พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 528 ไร้สาระ
ห้าหมื่นเชียวนะ!
เงินตั้งห้าหมื่น แถมเอาไปใช้เพื่อซื้อนางโลม!
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเงินห้าหมื่นมันมีมูลค่ามากแค่ไหนกัน”
“เงินเดือนบัณฑิตจบใหม่ยังได้แค่ร้อยเดียว ขุนนางระดับสูง คำนวณดูแล้วเงินเดือนยังได้ไม่ถึงสี่หมื่นเลยกระมัง”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นขุนนางทำงานงกๆ ก็สู้เป็นนางโลมไม่ได้เลยสิ”
เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ไปทั่วห้อง เหล่าผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงชั้นสอง ต่างพากันส่ายหัว
“ไร้สาระ ไร้สาระกันไปใหญ่แล้ว” พวกเขาเอ่ยเป็นเสียง เดียวกัน
ยังมิทันสิ้นคำ เสียงจากด้านนอกก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผู้คนต่างพา กันมุง บนถนนหนทางเองก็มีแต่เสียงฝีเท้าวิ่ง
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” ทุกคนต่างพากันถามไถ่
“รีบไปดูเร็วเข้า พวกตระกูลเฉิงจะไปทวงเงินกับหอเต๋อเซิ่งแล้ว !”
พวกตระกูลเฉิงไปทวงเงินกับหอเต๋อเซิ่งอย่างนั้นรึ!
เสียงพูดคุยอื้ออึงหนักกว่าเดิม
“มีแต่เรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะปีนี้”
เสียงพูดคุยของลูกค้าในโรงน้ำชาดังขึ้น และเมื่อได้ยินเรื่องเมื่อ ครู่ ก็รีบออกจากร้านแล้ววิ่งไปดู
“ไร้สาระ ไร้สาระสิ้นดี” เหล่าคนแก่คนเฒ่าที่นั่งอยู่ชั้นสองส่าย หัวอีกครั้ง
“ไร้สาระ!”
เสียงตะโกนของแม่นางม่อดังขึ้นจากทางหอเต๋อเซิ่ง
“มีที่ไหนกัน ซื้อนางโลมแล้วจะเรียกเงินคืน!”
“พวกเจ้ามันต้มตุ๋นชัดๆ !” เหล่าสาวใช้แม่นมต่างพากันตะโกน โหวกเหวก
คาดไม่ถึงว่าจะมีคนมุงเยอะเช่นนี้ เป็นเพราะเงินห้าหมื่นนั่น ทำให้ผู้คนอยากรู้อยากเห็น
ช่างประหลาดเสียจริง ถ้าเป็นบ้านคนเก่าคนแก่แล้วนั้น ก็คง เหมือนกับการแย่งที่นั่งในงานวัด พวกเขาโหวกเหวกตะโกนกับคน ทั้ง ตำบล ตอนน นั้นคนก็ไม่น้อยเลย แต่เหตุใดกันนะถึงมิได้รู้สึกว่า น่าอาย แต่กลับรู้สึกมั่นหน้ามั่นใจด้วยซ้ำ
เป็นเพราะสำ เนียงของคนที่นี่ที่ฟังแล้วรื่นหูหรือเปล่านะ หรือว่าเป็นเพราะแม่นางตรงหน้านี้แต่งกายดูดีมีเสน่ห์ เลยดูไม่ออ กว่าอายุ อานามเท่าไหร่ แต่กิริยาท่าทางของนางนั้นช่างไม่เหมือน ใครเลยจริงๆ
เหล่าสาวใช้รู้สึกไม่คุ้นชินเอาเสียเลย
แม่นางม่อป้องปากหัวเราะ
