ้อง
ไปยังที่เดียวกัน
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
หรือว่าจะไม่ใช่ที่นี่กัน
ท่านชายโจวหกค่อยๆ พาร่างอันแข็งทื่อของตนลงจากหลังม้า
มือพลางคว้ามีดที่อยู่ใต้ชุดยาว
“…ว่าอย่างไรบ้างล่ะ”
“…แค่เริ่มก็จะให้พันนึงแล้ว…”
“…ตายจริง พันนึงเลยรึ…”
“…พวกเจ้าจะลงไหมล่ะ”
คนพวกนี้พูดเรื่องอันใดกัน
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้ว หรือว่าหอเต๋อเซิ่งแห่งนี้จะกลายเป็น
หอพนันไปเสียแล้ว ดูๆ แล้วที่นี่ก็เต็มไปพวกผีพนัน“พวกเจ้า ทำอะไรกัน” ท่านชายโจวหกเอ่ยถาม
ชายผู้หนึ่งรีบหันหน้ามา แล้วชี้ไปที่ชั้นบน
“ตรงนั้นมีชายหนึ่งคน กับหญิงอีกหนึ่งคน กำลังทะเลาะแย่ง
นางโลมกันอยู่ขอรับ” ชายผู้นั้นเอ่ย
ตรงนั้นมีชายหนึ่งคน กับหญิงอีกหนึ่งคน กำลังทะเลาะแย่ง
นางโลมงั้นรึ…
หอเต๋อเซิ่ง นางโลม ขุนนางทั้งหลาย …
เสียงของบ่าวที่เคยพูดไว้ ตอนนี้เริ่มดังในหัวเขาอีกครั้ง
เป็นไปไม่ได้! นางผู้นั้นน่ะหรือ!
ท่านชายโจวหกรีบย่ำเท้าขึ้นไปชั้นสอง
ในห้องรับรอง แม่นางม่อใบหน้าตกตะลึง นางเข้ามายังสำ นัก
โคมเขียวตั้งแต่หกขวบ ปัจจุบันนางอายุสามสิบหก เป็นครั้งแรกที่
นางพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้
“…สามพัน…”
เสียงของสตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
“สามพันต่อหนึ่งคืนอย่างนั้นรึ” เสียงของชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นสามพันต่อหนึ่งคืนเป็นค่าหลับนอนอย่างนั้นหรือ…
จ่ายค่าหลับนอนแบบนี้หลายคืนเข้า คงได้กินแกลบจนต้อง
ขายตัวเองเข้าสักวัน
แม่นางม่อเอ่ยพึมพำ เงยหน้ามามองทั้งคู่
เรื่องแย่งชิงนางโลม ใช่ว่านางจะไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่
มาแย่งกันด้วยเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ นางเองก็เพิ่งจะประจักษ์
เป็นครั้งแรก แถมยังมีสตรีที่มาเป็นตัวแทนของพี่ชายมาช่วย
ต่อราคากันอีกด้วย
“หนึ่งหมื่น” เสียงของขุนนางผู้หนึ่งที่ดูแล้วเอ่ยตัวเลขออกมา
อย่างไม่คิดอะไรดังขึ้น “เดือนนึงไปเลย”
เขาเอ่ยพลางมองไปทางพ่อบ้านของเขา
“พวกเราไม่ได้นำเงินมาเยอะขนาดนั้น คงต้องเขียนใบติดหนี้”
พ่อบ้านเอ่ยขึ้น
แม่นางม่อจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร
“ไม่ต้องเขียนเอกสารอะไรหรอก ขอแค่คำพูดของท่านขุนนาง
ก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ” แม่นางม่อหัวเราะ“คนอย่างข้าไม่มีติดหนี้ใครอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องซื้อขาย”
ขุนนางผู้นั้นเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ร่างหนังสือเสีย เสร็จแล้วรีบไปนำ
เงินมา อย่าให้เลยคืนนี้”
พ่อบ้านรีบขานรับ แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาร่างใบติดหนี้ แล้ว
ประทับตราด้วยลายนิ้วมือของขุนนาง จากนั้นจึงโยนขี้นกลาง
อากาศ
สาวงามแม่นางจูที่กำลังนั่งอยู่ตรงนั้น จู่ๆ รอบตัวนางทั้งซ้าย
ทั้ง
ขวาก็ถูกโปรยไปด้วยเงิน
“สองหมื่นต่อหนึ่งเดือน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น
สาวใช้เองก็ไม่ลังเลที่จะรีบโยนตั๋วสองใบออกไป
ขุนนางผู้นั้นสีหน้าเริ่มเปลี่ยน
สตรีผู้นี้ดันเพิ่มเงินเท่าตัวขนาดนี้เลยรึ!
