พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 527 โกรธ (2)
“อย่าเศร้าไป อย่างน้อยนางก็รักษาสัญญาที่ไปเที่ยวกับเจ้า”
เขาเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามขมวดคิ้ว
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” เขาถามอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องใหญ่
ขนาดนี้ เจ้ายังไม่ยอมบอกข้าอีกงั้นรึ!”
“เรื่องใหญ่อันไรกัน” ท่านชายโจวหกหัวเราะ
“ก็ใหญ่พอที่เกือบจะมีการฆ่าแกงกันแล้วมิใช่รึ ยังจะมีหน้า
มาบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อีก” ท่านชายฉินสิบสามท้วง “ปากบอกไม่
ใช่เรื่องใหญ่ก็จริง งั้นข้าถามหน่อย แล้วที่เจ้าดื่มจนเมานั้นเป็น
เพราะเหตุใดกัน”
ท่านชายโจวหกนิ่งไปสักพัก
“ที่เจ้าว่านั้น…” เขาอ้ำอึ้ง “เจ้ารู้แล้ว…ตอนนี้ เรื่องนั้นถูก
กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้วรึ”“อย่ามาพูดจาไร้สาระน่า” ท่านชายฉินสิบสามสบถ “จะไม่ให้
เป็นที่เล่าขานได้อย่างไรกันเล่า มีทั้งนางโลม ทั้งคนตระกูลเกา ทั้ง
หมอเทวดา”
ท่านชายโจวหกอืมขานรับ พลางทำหน้าครุ่นคิด
“เจ้าว่าเป็นฝีมือของแม่นางจูเพียงผู้เดียวงั้นรึ” ท่านชายฉินสิบ
สามสงสัย
“ข้าไม่รู้” ท่านชายโจวเอ่ยด้วยเสียงหงุดหงิด “แต่ไม่ว่าใครเป็น
คนทำ แม่นางเฉิงก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว นางขอแค่ให้พี่ชายของนาง
มีความสุขก็พอ”
ท่านชายฉินสิบสามมองเขา
“ที่เจ้าดื่มจนสำ มะเลเทเมา ทิ้งนางไว้ แล้วมาที่เรือนข้า ก็
เพราะเรื่องนี้เองหรอกหรือ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถาม
ท่านชายโจวหกตัดพ้อ
“ข้ามิได้…” เขาเอ่ยยังไม่ทันจบ ก็ถูกขัดคอ
“ดูท่าแล้ว เจ้าคงเอาอะไรไปเทียบกับพี่ชายนางมิได้เลยสินะ”
ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งท่านชายโจวหกเด้งตัวขึ้น
“เรื่องที่นางประสบพบเจอก็หนักพออยู่แล้ว เอาแต่แบกรับอยู่
ฝ่ายเดียว แล้วเจ้าทำอะไรให้ดีขึ้นมาได้บ้าง เอาแต่ใช้อารมณ์กับนาง
นี่น่ะหรือความเป็นพี่ชายทีดี่ ท่านชายเฉิงสี่ถึงจะโง่ไปหน่อย แต่
อย่างน้อยเขาก็รู้จักเป็นห่วงเป็นใยนาง” ท่านชายท่านชายฉินสิบ
สามเอ่ย
“นางน่ะหรือหนักใจ ข้าก็เห็นอยู่ว่านางมีความสุขดี…” เขา
กัดฟันเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามเบ้ปากหัวเราะ
“ต้องให้นางดื่มจนเมาไม่รู้เรื่องแบบเจ้าสินะถึงจะได้ดูหนักใจ
น่ะ” เขาเอ่ยย้อน
ท่านชายโจวหกตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว คิดว่านางจะเป็นไงล่ะ”
ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยต่อ “ถ้าเป็นคนทั่วไปล่ะก็ สิ่งที่พวกเขาจะทำ
ก็คือยอมรับผิด ไปขอขมาท่านชายเกา แล้วบอกว่าเงินห้าหมื่นนั้นจะไม่จ่ายให้นางโลมอย่างเด็ดขาด แล้วขอให้เขาช่วยใจเย็นๆ แต่ถ้าเป็น
เจ้า โจวฝู เจ้าจะทำเช่นนั้นหรือไม่”
ท่านชายโจวบีบมือที่กำลังวางอยู่บนตัก
พลางคิด เขาไม่ทำหรอก…
“ขนาดเจ้ายังไม่ทำ แล้วมีหรือนางจะทำ”
ท่านชายฉินสิบสามมองเขา ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
“คนอย่างนางไม่ไปวุ่นวายกับบ่าวตัวเล็กๆ อยู่แล้ว ยิ่งคนของ
