พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 526 อย่างไร
ชุนหลิงอธิบายให้แม่นางจูฟัง เรื่องการมายังหอเต๋อเซิ่งของ
ท่านชายเฉิงสี่
ที่แท้ก็เป็นเพราะชุนหลิงเชิญให้ท่านมา มิใช่ท่านชายอยาก
มาเองแต่อย่างใด
“เจ้าทำบาปกับเขาเข้าแล้วล่ะ” แม่นางจูเอ่ยอย่างร้อนรน
“ท่านพี่ ข้าไม่รู้จะไปอ้อนวอนผู้ใดแล้ว ข้ากลัวเหลือเกิน ข้า
กลัวว่าท่านจะเป็นอันตราย กลัวท่านจะคิดสั้น”
ชุนหลิงเอ่ยไปร่ำไห้ไป
กลัวว่าข้าจะเป็นอันตราย กลัวข้าจะคิดสั้นงั้นรึ…
แม่นางจูทำหน้าเศร้า
นั่นสินะ ข้าเองก็เคยคิดสั้นไปแล้ว
พอได้เห็นสาวใช้ร้องห่มร้องไห้จนแทบจะขาดใจ แม่นางจู
ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่“เรื่องนี้จะโทษเจ้าได้อย่างไรกัน” แม่นางจูเอ่ย “ถ้าจะโทษใคร
ก็คงต้องเป็นข้านี่แหละ”
“ท่านพี่!” ชุนหลิงเงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลพรากพลางส่ายหัว
“ท่านพี่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน เป็นความผิดข้าเอง ข้าจะไปสารภาพ
กับท่านชายเฉิงสี่ และกับท่านชายเกาด้วย ว่าเรื่องทั้งหมดต้นเหตุคือ
ข้าเอง…”
“เจ้ารู้อยู่แล้วหรือว่าแม่นางเฉิงเป็นน้องสาวของท่านชายเฉิง”
แม่นางจูเอ่ยถาม
ชุนหลิงพยักหน้า
“ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าน้องสาวของท่านชายเฉิงเป็นคนเก่ง ใครๆ ต่าง
ก็เล่ากันว่านางเป็นลูกศิษย์เทพเซียน มีแต่คนเกรงขาม ไม่มีใครกล้า
หือกับนาง ข้าก็เลย…” ชุนหลิงสะอื้น แล้วรีบก้มหัว
“ที่แท้พวกเขาก็เป็นครอบครัวเดียวกันนี่เอง” แม่นางจูเอ่ย แล้ว
ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ฉายซ้ำ ในหัวของนางอีกครั้ง
ประตูถูกเปิดขึ้น จากนั้นนางก็ก้าวเท้าเข้ามา ใบหน้าของนาง
สะอาดสะอ้านไม่มีเครื่องสำ อางแต่งแต้ม อาภรณ์เรียบง่าย แต่กลับกลายเป็นจุดสนใจของทุกสายตาที่อยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ได้พบ
เจอนาง นางก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะตอนเรื่องตระกูลฉินเมื่อ
สามปีก่อน หรือตอนที่เกิดสุริยุปราคา
เป็นนางนี่เอง คนที่ใครต่อใครต่างก็เล่าลือกันให้ทั่ว
ที่แท้พวกเขาก็เป็นพี่น้องกันนี่เอง
“ท่านพี่ ท่านพี่” เสียงเรียกของชุนหลิงเรียกสติของแม่นางจูให้
กลับมา
“ชุนหลิง ในเมื่อเจ้าได้รู้จักกับคนเก่งๆ อย่างนาง แล้วเหตุใด
เจ้ายังไม่หนีออกไปจากที่นี่อีกล่ะ” แม่นางจูมองที่ชุนหลิงแล้วหัวเราะ
“ที่แห่งนี้ก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย”
“แต่ว่า ที่นี่มีท่านนี่นา” ชุนหลิงร้องไห้ พลางดึงแขนเสื้อแม่นาง
จู
เห็นท่าทีของสาวใช้ที่ขยันขันแข็งและซื่อสัตย์เช่นชุนหลิง
แม่นางจูก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ พลางยื่นมือลูบหัวชุนหลิง
“เด็กโง่เอ๋ย” แม่นางจูยิ้มให้“ท่านพี่ ให้ข้าไปสารภาพกับพวกเขาเถิด จะลงโทษจะฆ่าฟันก็