ใครเขาทำแบบนี้กัน
แถมนางยังให้เงินจริงๆ ด้วย
นี่พกเงินเยอะขนาดนี้เชียวหรือ“นายท่าน” พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ เขาเอ่ยเสียงเบา “ระวังด้วย
ขอรับ อย่าถลำเข้าไป”
ลูกไม้แบบนี้ใช่ว่าเขาจะไม่เคยพบเคยเจอ อีกฝ่ายมักจะดัน
ราคาให้สูงขึ้น ถ้าหากเผลอตามน้ำไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเหลือแค่
ตนเองที่ยืนโง่อยู่ตรงนั้นคนเดียว
หากเพิ่มเป็นสามหมื่น นางจะยอมแพ้หรือไม่นะ
เหมานางโลม ในราคาสามหมื่น ในเวลาหนึ่งเดือน มีหรือคน
อย่างข้าจะไม่เล่นด้วย
เขายิ้มเยาะในใจ
“สองหมื่นห้า” เขาเอ่ย
พ่อบ้านรีบหยิบกระดาษขึ้นมาร่างใหม่ แล้วโยนไปให้
“สามหมื่นห้า” เฉิงเจียวเหนียงขานต่อ
เหล่าสาวใช้ก็รีบโยนเงินให้
ให้ตายสิ!
สามหมื่นห้า! เพื่อจ่ายให้กับนางโลมเนี่ยนะ! ราคานี้แทบจะ
เท่ากับค่าสินสอดของคนเมืองหลวงแล้ว!นี่ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายกับนางเลยหรือ คนอย่างนางจะเห็นเงิน
เป็นเศษเงินเชียวงั้นหรือ
ขุนนางเกาสีหน้าเริ่มแข็งทื่อ กะจิตกะใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อตัว
ในใจของเขา มีแต่คำด่า
“สี่หมื่น!” ขุนนางยังคงเอ่ยต่อ
“ท่านชายสิบสี่ขอรับ…” พ่อบ้านเริ่มใจคอไม่ดี จนอดไม่ได้ที่จะ
ต้องเข้าไปเตือนท่านชายเบาๆ จากด้านหลัง
ราคาสูงเกินไปแล้ว!
ขุนนางเกาถลึงตาใส่พ่อบ้าน พ่อบ้านเลยไม่กล้าพูดอะไรต่อ
จึงทำได้แต่ร่างใบราคาขึ้นมาใหม่แล้วโยนเข้าไป
“สี่หมื่นต่อหนึ่งเดือนใช่หรือไม่” แม่หญิงม่อถามย้ำ
ต่อราคากันไปมา นางฟังแล้วฟังอีกจนเวียนหัว จากนั้นก็ได้สติ
แล้วก็มึนหัวอีกครั้งสลับกันไปมา จนตัวนางเองอดคิดไม่ได้เลยว่า
หรือหูของตนจะมีปัญหา จนต้องเอ่ยถามด้วยตนเองเพื่อยืนยัน
“ข้าให้ห้าหมื่นเลย”ขุนนางเกายังไม่ทันได้ตอบดี เฉิงเจียวเหนียงก็รีบชิงพูดเสีย
ก่อน
ห้าหมื่น! ต่อหนึ่งเดือนเนี่ยนะ!
