พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 527 โกรธ (1)
เขารู้สึกชาวาบไปทั่วใบหน้า เป็นเพราะเสี้ยนของใบไม้ใบหญ้า
ที่กำลังทิ่มแทง
เบื้องหน้าเขาเต็มไปด้วยต้นหญ้าสูงชะลูดบดสายตา จนมอง
ไม่เห็นท่าทีของพวกโจรตะวันตก
ท่านชายโจวหกเอื้อมมือแหวกโพรงหญ้า พลางสังเกตการณ์
อย่างตั้งอกตั้งใจ
ทว่าดูเหมือนกองกำลังของพวกโจรตะวันตกจะเห็น
การเคลื่อนไหวของเขาเสียแล้ว
ท่านชายโจวหกรีบย่อตัวหลบ หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะ
หลุดออกมา แม้ว่าเวลาจะผ่านพ้นมาสามปีแล้ว แต่ภาพสงครามก็
มักจะวนเวียนอยู่ในหัวเสมอ
กระนั้นแล้วเขามิได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด
รอบทิศมีแต่ความเงียบ ไม่มีเสียงของคนหรือม้า เสี้ยนจากใบ
หญ้าทิ่มเข้าที่ใบหน้าเขาอีกครั้ง ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บ แต่ต้นไม้ใบหญ้าพวกนี้ก็ช่วยอำพรางตัวเขาไว้
ท่านชายโจวหกถอนหายใจเบาๆ โพรงหญ้ากำลังถูกลมพัด
เอียงซ้ายขวา แต่สักพักก็กลับมาตั้งตรงดังเดิม ดูเหมือนว่าใบหญ้า
พวกนั้นกำลังทิ่มเข้าไปในรูจมูกของเขา
ท่านชายโจวหกพยายามจะดึงมันออก แต่ดึงเท่าไหร่ก็ดึง
ไม่ออกสักที และที่แย่ไปกว่านั้น คือเขากำลังจะจาม!
จะจามตอนนี้ได้อย่างไร!
ไม่ได้เด็ดขาด!
ท่านชายโจวหกเอามือปิดจมูก รู้สึกราวกับกำลังจะจามออกมา
แต่ดูเหมือนว่าเจ้าใบหญ้านี่กำลังค่อยๆ งอกในรูจมูกของเขา
แย่แล้ว…
“ฮัดเช้ย!”
เสียงจามดังสนั่นไปทั่ว เขารีบพยุงตัวเพื่อจะขึ้นบนหลังม้าแล้ว
รีบหนีออกไป
แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกตัวหนัก ครั้นจะลุกขึ้นกลับล้มลงไปกับพื้น
เสียงหัวเราะดังก้องในหูเขาท่านชายโจวหกลืมตา แล้วเงยหน้าขึ้น ก็เห็นท่านชายฉินสิบ
สามกับลังหัวเราะตัวงออยู่
เจ้าฉินสิบสามงั้นหรือ
จริงสิ เราไม่ได้อยู่ที่ตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว กลับมาแล้ว
ที่แท้ก็ฝันไปหรือนี่
ท่านชายโจวหกถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะทำ
หน้านิ่วคิ้วขมวด
“ฉินสิบสาม เหตุใดเจ้าถึงมาหาข้าแต่เช้าเช่นนี้” เขาเอ่ย
ถามอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วก็เพิ่งจะสังเกตได้ว่า ตัวเขาเองตอนนี้
สวมแค่ท่อนล่างเท่านั้น
กางเกงตัวนี้มัน…
“ดูดีๆ ก่อนสิ” ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ พลางสะบัดพู่กันใน