ท่านชายเกานี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะถ้านางทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่า
เป็นการดูหมิ่นดูแคลน อีกทั้งทำไปก็ไม่ได้อะไรกลับมา แล้วอย่าง
นางน่ะหรือจะไปยอมใครก่อน มิหนำซ้ำ นางก็มิได้ทำผิดอันใด”
“เห็นๆ กันอยู่ว่าเรื่องนี้ถูกวางแผนไว้แต่แรก มีหรือที่คนใสซื่อ
อย่างท่านชายเฉิงสี่จะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจอันใด เขาคงต้องมีคิด
โทษตัวเองบ้างแหละ หากนางไปรับผิด ดูเผินๆ อาจทำให้ท่านชาย
เกาหายโกรธก็จริง แต่นั่นจะยิ่งทำให้ท่านชายเฉิงสี่รู้สึกอับอายและ
รู้สึกผิดหนักกว่าเดิม แล้วคนอย่างนางแน่นอนว่าคงไม่ปล่อยให้
พี่ชายของตนคิดเช่นนั้นอยู่แล้ว”“แล้วไหนเจ้ายังมีหน้ามาบอกว่านางไม่สนอะไร แล้วเจ้าไม่คิด
หรือว่าลึกๆ แล้วนางมีความสุขไหม โดนคนติฉินนินทา ต้องมาคอย
แก้ปัญหาให้ ต้องมาเจอคู่ปรับอย่างตระกูลเกา ที่เคยมีเรื่อง
บาดหมางกันในอดีต ในใจนางคงร้อนรุ่มพอตัวเลยล่ะ”
“คนอย่างนางไม่ใช่จะไร้ความรู้สึก โกรธไม่เป็น เสียใจไม่เป็น
ร้อนรนไม่เป็น ทุกข์ไม่เป็น นางก็เป็นคนๆ หนึ่ง เป็นคนก็ย่อม
มีความรู้สึก เพียงแต่นางไม่เอ่ยออกมาเท่านั้น เจ้ารู้ไหมว่าการเก็บ
ความรู้สึกไว้มันยากกว่าการปลดปล่อยออกมามากเพียงใด”
“แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว แล้วอย่างไรล่ะ โกรธแล้วมันจะได้
อะไรขึ้นมา สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือคิดหาวิธีที่จะใช้ชีวิตต่อไป สิ่งที่นาง
ทำที่นางเป็นอยู่ตอนนี้คือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”
“เรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะถูกวางแผนมาแล้วเพราะ
เหตุผลอันใดก็ตาม นางไม่สน นางสนแต่เพียงว่าจะต้องแย่งนางโลม
มาให้ได้”
“ความตั้งใจเดิมของนางที่จะแย่งนางโลมตั้งแต่ต้นจนท้ายมิได้
เปลี่ยนแปลงแต่อย่างไร ในเมื่อมีการแย่งชิงเกิดขึ้น ก็ย่อมมีผู้ชนะและผู้แพ้ มีสมหวังและมีผิดหวัง”
“แม้ว่าเรื่องแย่งนางโลมมันจะดูไร้สาระก็ตาม เป็นเรื่องของคน
เสเพล ก็ในเมื่อมันเป็นเรื่องไร้สาระ ก็คิดเสียว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ถ้าเกิดเก็บมาคิดแค้นล่ะก็จะกลายเป็นยิ่งดูไร้สาระมากกว่าเดิมเสีย
อีก”
“ถึงแม้จะไม่รู้ว่าฝั่งตระกูลเกาจะผูกใจเจ็บกับเรื่องนี้หรือว่า
จะปล่อยผ่านไป แต่ก็หวังว่าพวกเขาจะปล่อยผ่านไป”
“นางเป็นแค่หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ต้องมาออกโรงให้พี่ชาย
ของตนแบบนั้น แม้จะถูกพวกชาวบ้านหัวเราะเยาะ แต่นางก็ได้ทำไป
แล้ว”
“หากนางก้มหัวยอมแพ้แล้วชดใช้ละก็ คงดูไร้ศักดิ์ศรีและผิด
หลักศีลธรรมของนาง และนั่นอาจทำให้นางพลาดโอกาสไปได้”
“ไหนเจ้าว่ามาซิว่าเจ้ายังมีหน้ามาโมโหโกรธเคืองอะไรอีก”
ท่านชายโจวหกกระเด้งตัวขึ้น
“ข้าไม่ได้โกรธเรื่องนั้น” เขาเอ่ยอย่างโมโห “ข้าไม่ได้ขอให้นาง
ก้มหัวให้ตระกูลเกาสักหน่อย! เพียงแต่ข้า ข้าโกรธพวกคนโง่พวกนั้นที่คอยนำเรื่องวุ่นวายมาให้นาง”
“แล้วอย่างไรต่อ” ท่านชายฉินสิบสามถาม
“ข้าโกรธที่นางยังไปทำดีกับคนพวกนั้น!” ท่านชายโจวหก
ถมึงตาใส่ “เจ้าพอใจหรือยัง ใช่แล้ว ข้าโกรธเรื่องนี้แหละ!”