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว” แม่นางม่อเอ่ย “พวกเราไม่ใช่พวกต้มตุ๋น ก็คนทำมาค้าขายทั่วไปนั่นแหละ”
คำว่าทำมาค้าขายนั้นความหมายช่างกว้างนัก เหล่าชายหนุ่ม ที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างพากันหัวเราะชอบใจ แต่เหล่าหญิงสาวกลับทำท่า เบือนหน้าหน นีเสียอย่างนั้น
“แม่นางใหญ่ เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด” พ่อบ้าน เฉิงลุกยืนขึ้นเอ่ย “เป็นความเข้าใจผิดระหว่างแม่นางของตระกูลเรา กั บท่านชายก็เท่านั้น ฉะนั้นแล้ว ได้โปรดแม่นาง พวกเราคงต้องขอ เงินคืนด้วยขอรับ”
ขอเงินคืนงั้นรึ
แม่นางม่อแสยะยิ้มในใจ
“ล้อกันเล่นหรือไง ใช้บริการไปแล้วยังจะมาขอเงินคืนอีก” แม่นางม่อเอ่ย
“ก็ยังมิได้ใช้บริการอันใดเลยมิใช่หรือ” พ่อบ้านกัดฟันจ้องตา พลางเอ่ย
“เหล่าลูกสาวในเรือนข้าก็ขายหน้าตาทั้งนั้นแหละ แค่ใช้ สายตามองก็เท่ากับว่าใช้บริการแล้ว ต่อให้ต้องควักลูกตาออก ก็ ถือว่ามองแล้ว ก็ต้องจ่ายเงินอยู่ดี” แม่นางม่อเอ่ย
“แต่ก็ใช่ว่าจะต้องจ่ายถึงห้าหมื่น!” พ่อบ้านรีบแย้ง
แม่นางม่อเบะปาก
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องถามท่านชายกับแม่นางของพวกเจ้าแล้วล่ะ ข้าสนเพียงแค่ว่า ใครที่กล้ามาเยือนที่นี่ก็ต้องเงินถึง ถ้าเงินไม่ถึง ก็ อ อย่าหวังว่าจะได้เข้ามาเหยียบในร้านข้า” นางเอ่ย “ซื้อแล้วไม่รับคืน เจ้าค่ะ”
ยิ่งพูดดูเหมือนจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม เสียงหัวเราะจากผู้คนที่อยู่ รอบๆ เริ่มดังขึ้น คนที่เข้ามามุงดูก็เพิ่มจำ นวนมากขึ้น พ่อบ้าน เ เฉิงหมดคำจะเอ่ยแล้ว
แม่นางม่อผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!
เดิมทีพวกเขากะมาเจรจากันอย่างเงียบๆ ใครจะไปคิดล่ะว่า นางจะเล่นใหญ่ป่าวประกาศให้คนอื่นได้รู้ จนเรื่องมันบานปลายไป ยิ่งกว่าเดิมแล ล้ว!
ช่าง…เสียจริง
“รีบไปกันเถอะ” พ่อบ้านเฉิงบอกพรรคพวกให้ถอยกลับก่อน
เหล่าแม่นมพากันขึ้นรถม้าฝ่าฝูงชนที่เอาแต่หัวเราะเยาะ พวกเขา
“ไปบอกท่านชายของพวกเจ้า ว่านางโลมของข้านอนรออยู่” แม่นางม่อตะโกนให้หลัง แล้วจู่ๆ ก็นึกสนุกอะไรขึ้นมา จึงเอ่ยต่อ “แต่มิต้องรีบร้ อนไปนะ ท่านชายเฉิงกำลังบาดเจ็บอยู่ รอให้หายดี ก่อนค่อยมาก็ได้ พวกข้าให้เวลาเดือนหนึ่ง ข้าไม่คิดเงินเพิ่มหรอก”
พอแม่นางม่อเอ่ยจบ เสียงหัวเราะดังขึ้นหนักกว่าเก่า
“จะบ้ารึ! ไปขอเงินคืนจากยัยแม่เล้าที่หอเต๋อเซิ่งเนี่ยนะ!”