ให้มันเกิดขึ้นเถิด ท่านพี่ เพราะทั้งหมดนี้มันเป็นความผิดข้าเอง” ชุน
หลิงกุมมือแม่นางจูแล้วร้องไห้ พลางเตรียมตัวจะก้าวเท้าออกไป
ด้านนอก
แม่นางจูรั้งนางไว้
“เรื่องนี้มิใช่ความผิดของเจ้า” นางเอ่ย
ชุนหลิงร้องไห้พลางพยักหน้า
“เป็นความผิดข้าเอง” แม่นางจูเอ่ย “ข้าเองที่ลืมฐานะของตน
พอมีคนต้องการไขว่คว้าตัวข้า ข้าก็หลงระเริง มัวแต่เลือกไปเลือกมา
เอาแต่ใจตนเอง เล่นจนลืมตัว”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็ยิ้มออกมา
“หากข้าเจียมเนื้อเจียมตัว รับแขกตามปกติ เจ้าคงไม่ไปตาม
พวกเขามา แล้วข้าก็คงไม่ได้หลุดพ้น และเรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก
”
“ท่านพี่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านเลยสักนิด เรื่องอันใดท่านต้อง
แบกรับไว้เพียงผู้เดียว ทรมานตนเปล่าๆ” ชุนหลิงร้องไห้ พลางเขย่ามือของแม่นางจู “ข้าไม่ยอมให้ท่านพี่ต้องมาทุกข์ระทมหรอก”
“เพราะนี่เป็นชะตาชีวิตของข้า” แม่นางจูเอ่ย “ถ้าคนเราเกิดมา
ไม่ยอมรับชะตาชีวิตตัวเอง ก็ต้องอยู่อย่างทุกข์ทนน่ะสิ”
“ท่านพี่” ชุนหลิงร้องไห้แต่ไม่เอ่ยอะไรออกมา เอาแต่จับมือ
ของแม่นางจู
แม่นางจูสะบัดมือทิ้ง ตะโกนเรียกให้คนเข้ามา
สาวใช้สองคนเปิดประตูเดินเข้ามา พลันช่วยแม่นางจูแต่งองค์
ทรงเครื่อง ชุดกระโปรงยาววิบวับเปล่งประกายภายใต้แสงไฟ
“ท่านพี่” ชุนหลิงตะโกนเรียกนาง
แต่นางไม่หันหลังกลับ แล้วสั่งให้สาวใช้แบกเครื่องบรรเลงแล้ว
เดินตามนางไป
“ท่านพี่” ชุนหลิงร้องจนทรุดลงไปกับพื้น
เสียงกระโปรงยาวที่เสียดสีกับพื้นเริ่มห่างไกลออกไป ประตูถูก
ปิดลง
ชุนหลิงลุกขึ้นนั่ง บนใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ถึงแม้
ในตาของนางจะไม่มีน้ำตาออกมาแล้ว จากนั้นนางก็เปลี่ยนท่าทีพลันเอนตัวไปทางด้านพนักพิงอย่างสบายใจ จากนั้นจึงหันหน้า
เข้าหากระจก แล้วยิ้มออกมา
ดูสิ ง่ายนิดเดียว แค่นี้นางก็ตัดปัญหาได้แล้ว
ชุนหลิงมองดูกระจก พลางทำท่าตัวเองกำลังใช้ชาดทาปาก ถึง
แม้นางจะดูใสซื่อ แต่พอลองใช้สายตา ก็สามารถเลียนแบบแม่นาง
จูได้บ้าง
“ท่านพี่ คิดผิดแล้วล่ะ ที่นี่น่ะดีจะตาย ข้าไม่อยากออกไปจาก
ที่นี่หรอก” นางเอ่ยกับกระจกพลางหัวเราะ
… “…
ท่านชาย เข้าใจผิดแล้ว”
แม่นางม่อที่กำลังถูกท่านชายโจวหกขู่เข็ญ ตะโกนร้อง
เสียงหลง
“ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าท่านชายเฉิงเป็นใครมาจากไหน ข้าไม่รู้
มาก่อนเลยว่าท่านชายเฉิงมีนัดกับหญิงงามของข้าไว้”
ท่านชายโจวหกแสยะยิ้มใส่นาง“ท่านชาย!” แม่นางม่อเอ่ยสาบานตนอย่างทุลักทุเล “ถ้าข้ารู้
ตั้ง
แต่แรกว่าแม่นางเฉิงกับท่านชายเฉิงเป็นพี่น้องกัน ข้าคงไม่ทำตัว
โง่ๆ เช่นนี้! ข้าจะไม่มีวันให้ท่านทั้งสองต้องมามีเรื่องบาดหมางกัน
เพราะนางโลมในหอของข้า ยังไงเสียข้าต้องหาวิธีที่รอบคอบกว่านี้
อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นแล้วหอเต๋อเซิ่งของข้าก็แย่น่ะสิ!”