โจวฝูโกรธเพราะเรื่องนี้งั้นรึ ไม่สิ น่าจะอิจฉามากกว่า
“ก็เพราะว่านางดีกับคนพวกนั้น ข้าเลยรู้สึกว่านางเป็นคนดี”
ท่านชายฉินสิบสามยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “หรือเจ้าคิดว่าที่ท่านชายเฉิง
สี่ก่อเรื่อง นางจะต้องทำเป็นเมินเฉยใส่เขางั้นรึ หรือว่าต้องให้นาง
ลงโทษเขาถึงจะสาแก่ใจอย่างนั้นรึ”
ท่านชายโจวหกโกรธจนมึน และเริ่มรู้สึกเหนื่อยหน่าย
ก็นั่นน่ะสิ แม่นางเฉิงนี่ก็นะ ทั้งที่น่าโมโหขนาดนี้ แต่ทำไม
ถึงทำให้ใครๆ ต่างก็รู้สึกว่านางเป็นคนดีกันนะ!
เมื่อเห็นท่านชายโจวหกที่ดูเหมือนวิญญาณหลุดร่างไปแล้ว
ท่านชายฉินสิบสามอดไม่ได้เลยหลุดหัวเราะ พลางกวักมือให้เขา
นั่งลง“เจ้าไม่ต้องกังวลไป เรื่องที่เกิดขึ้นมันไร้สาระก็จริง แต่แม่นาง
เฉิงก็เป็นแค่สตรีคนหนึ่ง จะเจ้าอารมณ์บ้างก็เป็นเรื่องปกติ” เขาเอ่ย
“ส่วนตระกูลเกาไว้ข้าค่อยคิดหาทางอีกที ถ้าหากได้เรื่องมาว่าถูก
นางโลมวางแผนแกล้งจริงๆ แล้วล่ะก็ ถือว่าทุกคนในเหตุการณ์นั้น
เป็นผู้ถูกกระทำ อย่างน้อยก็ทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กได้”
ท่านชายโจวหกไม่ได้ตอบอะไร พลางขยับฝีเท้าเตรียมจะกลับ
“ทานมื้อเย็นก่อนค่อยกลับก็ได้” ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ
“เจ้ามิต้องรีบไปขอโทษนางหรอก”
“เจ้าสิที่ต้องขอโทษ” ท่านชายโจวหกแขวะกลับ แต่ก็ไม่ได้
หยุดฝีเท้าแต่อย่างใด
“นายท่าน นายท่าน”
บ่าวนายหนึ่งวิ่งเข้ามา
“แม่นางเฉิงมาที่นี่ขอรับ”
ทั้ง
สองตกตะลึงอีกครั้ง
“นางมาได้อย่างไร” ชายหนุ่มทั้งสองเอ่ยถามพร้อมกันอีกครั้ง“จะไปชมดอกไม้ตอนนี้งั้นหรือ ยามวิกาลเช่นนี้ ประตูเมืองปิด
หมดแล้วล่ะ” ท่านชายโจวหกเอ่ยหยอก
ท่านชายฉินสิบสามยังมิทันเอ่ยอะไร บ่าวก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“นายท่านโจวหก แม่นางเฉิงมาที่นี่เพื่อมารับท่านขอรับ” บ่าว
เอ่ยออกมาอย่างดีใจ
มารับเขา…อย่างนั้นหรือ
ท่านชายโจวหกนิ่งไปชั่วครู่
“มารับข้าด้วยเหตุใดกัน” เขาเอ่ยถาม
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ พลางตบไหล่ของเขา
“เพราะนางเห็นแก่ความจริงใจของเจ้าอย่างไรล่ะ” เขาเอ่ย
“อย่าบอกข้านะว่าท่านหกไม่รู้จักคำว่าความจริงใจ เพราะตอนนี้
ใจของเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ”
ตอนนี้สติของท่านชายโจวหกไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เหมือนเคยได้ยินประโยคนี้จากที่ไหนมาก่อน…