มือ “ที่นี่เรือนใครกันแน่”
ท่านชายโจวหกเงยหน้าขึ้นก็พบว่านี่ไม่ใช่เรือนของเขา
“เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่เรือนของเจ้าได้” เขาถามท่านชายฉินสิบสามหัวเราะแล้วนั่งลง พลางหยิบถ้วยชาที่อยู่
ข้างๆ มาดื่ม
“จะไปรู้หรือ ก็เมื่อวานตอนดึกๆ เจ้าดื่มเหล้าเมาเละเทะแล้วก็
มาถีบประตูเรือนข้า จะลากข้าไปดูพระจันทร์กับเจ้า แถมยังจะรำ
ดาบให้ข้าดู” ท่านชายฉินสิบสามเบะปากอธิบาย พลางเอามือแตะ
หน้าผาก “ข้าพูดตามตรงนะ ฝีมือรำดาบเจ้าแย่มาก”
ท่านชายโจวหกหน้าถอดสี
เมื่อคืน…
เมื่อคืนสิ่งที่เขาจำ ได้มีเพียงแค่ตอนที่เขาเดินกระฟัดกระเฟียด
ออกมาจากหอเต๋อเซิ่ง ตอนนั้นเองเขาไม่ได้อยากกลับบ้าน แต่ก็ไม่รู้
ว่าจะไปที่ไหนดี ก็เลยไปดื่มเหล้าต่อในร้านเล็กๆ ที่ตลาด จากนั้น
ภาพเบื้องหน้าก็มืดมิดไป
พอคิดๆ ดูแล้ว เขาก็เริ่มเอามือมาป้องหน้าผากตัวเอง
ปวดชะมัด…
ปวดทั้งหัว ทั้งคอ ปวดไปทั้งตัวเลย…
เขาดูที่ข้อศอก มีรอยช้ำ เขียวๆ“นี่เจ้าอาศัยจังหวะตอนข้าเมาลอบทำร้ายข้ารึเปล่า” เขา
ถลึงตาถาม
ท่านชายฉินสิบสามเบะปาก
“อย่างข้านะหรือจะทำร้ายเจ้า เจ้ามันคนถึก ใช้หน้าอกทุบหิน
แตก ใช้ข้อศอกหักต้นไม้ทั้งต้น ข้าสู้เจ้าไม่ได้หรอก” เขาเอ่ย
เพียงแค่คำพูดเล็กๆ น้อยๆ ของท่านชายฉินสิบสามก็ทำให้เขา
พอระลึกเหตุการณ์เมื่อคืนได้บ้าง ท่านชายโจวหกถอนหายใจ พลาง
เอื้อมมือคว้าเสื้อที่แขวนอยู่บนราวด้านข้าง
“เสื้อผ้าสีสันแสบตาของเจ้า ข้าละไม่ชินเอาเสียเลย…แล้วเสื้อ
ของข้า เจ้าซักตากให้หรือยัง” เขาเอ่ยถาม
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องน่า ไหนว่ามา เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ท่านชายฉินสิบสามเค้นถาม
“เรื่องอันใดล่ะ เจ้าไม่เคยเห็นบุรุษดื่มเหล้าเมาหรือยังไง”
ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างเย้ยหยัน
“ก็ข้าไม่เคยเห็นบุรุษเช่นเจ้าดื่มน้ำเมากัน” ท่านชายฉินสิบ
สามหัวเราะ แล้วเอ่ยต่อ “แต่ขนาดว่าเมาแล้วยังทำเป็นปากแข็งอยู่ไม่ยอมปริปากอะไรออกมา ดูแล้วคงเป็นเรื่องสำ คัญที่เจ้าไม่อยากให้
ใครรู้สินะ”
เรื่องแย่งนางโลมด้วยเงินห้าหมื่น คนหนึ่งก็ขุนนางใหม่ อีกคน
ก็เป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ เรื่องนี้นั้นประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าสำ คัญ
หรือไม่สำ คัญหรอก แต่น่าอายเกินกว่าจะเล่าต่างหาก!