ณ เรือนตระกูลเฉิง พอพ่อบ้านเฉิงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นายใหญ่รองเฉิงถึงกับระเบิดลง
“นี่ยังอับอายกันไม่พออีกรึ”
ฮูหยินรองเฉินนั่งเช็ดน้ำตา
“ข้าละอยากจะบ้าตาย!” นางตะโกน “เงินหายไปตั้งห้าหมื่น เป็นใครก็ประสาทกินทั้งนั้นแหละ!”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็รีบคว้าตัวนายใหญ่รองเฉิง
“ท่านทำงานที่ศาลต้าหลี่มิใช่หรือ รีบไปจับพวกหอเต๋อเซิ่งมาสิ แล้วเอาเงินมาให้ข้า”
นายใหญ่รองเฉิงสะบัดแขนนางทิ้งอยากไม่สบอารมณ์
“นี่ใช่เวลามาห่วงเรื่องเงินงั้นรึ นี่มันเรื่องความเป็นความตาย กับอนาคตของตระกูลเรานะ!” เขาเอ่ย “เจ้าอาจจะมองเห็นแค่เงิน ห้าหมื่ น แต่หารู้ไม่ว่าพวกเขากำลังแกว่งเท้าหาเสี้ยนตอใหญ่เลยล่ะ”
“ข้าหมายถึง พวกเราต้องเผชิญหน้ากับพวกตระกูลเกายังไงล่ะ !”
นายรองเฉิงเดินไปเดินมาพะว้าพะวง
“ก็จริงที่ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้พวกเรากลายเป็นตัวตลกไปแล้ว แต่ยิ่งไปกว่านั้น พวกตระกูลเกาเองก็กลายเป็นตัวตลกหนักกว่า พวกเราเสียอ อีก!”
“เขาผู้นั้นคือท่านชายของตระกูลเกา! ตระกูลเกาเชียวนะ!”
“เรื่องขายขี้หน้าเช่นนี้ ดันมาเกิดขึ้นเพราะนางโลมแค่คนเดียว ตระกูลเกาคงล้างมลทินนี้ออกไปมิได้แล้ว กลืนก็ไม่เข้า จะคายก็คาย ไม่อ ออก!”
ฮูหยินรองเฉิงร้องไห้หนักกว่าเก่า เงยหน้ามองเขา
“นายท่าน ท่านมิได้เป็นผู้ก่อเรื่อง เป็นฝีมือของเด็กสองคนนั้น ต่างหาก” นางเอ่ย “ท่านลองรีบไปเจรจากับตระกูลเกาดูก่อนดีไหม
!”
นายรองเฉิงใบหน้าเริ่มหมอง
“เป็นอย่างที่ว่าไว้ไม่ผิด ไม่เชื่อฟังคำสอนของมารดา เลยต้อง เจอเคราะห์ซ้ำ กรรมซัด” เขาเอ่ย “นางตัวซวยนั่นก็เอาแต่สร้าง ปัญหามาให ห้ข้า ให้ตระกูลของข้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็ขมวดคิ้ว
“ไปพาตัวนางมาแล้วหรือยัง”
“นายท่าน พวกตระกูลโจวไม่ยอมขอรับ…” บ่าวที่ยืนอยู่นอก ประตูเอ่ยอย่างหวาดหวั่น “พวกนั้นไล่พวกเรามาขอรับ”
นายรองเฉิงโมโหอย่างหนัก พลางก้าวเท้าออกไป
“พวกตระกูลโจวนี่ก็นะ ข้าจะพาตัวลูกสาวมาก็ดันไม่ยอมเสีย อย่างนั้น! ไหนข้าขอดูให้เห็นกับตาเสียหน่อยว่าใครมันกล้า มาขัดขวางกันแน่! !”
“นายท่านเดี๋ยวก่อนขอรับ พวกตระกูลโจวบอกไว้แล้วว่า หาก นายท่านไป ก็จะถูกไล่กลับมาเช่นเดิมขอรับ…” บ่าวเอ่ย
“ข้าอยากรู้ว่าพวกมันจะกล้าซักแค่ไหน! ดูซิว่าจะเล่นไม้ไหนกับ ข้าอีก!” นายรองเฉิงฉุนขาด รีบเร่งฝีเท้า
ฮูหยินรองเฉิงรีบปรามเขาไว้
“นายท่าน ไม่ต้องไปลองเชิงกับพวกนั้นหรอก” นางเอ่ย “เรา ไม่ต้องพานางมาสิดี เจียวเหนียงถูกพวกตระกูลโจวตามใจจน เสียคน เป็นความผิดขอ องพวกนั้น ข้าว่าท่านรีบไปอธิบายกับพวก ตระกูลเกายังจะดีกว่า”
นั่นสินะ โยนภาระให้ตระกูลโจวเสียก็สิ้นเรื่อง!