ตอนนั้นที่พวกสวีเม่าซิวยังมีชีวิตอยู่ แม่นางเฉิงให้พวกเขาไป
ฆ่าฟันเหล่าอันธพาล‘ว่าไปแล้ว บุรุษกลุ่มนี้ก็แลดูไว้เนื้อเชื่อใจได้ แค่เอ่ยออกไปว่า
ต้องการอะไร พวกเขาก็ทำให้ เท่านี้ก็ใช้ได้แล้วล่ะ’
‘ท่านหก อย่าบอกข้านะว่าท่านไม่รู้จักคำว่าความจริงใจ
สิ่งนี้แหละที่เรียกว่าความจริงใจ’
เชื่อในตัวนาง เป็นห่วงเป็นใยนาง ไม่มีความคิดอื่นใดมา
เจือปน
ท่านชายโจวหกพอระลึกขึ้นได้ ก็รีบส่ายหน้าเบะปาก แล้วเดิน
ชูคอออกไป สักพักก็หยุดแล้วหันกลับมาทางฉินสิบสาม
“นี่ ข้ายังไม่ได้ฟังเรื่องของเจ้าเลยนะ” เขาเอ่ย
ฉินสิบสามมองเขา พลางนึกย้อนไปตอนที่เพิ่งกลับมา
“ข้าจะบอกเจ้าว่า” เขาหัวเราะ “ที่นางมาที่นี่ ก็เพราะว่ามาหา
ข้าน่ะ”
เขาพูดพลางยกชายเสื้อขึ้น แล้วทำท่าได้ใจ
“นางมิได้มาเพราะนัดไว้กับเจ้าหรอก แต่มาเพราะนางเอา
เสื้อผ้ามาส่งให้ข้าต่างหาก”ฉินสิบสามที่ยืนอึ้งอยู่นั้น มองดูท่านชายโจวหกก้าวเท้าใหญ่
เดินออกไป ก็ส่ายหน้าหัวเราะ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” เขาเอ่ย
ช่วงเวลาพลบค่ำ บนถนนเต็มไปด้วยผู้คน เสียงฝีเท้าเสียง
รถม้าดังปะปนกันไป รถม้าของเฉิงเจียวเหนียงเคลื่อนตัวช้ากว่าใคร
เพื่อน ส่วนท่านชายโจวก็ขี้มาตามนางมา
“ขอบใจเจ้ามากที่นำม้ามาให้ข้า” เขาเอ่ยอย่างลังเล
ลมฤดูใบไม้ผลิเริ่มอบอุ่นขึ้น ผ้าม่านในรถม้าปลิวไปตามลม
เฉิงเจียวเหนียงหันไปสบตาเขา
“ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก ก็ข้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ม้าของเจ้าหาย
ไป” นางเอ่ย
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” ท่านชายโจวหกรีบแย้ง
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขา
“เป็นความผิดข้าเอง” ท่านชายโจวหกเอ่ย “ข้าก็แค่โมโห
ตัวเองที่ช่วยอะไรเจ้ามิได้เลย”“เรื่องนี้ ใครก็ช่วยข้าไม่ได้ทั้งนั้นแหละ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ตอบ
นั่นสินะ
ช่างน่าเสียดาย…เสียดายยิ่งนัก
เขากำเชือกในมือแน่น
ท่านชายโจวหกเดินเข้าเรือนอย่างเงียบๆ ส่วนเฉิงเจียวเหนียงก็
โค้งคำนับเพื่อส่งเขาเข้าเรือน
“นี่” เขาเรียกนาง
นางหยุดฝีเท้า
“เจ้าก็อย่าใจร้อน อย่าเป็นทุกข์ไปเสียก่อนล่ะ ในเมื่อ
เจ้ายินยอมที่จะปกป้องเจ้าโง่นั่น เจ้าก็ทำไปเถอะ” เขาตีหน้าตาย
แล้วเอ่ย “ปล่อยให้ข้า ให้ข้าปกป้องเจ้าคนเดียวก็พอ”
พูดออกไปแล้ว ในที่สุด ในที่สุดเขาก็พูดออกไปแล้ว!