ราคานี้ซื้อนางโลมได้สามคนสบายๆ เลยเชียวนะ!
แม่นางม่อค่อยๆ ดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน พลางเอามือกันไว้ที่
หน้าอกตัวเองเพื่อไม่ให้หัวใจหลุดออกมา จากนั้นจึงสูดลมหายใจลึก
เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นลมไปเสียก่อน
ท่านชายเฉิงสี่เองก็ค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลง ใบหน้าของเขาทั้ง
แดงทั้งซีดในคราวเดียวกัน
“น้องรัก!” เขาตะโกนด้วยเสียงราวกับกำลังสะอื้น
ห้าหมื่น คงเป็นเงินทั้งหมดที่นางมีแล้วล่ะ!
นางต้องการอะไร! ต้องการอะไรกันแน่!
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้!
ไม่สิ ปกตินางก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าได้ลองแล้วก็ทำจริง ทุ่มเท
สุดตัวไม่มีถอย ก็เหมือนกับครั้งที่นางยึดค่าสินสอดจากท่านพ่อของ
เขาไป รวมถึงครั้งที่นางปะทะกับเฝิงหลินด้วย นางเอาจริง แถมยังเล่นไม้โหด แต่ไม่ว่าจะโหดแค่ไหน นางมักจะเล่นโหดกับตนเองก่อน
เสมอ
เหตุใด…จึงเป็นเช่นนี้ไปได้นะ…
เรื่องแค่นี้ นางยังอยากจะเอาชนะอีกหรือ ยอมคนเขาบ้างมัน
จะเป็นอะไรไป!
ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คน เฉิงเจียวเหนียงยังคงท่าที
เช่นเดิม ราวกับว่านางไม่เคยพูดถึงเรื่องเงินห้าหมื่นนั่นมาก่อน
“ขุนนางเกา ถึงคราวท่านแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ขุนนางเกาเริ่มเหม่อ
จะหกหมื่นงั้นหรือ! หรือว่าเจ็ดหมื่น!
เขาเอาแต่ตะโกนในใจ ไม่กล้าเอ่ยออกมา
ห้าหมื่น สำ หรับตระกูลเกาแล้ว ก็แค่เศษเงิน แต่นั่นก็ไม่ใช่เงิน
ของเขา
ถ้าฉุกเฉินจริง เงินห้าหมื่นหกหมื่นก็คงต้องหยิบมาใช้ แต่ถ้ามา
ใช้กับการซื้อนางโลมล่ะก็ คงหมดสิทธิ์ดูเหมือนว่านางจะตายใจ และมั่นใจว่านางต้องเป็นผู้ชนะ นั่นก็
หมายความว่านางต้องการจะฉีกหน้าเขา
ฉีกหน้าเขา ก็เท่ากับฉีกหน้าตระกูลเกา นางกล้าดียังไง!
ก็แค่เพื่อนางโลมคนเดียวเท่านั้น นางเลยต้องมาแหกหน้าเขา
เช่นนี้ บอกไปก็คงไม่มีใครเชื่อหรอก!
“ขุนนางเกาจะเสนอราคาที่สูงกว่านี้หรือไม่”
ฟังนางเข้าสิ ถ้าไม่ใช่หักหน้าแล้วจะเรียกว่าอะไร
ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่หลังนางก็กำลังทำ
ท่าทางจะหยิบเงินเอามาข่ม
“พวกข้าให้เงินสดๆ เลย ไม่ต้องเขียนใบหนี้” สาวใช้เอ่ยขึ้น
“หากเงินสดไม่พอ พวกข้ายังมีเรือนไท่ผิง เรือนนางฟ้า อี๋ชุนถังมาค้ำ
ไว้อีก”
ว่าอย่างไรนะ
เล่นเอากิจการมาค้ำกันเลยรึ!