นายรองเฉิงพยักหน้า
“จริงด้วย เป็นความผิดของตระกูลโจวแต่แรก” เขาเอ่ย พลาง หมุนตัวกลับ “รีบไปหยิบเสื้อผ้ามาให้ข้า ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ฮูหยินรองเฉิงรีบออกไปตามบ่าว
“ไหนจะเรื่องชายสี่อีก…” นางเอ่ย
นายรองเฉิงหยุดฝีเท้า
“เจ้านี่มันบังอาจทำเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงแก่ตระกูล ข้าจะไป ทำเรื่องถอดยศมันเสีย” เขาเอ่ยอย่างเยือกเย็น
แค่นี้คงพอที่จะแสดงให้พวกตระกูลเกาเห็นว่าพวกเขารู้สึกผิด จริงๆ
ฮูหยินรองเฉิงพยักหน้า พลางกัดฟันพูด
“ใช่แล้วล่ะ ให้เจ้านั่นลิ้มรสความเจ็บปางตายเสียบ้าง” นาง เอ่ย
“รีบไปเตรียมรถเร็ว ข้าจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้ล่ะ” เมื่อนายรอง เฉิงตัดสินใจแล้วก็อยากรีบลงมือทำเลย
พ่อบ้านเฉิงตาลีตาเหลือกรีบวิ่งเข้ามา
“นายท่าน ประตูถูกกันไว้หมดแล้ว ออกไปไม่ได้แล้วขอรับ” เขาตะโกน “พวกที่มาทวงหนี้บอกว่า ถ้ายังไม่เอาเงินไปให้ จะเอาเรื่องให้ถึงที่ สุดขอรับ”
“ก็เอาเรื่องคนที่สมควรถูกเรื่องไปสิ!” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยอย่าง ลนลาน
“ฮูหยินขอรับ! ร้านพวกนี้เป็นชื่อของท่านนะขอรับ” พ่อบ้านเอ่ย “หากพวกนั้นเอาเรื่องจริงๆ ล่ะก็ ร้านก็จะถูกทางการสั่งปิดนะขอรับ”
ถูกสั่งปิดงั้นรึ!
“ไม่ได้เด็ดขาด!” ฮูหยินรีบตัดบท “ไก่มันยังออกไข่ได้ แต่ถ้าไม่ มีไก่ ก็ไม่มีไข่ ก็ไม่มีอะไรกินแล้วนะ ต้องประคองร้านไว้ให้ได้สิ”
“จะประคองอย่างไรดีล่ะ” ฮูหยินรองเฉิงจู่ๆ นึกอะไรขึ้นได้ “หรือว่าจะขายออกไปสักร้านหนึ่ง เพื่อรักษาร้านที่เหลือไว้”
“เจ้าบ้าไปแล้ว ขายทิ้งงั้นเหรอ! ร้านๆ หนึ่ง เดือนหนึ่งสามารถ ทำกำไรได้เท่าไหร่เจ้ารู้หรือไม่ ยังจะมีหน้ามาขายทิ้งอีก! เงินยังหา าย ไปไม่พออีกหรือไงกัน!”
“แล้วข้าควรทำเช่นไรเล่า” ฮูหยินเอ่ย
สักพัก นายรองเฉิงหรี่ตามองนาง
เมื่อได้เห็นสายตาแปลกพิลึกจากนายรองเฉิง ฮูหยินรองเฉิงรีบ ตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ พลางเดินก้าวถอยหลัง
“เอาเงินสินเดิมออกมาใช้ก่อน” เขาเอ่ยกับนาง
เงินสินเดิมอย่างนั้นหรือ!