“เจ้าได้ประโยชน์อันใดจากเรืองนี้ เจ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจดี หรือไม่
ก็ คนที่บงการเจ้านั้นรู้ดีอยู่แล้วว่าจะเกิดอันใดขึ้น” ท่านชายโจวหก
แสยะยิ้ม
“ข้าสาบานต่อฟ้าดินเลยเจ้าค่ะ ท่านกำลังเข้าใจข้าผิดนะ
เจ้าคะ” แม่นางม่อทุบอกตัวเองพลางเอ่ย “ข้ารู้ดีว่าข้าพูดจา
ไม่รู้เรื่อง”
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวไรกับข้าอยู่แล้ว”
ประตูถูกเปิดออก แม่นางจูที่แต่งกายสวยสดงดงามเดินเข้ามา
ไร้เค้าลางสะบักสะบอมเหมือนก่อนหน้า กลับไปเป็นนางโลมสาว
สวยที่ทุกคนคุ้นเคย
นางเอ่ยพลางโค้งคำนับ“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าจูเหิงเองเจ้าค่ะ”
แม่นางม่อรู้สึกโล่งอก
ดีแล้วละ มีคนออกมารับผิดเสียก็ดี
“อาเหิง เจ้ารีบบอกแม่นางเฉิงไปสิ ว่าเรื่องมันเป็นไงมาไงกัน
แน่” แม่นางม่อเร่งเร้า
แม่นางจูคุกเข่านั่งลงพลันโค้งคำนับ
“ไม่มีที่เรียกว่าเป็นไงมาไงหรอกเจ้าคะ แล้วก็ไม่มีใครบงการ
ด้วย ข้าเองเป็นผู้ที่จงใจเลือกท่านทั้งสองให้มาปะทะกัน…” นาง
อธิบาย “ข้าเองที่ละโมบ ไม่อยากจะรับใช้ท่านชายเกาแล้ว แต่ก็
เกรงกลัวอำนาจของเขามากเกิน ข้าจึงยืมมือของท่านชายเฉิง”
“เจ้ายืมมือเก่งใช่เล่นเลยนะ” ท่านชายโจวหกเอ่ยพลางแสยะ
ยิ้ม
“นั่นเป็นเพราะมือของคนอย่างแม่นางเฉิงคุ้มค่าที่จะนำมายืม
น่ะสิเจ้าคะ” แม่นางจูเอ่ยขึ้น
ท่านชายโจวหกโกรธพลันลุกขึ้นยืน“แต่นั่นก็มิใช่กงการอะไรของเจ้าที่จะมาทำเรื่องเช่นนี้ได้!” เขา
ตะคอกใส่นาง มือก็พลางคว้าไปหยิบมีดพกที่ซ่อนไว้
แม่นางม่อเมื่อได้เห็นเข้าจึงกรีดร้องเสียงหลง
จะฆ่าฟันกันแล้ว! หากเป็นคนอื่นนางคงไม่ได้ว่าอันใด แต่
สำ หรับแม่นางเฉิงผู้ลือชื่อเสียงกระฉ่อนแล้วช่างน่าเกรงกลัวยิ่งนัก
แม่นางม่อยังเคยได้ยินมาว่านางเคยฆ่าคนตอนช่วงกลางวันแสกๆ
อีกด้วย!
หากนางต้องการฆ่าคนจริงๆ ก็คงทำจริง!