บ้าจริง!
ขุนนางเกากัดฟันกรอดๆนี่นางจะเล่นเขาถึงตายเลยใช่ไหม
ถ้าเสนอราคาออกไปอีก นางก็จะเอ่ยข่มอีกอย่างนั้นสินะ
แล้วจะเพิ่มอีกเท่าไหร่กันล่ะ
ไม่มีวันสิ้นสุดเลยหรือไง
ล้อกันเล่นหรือเปล่า! ไม่มีทาง!
ขุนนางเกาขมุบขมิบปากราวกับจะเอ่ยอะไรออกมา แต่พอเขา
อ้าปาก กลับไม่มีเสียงอะไรออกมาเสียอย่างนั้น
ถ้าหากว่า เขาเอ่ยราคาสูงขึ้น แล้วนางขอยอมแพ้ ก็
หมายความว่าเขาถูกหลอกอย่างงั้นสิ
ชนะแล้วจะได้หน้างั้นรึ
ได้หน้าบ้าบออะไรกัน! เขาเสียหน้าตั้งแต่ที่นางเข้ามาขอแย่ง
นางโลมจากเขาไปแล้ว!
หากเขาชนะนาง ก็เท่ากับว่าต้องเสียเงินจำ นวนมาก ถ้าเช่นนั้น
นางก็จะยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่!
ขุนนางเกาจ้องไปที่นาง แล้วหัวเราะเย้ยในใจ
เอาล่ะ!“เอาล่ะๆ แม่นางเฉิงผู้ร่ำรวยมากทรัพย์ ยอมเสียเงินเพื่อ
นางโลม ข้ามิบังอาจจะแย่งท่านหรอก” เขาเอ่ย พลางทำมือคำนับ
นาง
สิ้นประโยคเมื่อครู่ แม่นางม่อก็รีบถวายตัวให้ แล้วรีบเก็บเงินที่
ได้ไว้ในอ้อมอก
“อาเหิง ยังไม่รีบขอบคุณแม่นางเฉิงอีก” แม่นางม่อเอ่ยกับ
แม่นางจู
ณ จุดนี้ แม่นางม่อไม่ได้สนแล้วว่านางเป็นใครมาจากไหน เงิน
ที่นางได้เพียงพอที่จะอยู่กินทั้งชีวิตแล้ว!
แม่นางจูยิ้มพลางรีบโค้งคำนับให้เฉิงเจียวเหนียง จากนั้น
จึงเดินเข้าไปหานาง
เมื่อได้เห็นเถ้าแก่กับนางโลมกำลังประจบสอพลอนางจนไม่
มีใครสนใจตนเอง ขุนนางเกาหน้าถอดสี
ท่านชายโจวหกเดินเข้ามาพอดี เขาเดินเข้ามาด้วยความโมโห
ที่เกิดจากคนด้านนอกที่คอยขวางเขาไม่ให้เข้ามา แล้วเขาก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เถ้าแก่และนางโลมกำลังมองแม่นางเฉิงด้วย
ความชื่นชม
“ทำอะไรน่ะ! ถอยออกไปนะ!” เขารีบเดินเข้าไป พลางทำ
หน้านิ่วคิ้วขมวด แล้วยกมือห้ามนางโลมไม่ให้เข้าใกล้เฉิงเจียว
เหนียง
รังเกียจงั้นหรือ…
นั่นเป็นสายตาของความรังเกียจชัดๆ
สภาพของเขาตอนนี้คงดูไม่ได้แน่ๆ …
ผมเพ่ายุ่งเหยิง ใบหน้าที่ถูกชะล้างด้วยหยดน้ำตา เสื้อผ้าก็
รุงรัง…
ใช่แล้วล่ะ มันต้องดูแย่มากแน่ๆ เลย
แบบนี้จะคุ้มกับเงินห้าหมื่นที่ได้มาได้อย่างไรกัน
ห้าหมื่นเลยนะ หลายคนชาตินี้ก็หาเงินมาเท่านี้ไม่ได้ แต่นาง
แค่ต้องหลับนอนกับผู้ชายหนึ่งเดือนก็จะได้เงินนี้มาใช้แล้ว