เขาตะโกนในใจ คำพูดน่าอายขนาดนี้ เขาดันพูดออกไปแล้ว!
รีบหนีไปสิ!
ในใจเขาบอกให้หนีไป แต่ร่างกายกลับนิ่งไม่ขยับแม่นางเฉิงมองเขา แล้วหัวเราะ
“เจ้าอยากทานของว่างไหม” นางเอ่ยชวน
“ของว่างอีกแล้ว มีอย่างอื่นอีกหรือไม่นอกจากของว่าง” เขา
เอ่ยถามอย่างไม่พอใจ
“แล้วเจ้าอยากได้อะไรล่ะ” นางถามเขา
อะไรดีนะ
“รูปวาด” เขาเอ่ยออกไปตรงๆ แล้วพยักหน้า “รูปวาดแบบ
เดียวกันกับที่ฉินสิบสามครอบครอง”
“ได้สิ” แม่นางเฉิงพยักหน้า แล้วหันกลับไป
เขาคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นก็รีบตีหน้านิ่งเหมือนเคย เขาเหม่อไป
สักพัก แล้วรีบเดินตามนาง
“…ข้าก็อยากได้ดอกไม้ ดอกไม้ที่บานตอนกลางคืน…”
“…ต้องออกมาดีกว่าของฉินสิบสามนะ…”
… “
ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินเจ้าคะ…”เสียงฝีเท้าตึงตังทำลายบรรกาศเงียบสงบยามเช้าตรู่ของเรือน
ตระกูลเฉิงไปเสียหมด
ฮูหยินรองเฉิงที่เพิ่งจะแต่งหน้าทำผมเสร็จก็รีบหันไปทาง
ต้นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์
“ตอนนี้พวกเราย้ายเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว เป็นชาวเมือง
เต็มตัวแล้ว อย่าได้ตะโกนเรียกสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้อีก มันไม่งามรู้ไหม”
นางเอ่ย
แม่นมรีบลดความเร็วฝีเท้าลง แล้วขานรับ
“แล้วมีเรื่องอันใดรึ” ฮูหยินรองเฉิงที่กำลังเปิดกล่อง
เครื่องประดับแล้วหยิบปิ่นขึ้นมาเสียบไว้ตรงมวยผม หันไปถาม
แม่นมอย่างไม่สบอารมณ์
“เมื่อครู่ข้าไปขอเงินจากแม่นางปั้นฉินมา นางบอกว่าไม่มีเงิน
แล้วเจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ย
“ว่าอย่างไรนะ” ฮูหยินรองตะโกน “หมายความว่าอย่างไรกัน
นางคิดว่าพวกเราโง่หรืออย่างไร จะไม่มีเงินได้อย่างไร! นี่นางคิด
จะทำอะไรกันแน่”เสียงก่นด่าของฮูหยินทำเอาหูของแม่นมอื้ออึง
“โหวกเหวกโวยวายอันใดกัน”
นายรองเฉิงที่เพิ่งจะกินมื้อเช้าเสร็จ เมื่อได้ยินเสียงก็รีบเข้ามาดู
แล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ใช้ไม่ได้”
“นายท่าน เป็นอย่างที่ข้าพูดไว้จริงด้วย พวกตระกูลโจวชิงคน
ของเราไปก็เพื่อไถเงินเจ้าค่ะ” ฮูหยินรองเฉิงลุกขึ้นยืน “แล้วพอ
ตอนนี้ นางก็คิดจะไม่ส่งเงินให้พวกเราใช้แล้ว!”