“ใช่ ข้ายอมรับผิด” แม่นางจูสีหน้าอิดโรย ก้มหัวโค้งคำนับ
“ข้าว่าไม่เห็นน่าลงโทษตรงไหน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ในเมื่อ
พี่ชายของข้ายินยอมให้เจ้ายืมมือเขามา”
แม่นางจูไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่
ว่าอย่างไรนะ
“เจ้ากลับไปเถอะ” แม่นางเฉิงเอ่ย
นี่นางหมายความว่าอย่างไรกันแน่
แม่นางจูและแม่นางม่อต่างก็ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น“แม่นางเฉิง ข้า…” แม่นางจูกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
“ออกไป!” ท่านชายโจวหกตะโกนไล่
แม่นางจูกัดปากตนเอง ก้มหัวโค้งคำนับ แล้วรีบลุกออกไป
แม่นางม่อก็เช่นกัน รีบวิ่งตามออกไป
“…ตอนนั้นท่านชายสี่เดิมทีจะต้องไปที่เรือนนางฟ้า ปั้นฉินเอง
ได้จัดแจงทุกอย่างเอาไว้แล้ว แต่ต่อมาเขาก็ถูกสาวใช้ของแม่นางจูที่
นามว่าชุนหลิงมาร้องไห้อ้อนวอน…”
สาวใช้ที่ไปส่งท่านชายเฉิงบัดนี้ได้กลับมาแล้ว แถมยังพาบ่าว
ใช้ที่ดูซื่อสัตย์มาอีกด้วย บ่าวคนนั้นคุกเข่าเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ย
พอฟังถึงตรงนี้ เหล่าสาวใช้ก็รีบเสริม
“…คาดว่าเป็นช่วงสามปีก่อน ท่านชายสี่ได้รู้จักกับคนใช้ของ
แม่นางจู” สาวใช้เอ่ยเสียงเบา “ก็ครั้งนั้นที่ท่านชายสิบเจ็ดของ
ตระกูลหวังแนะนำให้รู้จักยังไงล่ะ”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ เหล่าสาวใช้ก็รีบขอขมา
“เป็นความผิดข้าเอง ที่ไม่ห้ามปรามท่านชายตั้งแต่แรก”ท่านชายโจวหกที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ก็หัวเราะออกมาอย่าง
เยือกเย็น
“จะเป็นความผิดเจ้าได้อย่างไรล่ะ นั่นเป็นเรื่องของเขา อย่าง
เจ้าอยู่ๆ จะเข้าไปห้ามท่านชายได้อย่างไรกัน” เขาประชต
“ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าคะ” สาวใช้รีบท้วง “ท่านชายสี่กับแม่นางจู
ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันเท่าไหร่ เพียงแต่ตอนที่พวกเขาเริ่มรู้จักกัน
สาวใช้ของแม่นางจูกับท่านชายสี่เป็นคนบ้านเดียวกัน มาจากเมือง
เดียวกัน ท่านชายสี่เป็นคนจิตใจเมตตา ก็เลยเอ็นดูนางเป็นพิเศษ”
ท่านชายโจวหกแค่นเสียงหัวเราะ
“จิตใจเมตตางั้นรึ เอ็นดูงั้นรึ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน” เขาเอ่ย
“บางครั้งการมีจิตใจเมตตาก็มีข้อเสีย บางทีหากใจคอเราะร้าย
เสียบ้างก็อาจจะส่งผลดีเป็นได้ ท่านพี่เองก็ไม่ได้คิดว่าตนเป็นใคร
มาจากไหนหรอก เขาก็เป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เสริม “หรือเจ้าจะให้เขาเมตตากับข้าคนเดียว แล้วทำตัวเมินเฉย
ใส่ผู้อื่นอย่างนั้นรึ ไร้เหตุผลยิ่งนัก”จนถึงตอนนี้ แม่นางเฉิงไม่ได้หลุดคำก่นด่าออกมาเลย คอย
จะเอาแต่ช่วยพี่ชายของตนเท่านั้น!