เงินก้อนนี้ ช่างได้มาอย่างง่ายดายเสียจริง“ท่านชายเฉิง” แม่นางจูยิ้มหวานให้เขาพลางโค้งคำนับ
“หม่อมฉันขอตัวไปแต่งหน้าทำผมก่อน แล้วจะรีบมาอยู่ด้วยนะเพคะ
”
พอนางเอ่ยจบก็รีบหันตัวแล้วย่างเท้าอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่านาง
รีบอะไรกัน รีบเสียจนก้าวเท้าไม่เป็นจังหวะ
เรื่องต่อราคาอันแสนวุ่นวายก็ได้จบลง แต่ทว่า นี่เพียงแค่
เริ่มต้นเท่านั้น
แม่นางเฉิง คาดไม่ถึงเลยเชียว! ว่านางจะมาสู้กับเขาด้วยเรื่อง
แค่นี้
ท่านชายเกามองไปยังสตรีที่นั่งเรียบร้อยอยู่ฝั่งตรงข้าม
ยิ้มเยาะในใจ แต่ภายนอกเขากลับทำหน้ายิ้มแย้มปกติ
“ว่าแล้วเชียวว่าแม่นางเฉิงต้องไม่ธรรมดา” เขาเอ่ย “ข้าขอ
คารวะ ถ้าไม่ได้ต่อปากต่อคำ…ข้าก็คงไม่ได้รู้จักแม่นาง”
ประโยคเมื่อครู่ทำไมฟังดูพิลึกชอบกล
“ส่วนเรื่องมือของท่านชายเฉิง ต้องขออภัยด้วย” เขาเอ่ยแล้ว
ยิ้มเบาๆ แล้วรีบเปลี่ยนสีหน้าแสร้งเสียใจ จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแล้วหันไปด้านข้าง “พวกเจ้า โอหังนัก ข้าให้ไล่คนไป ไม่ได้ให้ไปตัดแ แขน
เขาทิ้งนะ”
เหล่าผู้ติดตามต่างก็รีบยืนตัวตรงแล้วสารภาพ
“ใครเป็นคนทำ” ท่านชายเกาขู่ถาม
ผู้ติดตามนายหนึ่งยืนลุกขึ้น
ท่านชายเกามองเขา แล้วถอยหายใจอย่างเย็นชา
“มือต้องแลกด้วยมือ เจ้าตัดมือตัวเองเพื่อรับผิดแก่ท่านชาย
เฉิงเสีย” เขาเอ่ยขึ้น
สิ้นประโยคเมื่อครู่ ทั้งห้องตกอยู่ในความตะลึงอีกครั้ง
ผู้ติดตามคนนั้นสีหน้าเริ่มซีดเซียว
แต่เขาก็พอรู้นิสัยของท่านชายเกาดี มือเทียบกับชีวิตแล้ว เขาก็
ต้องเลือกปลิดชีวิต แม้ว่าการที่ไม่มีมือก็เท่ากับไม่มีชีวิตก็ตาม แต่ถ้า
ไม่เชื่อฟังเขาละก็ต้องตายอย่างน่าอนาถ แถมยังต้องลำบากลาก
สาวไปถึงตระกูลอีก น่าอับอายขายขี้หน้าเข้าไปอีก อย่างน้อยแค่เสีย
แขนไป ก็ยังช่วยเหลือที่บ้านได้อยู่พอคิดๆ ดูแล้ว ผู้ติดตามจึงยกแขนขึ้นแล้วฟาดเข้าไปที่ต้น
เสาที่ตั้งอยู่ด้านข้าง
“ช้าก่อน!” เฉิงเจียวเหนียงค้านขึ้น
สิ้นคำของเฉิงเจียวเหนียง แขนของผู้ติดตามก็เกือบจะ
กระแทกลงไปที่ต้นเสา เสียงของนางอื้ออึงอยู่ในหูของเขา ผู้คนที่อยู่
ในเหตุการณ์ต่างพากันหลับตาปี๋พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
ใบหน้าของท่านชายเกาเผยให้เห็นรอยยิ้มของผู้ชนะ แต่พอ
หันไปทางผู้ติดตามคนนั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นตกใจ