ท่านชายโจวหกทำเป็นเมินไม่สนใจ พลางเดินไปหยิบถ้วยชา
“ดื่มชาเสร็จแล้วก็รีบไสหัวออกไปซะ วันนี้ข้ายังมีธุระอีก”
ท่านชายฉินสิบสามไล่
“อย่างเจ้าเนี่ยนะจะมีธุระกับเขา คงหนีไม่พ้นเรื่องกินเลี้ยงดื่ม
ฉลองกับพรรคพวกล่ะสิท่า” ท่านชายโจวหกถลึงตาใส่
“นี่เจ้าแกล้งลืมหรือลืมจริงๆ กันแน่” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
พลางเอามือตบๆ ไปที่ชุดของตน “วันนี้ข้ามีนัด”
‘พรุ่งนี้เจ้าสะดวกหรือไม่ ดอกอิงฮวาในวัดห้าลี้ที่ตั้งอยู่
นอกเมืองเริ่มบานแล้ว พวกเราไปชมดอกไม้กันเถอะ’
ท่านชายโจวหกที่เพิ่งนึกขึ้นได้ ก็รีบขมวดคิ้วใส่
“ไม่ต้องไป!” เขาเอ่ยขึ้น พลางคว้ามือรั้งท่านชายฉินสิบสามไว้“เกิดอะไรขึ้นกับนางอย่างนั้นหรือ” กลับกัน ท่านชายฉินสิบ
สามรีบเข้าไปคว้าแขนของท่านชายโจวหกไว้ พลางหรี่ตาใส่
“จะอะไรกันนักหนา!” ท่านชายโจวหกรีบสะบัดแขนทิ้ง “เจ้ากับ
นางก็โตๆ กันแล้ว จะไปดูดอกไม้อะไรกันสองต่อสองเล่า”
ท่านชายฉินสิบสามส่ายหัวพลางหัวเราะ
“โจวฝูเอ๋ยโจวฝู เจ้าอย่ามาทำเป็นห่วงเป็นใยข้าเลย ข้าทนดูไม่
ได้” เขาเอ่ย
ขณะนั้นเอง สาวใช้นางหนึ่งก็รีบเดินเข้ามา
“เรียนท่านชายสิบสาม แม่นางเฉิงมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้
เอ่ย
ชายหนุ่มทั้งสองพลันตกอยู่ในความตะลึง เพียงแต่คนหนึ่ง
ตะลึงด้วยความดีใจ ส่วนอีกคนนั้นตะลึงเพราะรู้สึกว่าทุกอย่าง
เกิดขึ้นเร็วเหลือเกิน
“นางมาได้อย่างไรกัน” ทั้งสองเอ่ยถามพร้อมกัน
“ตามคาด นางเป็นคนรักษาสัจจะอยู่แล้ว” ท่านชายฉินสิบ
สามหัวเราะ แล้วปล่อยแขนของท่านชายโจวหกออก “ถ้าเจ้าอยากไปก็ไป แต่ถ้าไม่อยากไปก็อยู่เฝ้าที่นี่ไปแล้วกัน ข้าไปก่อนล่ะ”
ท่านชายโจวหกชายตามองท่านชายฉินสิบสามที่รีบเดินออกไป
ครั้นจะเรียกให้หยุด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เรียก
นางยังอุตส่ามีแรงไปตามนัดเสียด้วย!
แม่นางเฉิงนี่ช่าง…ช่าง…!
ท่านชายโจวหกกัดฟันกรอด คว้าถ้วยชายกดื่มจนเกลี้ยง
“…นี่ก็ได้เวลาพอสมควรแล้ว หากไปถึงสายเดี๋ยวจะไม่ทันรถ
เอา”
ท่านชายฉินสิบสามเข้ามายังห้องโถงพลางเอ่ยขึ้น แล้วรีบโค้ง
คำนับให้ฮูหยินฉิน
“ท่านแม่ ข้าเป็นคนเชิญแม่นางเฉิงมาเอง”
ฮูหยินฉินหัวเราะ
“จะรีบไปไหน ข้ายังพูดไม่ทันจบเลย” นางเอ่ย
“มิต้องพูดอันใดแล้ว ท่านแม่ มุกตลกของท่านน่าฟังอยู่แล้ว
เดี๋ยวข้าจะเป็นคนเล่าให้นางฟังเอง” ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ
แล้วคำนับให้เมื่อได้เห็นดังนั้น เฉิงเจียวเหนียงจึงรีบคำนับขอตัวลา
เมื่อได้เห็นหนุ่มสาวเดินตามกันออกไป ฮูหยินฉินก็
ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ฮูหยิน แม่นางเฉิงนี่ช่างดีต่อท่านชายของเราเหลือเกินนะ
เจ้าคะ” แม่นมที่ยืนอยู่ข้างกายเอ่ยขึ้น