“เช่นนั้นเจ้าก็คงภูมิใจในตัวเขามากเลยสินะ” ท่านชายโจวหก
เอ่ยถาม สายตาจ้องไปยังแม่นางเฉิง
“ข้าก็เพียงแต่อยากให้เขามีความสุข” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ถ้าเขามีความสุข ข้าก็มีความสุข”
ท่านชายโจวหกกัดฟันกรอด มือที่บีบหัวเขาตนเองอยู่ก็ยังคง
บีบแน่น
“ก็เอาสิ เช่นนั้นพวกเจ้าก็มีความสุขได้แล้วสิ! เพราะพวกเจ้า
ได้หักหน้าพวกตระกูลเกา แถมยังได้สาวงามมาครอบครอง! ช่าง
เป็นเรื่องที่น่ายินดีเสียจริง!” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงดัง พลางลุกขึ้น
แล้วคว้าไปหยิบแก้วเหล้ายกขึ้น “มาๆ ช่างเป็นเรื่องดีแท้ มีแต่เรื่องดี
ๆ เกิดขึ้นนี่น่าฉลองยิ่งนัก มา ชนแก้ว ชนแก้ว”
พูดจบเขาก็ยกขวดเหล้ามาเทจนหมด
สาวใช้เงยหน้ามองดูสภาพตรงหน้าอย่างเหลืออด
“ท่านชายหกเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยเรียกเขาดื่มเหล้าขวดหนึ่ง ทุบขวดเป็นชิ้นๆ แล้วหันหลังเดินจากไป
“ท่านชายหก!”
สาวใช้ตะโกนตามหลังอีกครั้ง
หญิงโง่!
น่าโมโหที่สุด!
น่ารังเกียจยิ่งนัก!
ไปดีใจกับพี่ชายแสนดีของเจ้าเลยไป!
เขากัดฟันพลางเร่งฝีเท้า ในที่สุดก็วิ่งหนีไป
เมื่อเห็นประตูกระแทกเขา บ่าวที่อยู่ในห้องรับรองก็เอนตัวด้วย
ความตกใจแต่ไม่กล้าพูดอะไร
สาวใช้ถอนหายใจ โบกมือรีบให้บ่าวถอยออกไป แล้วจึงหันไป
สังเกตที่แม่นางเฉิง
“ดูเหมือนท่านชายหกโกรธจนร้องไห้แล้ว…”สาวใช้เอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ แล้วยื่นมือออกไป
“เอาเหล้ามาให้ข้า” นางเอ่ยกับสาวใช้
สาวใช้รีบหยิบขวดเหล้าขึ้นรินแล้วส่งให้ มองดูนางจิบช้าๆ“นายหญิง อย่าไปโกรธเลยเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยกับนายหญิง
ด้วยเสียงแผ่วเบา
“ข้าไม่โกรธ” แม่นางเฉิงเอ่ย “อย่างไรเสียบนโลกใบนี้ ไม่มีใคร
เกิดมาเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับทุกคนหรอก”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็คลี่ยิ้มออกมา
“อย่างที่ท่านบรรพบุรุษได้กล่าวไว้ ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากได้อะไร
แล้วต้องได้สิ่งนั้น สิ่งที่เจ้าอยากได้ คนอื่นเขาก็อยากได้เช่นกัน
เจ้าติฉินนินทาคนอื่นได้ คนอื่นก็ทำแบบนั้นกับเจ้าได้เหมือนกัน เรา
คือเรา คนอื่นคือคนอื่น ยังจะมีอะไรควรมิควรอีกล่ะ”
บรรพบุรุษอย่างนั้นรึ
สาวใช้ขมวดคิ้ว
นางพูดถึงญาติผู้ใหญ่ของตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ พวกเขา
มีหรือจะมาเอ่ยอะไรแบบนี้กับนาง ปกติพอเจอหน้ากันก็แทบจะมุด
ดินหลบ
“เรื่องครั้งนี้น่าปวดหัวใช่ย่อย ดันถูกนางปั่นหัวเสียจนได้ เลย
กลายเป็นเรื่องวุ่นวายไปหมด” สาวใช้เอ่ยพลางรินเหล้าให้เฉิงเจียวเหนียง
“ไม่ต้องปวดหัวหรอก อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด” เฉิงเจียวเหนียง
เอ่ย ค่อยๆ จิบเหล้า “อยากมาก็มา ไม่อยากมาก็แล้วไป ไม่มีอะไร
ต้องกังวล”
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว หวังว่าเจ้าท่านชายเกานั่นจะรู้งาน…
สาวใช้คิดในใจ
ถ้าไม่อย่างนั้น คงมิใช่เรื่องเงินๆ ทองๆ แล้วละที่เป็นปัญหา