ผู้ติดตามคนนั้นล้มลงไปกับพื้น มือของเขายังอยู่ดีและกำลัง
กอดขาตนเอง
กาเหล้าสีเงินตกลงไปบนพื้น
ท่านชายโจวหกพ่นลม พลางสะบัดมือออก แล้วเอนตัวนั่งลง
“แม่นางเฉิง ท่านจะทำอันใด” ท่านชายเกาขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“ท่านชายเกา ท่านแพ้ไม่เป็นสินะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยตอบ
เขาตกใจเล็กน้อย แล้วก็พ่นเสียงหัวเราะออกมา
“แม่นางเฉงหมายความเช่นใดกัน” เขาเอ่ย“การต่อสู้ย่อมมีบาดแผล มีคนได้เปรียบ ก็ย่อมมีคนต้อง
เสียเปรียบ นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา” เฉิงเจียวเหนียงสายตาจับจ้องไป
ที่ท่านชายเกา “พี่ชายของข้าต้องบาดเจ็บก็เป็นเพราะเขาแพ้
การต่อสู้ ซึ่งเขาก็ยอมรับแล้ว ไม่ต้องเอ่ยขอโทษแต่อย่างใด ท่าน
โจมตีได้ พวกเราก็รับมือได้เช่นกัน แต่ท่านชายเกาจะมาพิรี้พิไรกับ
เรื่องเล็กๆ เช่นนี้ ดูจะเอาแต่ใจไปหน่อยรึเปล่า”
อีกอย่างนะ
ข้ารับผิดแล้ว นางยังจะหาว่าเอาแต่ใจอีกรึ
ท่านชายเกาทำหน้านิ่ว
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามิใช่คนที่จะมายุ่มย่ามกับคนตัวเล็กๆ
พวกเขาก็แค่รับฟังคำสั่งของคนที่ใหญ่กว่า ซื่อสัตย์และปฏิบัติตน
ตามหน้าที่ก็เท่านั้น ธุระใครธุระมัน พอเกิดเรื่องเข้าก็มาลงโทษคนที่
ต้อยต่ำเช่นนี้ ไม่ใช่วิถีของบุรุษเขาทำกันหรอก”
สรุปแล้ว ธนูที่นางยิงใส่พวกคนติดตาม จะเป็นธนูไร้หัว
อย่างนั้นรึ
สรุปแล้ว นางจงใจเล่นงานท่านชายเกาอย่างเดียวเลยสินะแม่นางม่อที่ยืนอยู่ด้านข้าง ตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า
อย่างอดไม่ได้ พลันมองไปยังแม่นางเฉิงที่ตอนนี้สีหน้าดูซับซ้อน
ที่แท้ผู้ติดตามคนนั้นที่หักมือท่านชายเฉิง แต่ก็ไม่รู้ว่า
จะกลายเป็นไก่ให้โดนเชือดตอนไหน…
แม่นางเฉิงผู้นี้ช่าง…ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ
“ถ้าท่านอยากจะขอโทษ คนที่ควรเอ่ยต้องเป็นท่าน มิใช่บ่าว
ของท่าน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ
หญิงผู้นี้! โอหังนัก!
ท่านชายเกาเริ่มขมวดคิ้ว
“แม่นางเฉิง เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน” ท่านชายเกาหรี่ตา
แล้วเอ่ยกับนาง “เจ้าหมายถึง ให้ข้าหักมือของข้าเองอย่างนั้นรึ”