“แน่นอนสิ ชายสิบสามดีกับนางขนาดนั้น ก็ต้องมีแลกเปลี่ยน
กันบ้างแหละ” ฮูหยินฉินหัวเราะ “จิตใจของคนเราทำจากเลือดเนื้อ
ขอแค่มีความจริงใจต่อกัน แม้หินที่แข็งก็เปลี่ยนให้อ่อนนุ่มได้ ส่วน
เรื่องกฎของนางนั่น ข้าว่าเดี๋ยวนางก็คงใจอ่อนเอง”
แม่นมยิ้มพยักหน้าเห็นชอบ
“ข้าอยู่มาจนแก่จนเฒ่า แม้ไม่เคยได้เรียนหนังสืออย่างเขา แต่
ข้าก็พอรู้ว่ากฎน่ะเป็นของตาย แต่คนนั้นไซร้ยืดหยุ่นได้” แม่นม
หัวเราะ
ฮูหยินหัวเราะด้วยความเบิกบานใจ แต่สักพักก็ส่ายหน้า
“เพียงแต่เจ้าสิบสามเป็นเด็กหัวรั้น หลงตัวเอง” นางเอ่ย “นาง
เคยบอกแล้วว่าต้องทำตามกฎ แต่สิบสามดันอยากจะแหกกฎเสียอย่างนั้น ข้ามาดูๆ แล้ว แม่นางเฉิงเองก็เป็นคนหัวรั้นเช่นกัน คงต้อง
รอดูกันต่อไปแล้วสิ”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ฮูหยินฉินจู่ๆ ก็เหม่อลอยขึ้นมา ก่อน
จะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ฮูหยินเป็นอะไรหรือเจ้าคะ” แม่นมเอ่ยถาม
“ชายสิบสาม! เมื่อครู่เขาบอกว่าคำพูดของข้านั้นน่าขัน หรือว่า
มุขตลกของข้านั้นน่าขันกันแน่” ฮูหยินรู้สึกเอะใจ “โดนเด็ก
ถอนหงอกอีกแล้ว”
ส่วนท่านชายโจวหกก็กำลังลุงยืนขึ้นอย่างมึนงง
“ท่านชายโจว รับอาหารไหมเจ้าคะ เตรียมไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ”
สาวใช้เอ่ยถาม
“ข้าไม่กิน ข้าจะไปแล้ว” เขาตอบเสียงอู้อี้ ขณะที่กำลังจะก้าว
เท้าเดินออก ก็มีบ่าววิ่งเข้ามาหา
“ท่านชาย!” บ่าวคนนั้นเอ่ยอย่างดีใจ
บ่าวคนนั้นคือบ่าวของเขาเอง ท่านชายโจวหกจึงหยุดฝีเท้าลง
ก่อนจะสังเกตเห็นว่าบ่าวถืออะไรบางอย่างที่ถูกห่อเอาไว้“ท่านชายขอรับ ข้านำเสื้อผ้ามาให้แล้วขอรับ” บ่าวเอ่ย
เขากางเสื้อผ้าออก แล้วจัดชุดให้เข้ากัน
ท่านชายโจวหกถอนหายใจ
“นานๆ ที เจ้าจะฉลาดรู้ใจข้า” เขาพูดกับบ่าว จากนั้นก็
กางแขนออก แล้วให้สาวใช้เข้ามาช่วยแต่งองค์ทรงเครื่อง
บ่าวหัวเราะเขิน
“เมื่อคืนท่านชายยืนกรานเสียงแข็งว่าให้ข้าน้อยออกไป ไม่ต้อง
ให้ข้าน้อยคอยตามเฝ้า ก็เลยรู้ว่า ท่านเมาหนักมากขอรับ”
ท่านชายโจวหกรีบตีหน้าซื่อแล้วไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้บ่าว
พูดต่อไป แต่จู่ๆ บ่าวก็ชะงักไป
“…ดังนั้นแม่นางเฉิงก็เลยให้ข้าน้อยนำเสื้อผ้ามาให้ท่านขอรับ
”
แม่นางเฉิงงั้นรึ…
ท่านชายโจวหกนิ่งไปชั่วครู่
“ว่าอย่างไรนะ” เขาถาม
บ่าวอธิบายให้เขาฟัง“แท้จริงแล้ว บ่าวมิได้เป็นคนออกความคิดจะนำเสื้อผ้ามาให้
ท่านเองหรอกขอรับ” เขาเอ่ยต่อ “เมื่อคืน แม่นางเฉิงตามหาท่าน
พอรู้ว่าท่านอยู่ที่เรือนของท่านชายฉิน นางก็วางใจ พอนางรู้เรื่องว่า
นายท่านดื่มจนเมา แม่นางเฉิงก็เลยให้ข้าจัดการเรื่องเสื้อผ้าของนาย
ท่านตั้งแต่เช้าตรู่เลยขอรับ”