“จะเอา…เอาเท่าไหร่ล่ะ” ฮูหยินเอ่ยตะกุกตะกัก
“พวกนั้นมีประมาณเจ็ดแปดคน คำนวณแล้วน่าจะต้องใช้เงิน ประมาณสองหมื่นขอรับ” พ่อบ้านเฉิงเอ่ย
สองหมื่นงั้นรึ!
ฮูหยินสูดหายใจเข้าลึก
“ข้ามีเงินเยอะขนาดนั้นเสียที่ไหน!” นางตะโกน
นายรองเฉิงเริ่มหมดความอดทน
“ไม่มีเงินก็ต้องช่วยๆ กันไปก่อน” เขาเอ่ย พลางมองไปยัง เครื่องประดับของนางบนโต๊ะ “เครื่องประดับแพงๆ นั่น เอาไปขาย น่าจะได้เงินมา าไม่น้อยเลยล่ะ”
ฮูหยินหันหันไปมองกล่องเครื่องประดับของตนเองอย่าง ลุกลี้ลุกลน
ชั้นวางของทั้งสามชั้นเต็มไปด้วยกล่องเครื่องประดับหรู แต่ละ ชิ้นล้วนประณีตงดงาม บางชิ้นได้ก็ยังไม่เคยใช้เลยสักครั้ง บางชิ้นก็ ตั ง ใจไว้ว่าจะมอบให้ทายาทได้ใช้กันต่อๆ ไป
“นี่ท่านเล่นถึงขั้นนี้กันเลยหรือ!”
… “ ไร้สาระงั้นหรือ ยังรู้ไม่แน่ชัดเลยว่าใครกันแน่ที่ไร้สาระ ของจริง”
นายใหญ่เฉินเอ่ยพลางวางถ้วยน้ำชาลง
“คิดจะสู้เรื่องเงินกับคนอย่างนางงั้นหรือ ถ้าทางนั้นเขายอม ไม่ว่าจะกี่หมื่นสองหมื่นสามหมื่นยังไงก็ยอมจ่ายอยู่แล้ว นาง ไม่สนใจเรื องเงินหรอก”
เฉินเซ่าส่ายหัว พลางหยิบผ้าเช็ดมือจากสาวใช้ยื่นให้บิดาของ เขา
“ใครๆ ต่างลือกันว่านางทำเรื่องไร้สาระ แต่ก็นะ มีอย่างที่ไหน กันที่น้องสาวจะออกตัวซื้อนางโลมให้พี่ชาย” เขาเอ่ย
นายใหญ่เฉินหัวเราะ
“เป็นเช่นนั้น มิใช่เรื่องที่หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งพึงทำ คนอื่นก็ เช่นกัน” เขาเอ่ย
เฉินเซ่าหัวเราะตาม
“หากใครได้ลองปะทะกับนาง จะต้องเข้าถึงคติหลักของนาง นั่นก็คือ…” นายใหญ่เฉินเอ่ย พลางยกนิ้วขึ้น
“เสียเปรียบ เท่ากับได้เปรียบ”
แล้วเขาก็หัวเราะอีกครั้ง
“แต่กว่าจะเข้าถึงนั้น คงเป็นเรื่องยากพอตัว”
… กุ้ย เฟยที่ยืนอยู่หน้าประตูตำหนัก กำลังจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผม ของตนให้เรียบร้อย จากนั้นจึงค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปในตำหนัก
“ฝ่าบาทเพคะ นี่เป็นขนมหวานที่หม่อมฉันได้มาจากตำหนัก ไทเฮา ฝ่าบาทลองชิมดูสิเพคะ” กุ้ยเฟยยิ้มพลางเอ่ยเชิญชวนฮ่องเต้
ฝ่าบาทวางเอกสารในมือลงแล้วพยักหน้า จากนั้นจึงยิ้มรับแล้ว บอกให้นางนั่งลง
“เจ้ามาช้าไปเพียงนิดเดียว ผิงอ๋องเพิ่งกลับไปเมื่อครู่นี้เอง” เขาเอ่ย
กุ้ยเฟยหัวเราะพลางขานรับ