นายรองเฉิงทำเสียงเย้ยหยัน
“ตลกแล้ว นั่นมันเงินของข้า ใครมันบังอาจเอาไป” เขาเอ่ย
พลางเรียกพ่อบ้าน “ข้าเตรียมคนเอาไว้แล้ว วันนี้เจ้าต้องไปที่ร้าน
แล้วจัดการเปลี่ยนผู้ดูแลร้านให้หมด แล้วรีบเอาสมุดบัญชีมาให้ข้า”
ฮูหยินรองดีใจราวกับรอเวลานี้มานาน ในที่สุดร้านนั้นก็
จะได้มาเป็นของตนเสียที
“นายท่าน ฮูหยิน”
มีเสียงเรียกดังขึ้นจากนอกประตู“สงสัยคงต้องซ่อมแซมประตูเรือนเสียหน่อย ปล่อยให้เป็น
แบบนี้ไปได้อย่างไรกัน!” นายรองเฉิงเอ่ยไม่พอใจ
“เจ้าค่ะ นายท่าน” ฮูหยินหัวเราะแล้วคำนับ “เมื่อก่อนข้าเองก็
ไม่คุ้นชินกับเรือนนี้นัก ต่อไปคงดีขึ้นเอง ข้าจะจัดระเบียบเรือน
ทุกซอกทุกมุมให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมเจ้าค่ะ”
ระหว่างที่เอ่ยอยู่นั้น เหล่าบ่าวรับใช้ก็กรูกันเข้ามา
“มีอะไรถึงต้องตะโกนเรียก!” นางยังไม่ทันจะดุด่าจบ ก็ถูกบ่าว
เอ่ยแทรกขึ้นก่อน
“ฮูหยินขอรับ ไม่ได้การแล้ว มีคนมารอที่หน้าเรือนเต็มไปหมด
เห็นบอกว่าต้องการคิดบัญชีขอรับ” บ่าวรับใช้เอ่ยอย่างร้อนรน พลาง
ชี้นิ้วไปที่ด้านนอก
“คิดบัญชีงั้นรึ บัญชีอันใดกัน” ฮูหยินงุนงง
หรือคนพวกนี้จะมาผิดเรือนกันนะ
“เป็นพวกคนในร้านน่ะขอรับ เห็นบอกว่าถึงเวลาต้องจ่ายเงิน
แล้วขอรับ” บ่าวเล่าให้นางฟัง“ก็ให้ไปหาปั้นฉินสิ! ใครรับผิดชอบก็ให้ไปหาคนนั้นไป!” ฮูหยิน
รองเฉิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“เพราะแม่นางปั้นฉินบอกว่าไม่มีเงินแล้ว ก็เลยมาทวงที่ท่าน
ขอรับ” บ่าวเอ่ยต่อ
ฮูหยินรองเฉิงแสยะยิ้ม
“จะมาหาข้าทำไมกัน” นางเอ่ย “ข้ามิได้…”
“ฮูหยินขอรับ พวกเขาบอกว่าต้องการพบเถ้าแก่ ฮูหยินก็คือ
เถ้าแก่ร้านนะขอรับ” บ่าวใช้เอ่ยแกมเตือนนาง
นางนิ่งไปชั่วครู่ จู่ๆ ก็โมโหกว่าเดิม
“ทีตอนนี้เพิ่งจะมาระลึกได้ว่าข้าเป็นเถ้าแก่งั้นรึ” นางสบถ
“นายท่าน นายท่าน”
เรื่องเมื่อครู่ยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงของบ่าวอีกคนดังเข้ามา
“เรื่องอะไรอีก” นายรองเฉิงเริ่มปวดหัว ทำไมเช้านี้ถึงมีแต่เรื่อง
กันนะ
“นายท่าน ข้างนอกนั่นมีคนบอกว่าแม่นางใหญ่เอาเงินห้าหมื่น
ไปซื้อนางโลมขอรับ” บ่าวเอ่ยหน้าซีดเงินห้าหมื่น! นางโลม! แม่นางใหญ่งั้นรึ!
ทั้ง
คู่เมื่อได้ยินเข้าก็ยืนตะลึง
นี่ล้อเล่นอะไรกันอยู่!
“หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ปั้นฉินบอกว่าไม่มีเงินแล้วใช่ไหมเจ้าคะ
” แม่นมที่ปะติดปะต่อเหตุการณ์ได้ ก็รีบเอ่ยกับเจ้านายทั้งสอง