เรื่องส่วนตัวและละเอียดอ่อนเช่นนี้ ปกติแล้วเขาคงจะเป็นคน
จัดการเอง แต่พอมาเป็นแม่นางเฉิงแล้วนั้น เขาก็เริ่มรู้สึกตะขิดขวง
ใจขึ้นมา
“เจ้าบอกว่า แม่นางเฉิงนะหรือ เป็นคนสั่งให้เจ้านำเสื้อมาให้ข้า
” ท่านชายโจวหกก้าวเท้าไปด้านหน้าแล้วคว้าตัวบ่าวมาถาม
ท่านชายขยับตัวอย่างรวดเร็วเสียจนสาวใช้ที่กำลังแต่งตัวให้
เขาอยู่นั้นเกือบจะล้มหน้าคะมำ สาวใช้อดไม่ได้ที่จะจุ๊ปากแล้วตำหนิ
ท่านชายโจวหก
“พวกเจ้าออกไปก่อน” ท่านชายโจวหกกวักมือไล่สาวใช้ แล้ว
เค้นถามบ่าวต่อ “ใช่หรือไม่”
บ่าวรีบพยักหน้า“นางทำเพื่อข้างั้นรึ” ท่านชายโจวหกเอ่ยถามย้ำ
“ใช่ขอรับ…” บ่าวพยักหน้าตอบ
“นางพูดว่าอย่างไร ขอแบบชัดๆ ทุกประโยค ทุกคำ” ท่านชาย
โจวหกจ้องเขม็งไปที่บ่าว
“ให้ข้าน้อยเริ่มจากตรงไหนดีขอรับ” บ่าวเอ่ยถามอย่างใสซื่อ
แม่นางเฉิงเริ่มตามหาท่านชายเมื่อคืน…
แม่นางเฉิงตามหาเขาเมื่อคืน…
เขาเบะปากอย่างอดไม่ได้ เลยรีบขัดคอ
“เจ้าก็เริ่มจากเมื่อวานนี้สิ” เขาเอ่ย จากนั้นจึงเลิกเสื้อขึ้นแล้ว
เอนตัวนั่ง
เมื่อวานอย่างนั้นรึ…
“เล่ามาอย่างละเอียด” ท่านชายโจวเอ่ยพลางจ้องบ่าว
บ่าวขานรับ เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะยกใหญ่
“ท่านชายหกเจ้าคะ ข้าได้เตรียมอาหารไว้แล้ว ท่านกินไป
ฟังไปดีกว่าไหมเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถาม
ท่านชายโจวหกตบมือลง“ก็ดี” เขาเอ่ย
… ล
มอ่อนพัดโชย ดอกอิงฮวาปลิวว่อนทั่วฟ้าราวกับหิมะ ทำเอา
ผู้คนที่ยืนชมใต้ต้นไม้ต่างร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นตระการตา
ที่สวนแห่งนี้มีผู้คนมาเดินเล่นกันเป็นจำ นวนมาก ทั้งชายหญิง
บ้างก็นั่งชมบ้างก็ยืนเชย ทุกคนพากันแหงนหน้ามองความสวยงาม
ของดอกไม้ที่บานสะพรั่ง เด็กน้อยตัวเล็กๆ ต่างก็เขย่งตัวแล้วยื่นมือ
ออกไปเพื่อจะเด็ดดอกไม้
“พื้นที่ภูเขาตรงนี้เป็นภูเขาเตี้ย รอบๆ วัดก็ไม่มีอะไรโดดเด่น
ตอนแรกเริ่มที่ก่อสร้างวัดก็เลยปลูกต้นอิงฮวาไว้ คงจะอยู่ออกดอก
งามให้คนเชยชมไปได้หลายปีเลยเชียวล่ะ” ท่านชายฉินสิบ
สามหัวเราะ แล้วมองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา
บนเสื้อคลุมและหมวกของนางเต็มไปด้วยกลีบดอกอิงฮวา ช่าง
เป็นภาพที่ดูอ่อนโยนดีต่อใจยิ่งนัก
“มิได้ตั้งใจ แต่ได้ผลเกินคาด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น“หลายๆ เหตุการณ์มักจะเป็นเช่นนั้น” ท่านชายฉินสิบ
สามพยักหน้า แล้วยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
เหล่าสาวใช้กางตาข่ายเพื่อกันมิให้ดอกไม้ปลิวลงมาโดน
พวกเขา
“… พวกเจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือยัง”
เสียงของผู้คนแถวนั้นดังขึ้น
“เมื่อคืน มีคนทะเลาะแย่งนางโลมกันที่หอเต๋อเซิ่งด้วยล่ะ”