“ตอนนี้เขาเติบใหญ่แล้ว หากมีอะไรให้เขารับใช้ ขอฝ่าบาท มิต้องเกรงใจ เผื่อจะช่วยแบ่งเบาภาระฝ่าบาทได้บ้าง” นางเอ่ย
“เติบใหญ่ ใช่ว่าจะดีเสมอไป” ฮ่องเต้เอ่ย
กุ้ยเฟยใจตกไปอยู่ตาตุ่ม รับรู้ทันทีว่าฮ่องเต้กำลังตำหนิอยู่ ดูเหมือนว่าผิงอ๋องคงก่อเรื่องไว้ไม้น้อยเลยทีเดียว
“ผิงอ๋องเป็นคนหัวช้า เลยทำให้ฝ่าบาทเป็นกังวลหรือเพคะ” นางเอ่ย
ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ พลางชิมขนมหวานที่นางให้มาไปคำ สองคำ
“ไปที่ตำหนักไทเฮากันเถิด” เขาเอ่ย พลางลุกขึ้นยืน
กุ้ยเฟยเองก็ลุกขึ้นตาม
“ฝ่าบาท” นางนิ่งไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยต่อ “ฝ่าบาทได้ยินเรื่องที่ แม่นางเฉิงไปหอเต๋อเซิ่งแล้วใช่ไหมเพคะ”
ฮ่องเต้หยุดนิ่งชั่วครู่
“ไทเฮารู้เรื่องนี้แล้วหรือ” เขาเอ่ยถามกุ้ยเฟย แล้วก็ยิ้มเอ่ยต่อ “แพร่กระจายเร็วเสียจริง”
นางครุ่นคิด นับว่าฝ่าบาทยิ่งประหลาดเข้าไปทุกที ดู คำพูดคำจาเริ่มจะแปลกๆ เข้าทุกวัน
“ฝ่าบาท เรื่องแต่ละเรื่องที่นางก่อไว้นั้นช่าง…” กุ้ยเฟยหัวเราะ
“นางก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วมิใช่รึ ไม่เห็นจะ น่าแปลกตรงไหน” ฮ่องเต้เอ่ยขัด “นางเสียพี่น้องอันเป็นที่รักของนาง แถมยังก กล้าเผชิญหน้ากับเรา ไหนจะเรื่องที่พี่ชายของนางถูกทำร้าย ไหนจะ…”
ฮ่องเต้มองไปที่กุ้ยเฟย
“นางเป็นแค่สตรีตัวเล็กๆ เท่านั้น แล้วเจ้าท่านชายเกาอะไรนั่น ที่ไปทะเลาะกับนาง ไม่ยิ่งดูไร้สาระกว่าหรือ”
พูดจบพลางสะบัดแขนเสื้อ
“เราจะไปตำหนักพระสนมอันก่อน เจ้าไปหาไทเฮาก่อนได้เลย ”
กุ้ยเฟยไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงแต่ตอนนี้ใบหน้าของนางเริ่มแดงก่ำ ดวงตารื้น
“…แถมยังรีบเอาเรื่องมาฟ้องเราก่อนอีก ช่างไม่สมกับเป็น ชายชาตรีเอาเสียเลย…”
ฮ่องเต้พึมพำกับตนเอง
เสียงเพล้งดังขึ้น เศษแจกันโบราณที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ หล่น เกลื่อนอยู่เต็มพื้น
“ฝ่าบาทเอ่ยเช่นนั้นหรือ”
สีหน้าของท่านชายเกาก็เริ่มดูไม่ได้ ราวกับเศษแจกันที่ตก ลงพื้นเมื่อครู่
ขันทีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาทำหน้าขึงขัน “ใช่แล้วขอรับ” ขันทีเอ่ยตอบเสียงเบา เสียงเพล้งดังขึ้นอีกครั้ง ท่านชายเกายกโต๊ะขึ้นอย่างโม มโห “ตระกูลเฉิงพวกชาติพันธุ์ชั้นต่ำช้า! พวกชั้นต่ำช้า!”