“ไม่เห็นจะน่าแปลกตรงไหน ปกติก็แย่งกันอยู่แล้วมิใช่รึ”
ก็ถ้ามิใช่นางโลม คงไม่มีคนไปแย่งหรอก
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ พลางชี้นิ้วไปที่ของว่าง
“เจ้าลองชิมนี่ดูสิ ท่านแม่ของข้าทำเองกับมือ” เขาเอ่ยชวน
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า ยื่นมือหยิบของว่างเข้าปาก
“แต่ก็อาจจะมิได้อร่อยขนาดนั้น” ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคารพท่านแม่นะ เพียงแต่…”
“…แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนคราวก่อนนะ เป็นหญิงนางหนึ่งมาแย่ง
นางโลม…”“…นางอยากเป็นนางโลมงั้นรึ”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงหญิงผู้นั้นมาขอซื้อนางโลมต่างหาก…”
บทสนทนาเมื่อครู่ พาให้ทั้งสวนดอกไม้เต็มไปด้วยเสียงนินทา
ของผู้คน
ท่านชายฉินสิบสามได้ยินเข้าก็รีบหันไปดู พลันหัวเราะออกมา
“เจ้าได้ยินหรือไม่” เขาหันมาถามนาง “เจ้าเชื่อหรือว่ามีเรื่อง
เช่นนี้เกิดขึ้น”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“แต่ข้าเชื่อ” นางเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามพ่นหัวเราะ
“เจ้าเคยเห็นมากับตาหรือ ถึงได้ปักใจเชื่อ” เขาเอ่ยถามอย่าง
สงสัย พลางจิบน้ำชา
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ข้าไม่ได้ไปเห็นอะไรมาหรอก แต่หญิงที่พวกเขาพูดถึงนั้น คือ
ข้าเอง” นางเอ่ย
หญิงสาวที่พวกเขาพูดถึงนั้น คือนางงั้นหรือ!น้ำชาที่เขาเพิ่งดื่มเข้าไปพุ่งพรวดออกมาจากปาก
เหล่าสาวใช้ต่างตื่นตระหนกตกใจ รีบหยิบผ้ามาซับหยดน้ำที่
เปื้อนบนชุดของแม่นางเฉิงเป็นการใหญ่
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาด้วยหน้าตาที่นิ่งเฉย
ท่านชายฉินสิบสามมองหน้านาง
“ยินดีกับเจ้าด้วยที่คว้าสาวงามมาได้!” เขาทำท่าคำนับให้นาง
พลางหัวเราะ
เฉิงเจียวเหนียงคำนับตอบ
“ขอบใจท่านยิ่งนัก” นางเอ่ยตอบ
… “
โจวฝู!”
เสียงของท่านชายฉินสิบสามลอยเข้ามาจากด้านนอก ตามมา
ด้วยเสียงฝีเท้า พอเดินเข้ามา ก็เห็นชายหนุ่มกำลังเอนกายใน
ห้องโถง กำลังมองดูสาวใช้สองคนที่เล่นพันด้ายกัน
“นี่เจ้ายังไม่กลับไปอีกรึ” เขาเอ่ยถามพลางบ่น “ข้าอุตส่าห์
ไปหาเจ้าที่เรือน ถึงได้รู้ว่าเจ้ายังไม่กลับไป เสียเวลาข้าชะมัด”พอเห็นท่านชายฉินสิบสามเดินมา ท่านชายโจวหกก็ลุกขึ้นนั่ง
ตัวตรง
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
ทั้ง
สองพูดประโยคนี้พร้อมกัน พูดจบต่างก็นิ่งกันไปชั่วครู่
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้หมดแล้วล่ะ” ท่านชายฉินสิบสามรีบ
ชิงพูดก่อนแล้วหย่อนตัวนั่งลง จากนั้นก็โบกมือไล่สาวใช้ให้ออกไป
ด้านนอก
สาวใช้ทั้งสองรีบเดินถอยหลังออกไป
ท่านชายโจวหกเบะปากหัวเราะ