พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 529 ยากจะสงบ
เสียงสบถคำหยาบดังขึ้น ข้าวของในห้องแตกกระจาย
ราบเป็นหน้ากลอง ชิงเค่อที่อยู่ด้านข้างรีบกวักมือเรียกบ่าวให้เข้ามา
ปราม“ท่านชายสิบสี่ ท่านชายสิบสี่ โปรดใจเย็นก่อนขอรับ” บ่าวเอ่ย
เตือนเขา
ที่จริงบ่าวเองก็ตกใจเสียจนขาแข้งสั่นไปหมด ถ้าหนีไปได้คง
หนีไปแล้ว
“ใจเย็นงั้นรึ จะให้เย็นได้อย่างไรกัน!”
ท่านชายเกาสิบสี่โกรธหน้าเขียว พลันคว้าแจกันดอกไม้เขวี้ยง
ลงไปบนพื้น
“ทำข้าอับอายขายหน้า แถมยังทำชื่อเสียงแปดเปื้อน แถมยัง
ได้ความผิดติดตัวมาอีก ทั้งๆ ที่พวกมันต่างหากอยากมีเรื่องกับข้า
เอง ไฉนกลายเป็นข้าที่ซวยกันเล่า”
ชิงเค่อรีบโน้มน้าว
“ท่านชายสิบสี่ขอรับ ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว คงทำอะไร
มากมิได้ ในเมื่อท่านเป็นคนตระกูลเกา ใครๆ ก็พร้อมเคารพท่าน
ขณะเดียวกันก็พร้อมจะเหยีบย่ำเช่นกันขอรับ” เขาเอ่ย
ก็เพราะว่าเขามาจากตระกูลเกานี่แหละ พอเกิดเรื่องที ก็มีแต่
คนให้ความสนใจ กลายเป็นขี้ปากของผู้คนเขาเองก็พอเข้าใจดี หลังจากที่ได้ระบายอารมณ์แล้ว เขาก็
เอนกายนั่งลง
“คนบ้าแห่งเจียงโจว! ตระกูลเฉิงแห่งเจียงโจว!” เขากัดฟันเอ่ย
ชื่อของนางซ้ำ ไปซ้ำ มา “ให้คนไปสั่งสอนพวกมันเดี๋ยวนี้!”
“ท่านชายสิบสี่ขอรับ เวลานี้ไม่เหมาะสมนะขอรับ” ชิงเค่อเอ่ย
“ใครๆ ก็รู้ว่าตระกูลเกากับตระกูลเฉิงมีเรื่องบาดหมางกันมานาน
แถมฮ่องเต้ยังมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าหากเรื่องมัน
บานปลายกว่าเดิมแล้วจะยิ่งไปกันใหญ่นะขอรับ อย่าว่าแต่จะไปสั่ง
สอนพวกนั้นเลย ต่อให้ยืมมือคนอื่น ทุกคนยังไงก็ต้องพุ่งมาที่ตระกูล
เราอยู่ดีนะขอรับ”
ท่านชายเกาหัวเราะ
“ให้ตายเถอะ แล้วข้าต้องทำเช่นไร ต้องทำดีกับนางหรือ
อย่างไร”เขาเอ่ย
“แน่นอนว่าไม่ถึงกับต้องทำเช่นนั้นหรอกขอรับ ในเมื่อเรื่องแย่ง
นางโลมได้จบลงไปแล้ว ท่านเองก็ควรปล่อยวาง แล้วไม่ควรเอ่ย
ไม่ควรถามไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้อีกเป็นอันขาดขอรับ”“จะบ้าเหรอ อย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกให้ข้ามุดหัวหนี
อย่างนั้นสิ” ท่านชายเกาก่นด่า
คำด่ากระแทกเข้าหน้าชิงเค่ออย่างจังจนน้ำลายกระเด็น
ใส่หน้าเขา เขามิกล้าแม้แต่จะยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ด
“อดทนเพียงชั่วคราว มิใช่ว่าต้องอดทนตลอดไปเสียหน่อย”
เขาเอ่ย “รอให้เรื่องซาไปก่อน แล้วค่อยว่ากัน”
“ข้ามิได้ทำอะไรผิดสักหน่อยเหตุใดต้องรอให้เรื่องซาด้วย!”
ท่านชายเกาเอ่ยอย่างขุ่นเคือง
“แต่ว่าตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ขอรับ!” ชิงเค่อหมดความอดทน
“ฝ่าบาททรงตรัสแล้วว่า นี่เป็นเรื่องไร้สาระ ใครมันยังกัดไม่ปล่อย
นั่นหมายความว่าคนผู้นั้นไร้สาระยิ่งกว่าเดิมอีก”
ท่านชายเกากัดฟันกรอดๆ
“ข้าผิดเองที่ไม่รีบฆ่านางทิ้งตั้งแต่แรก จะได้จบๆ เรื่องไร้สาระ
ไป” เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “กลายเป็นว่าต้องมาพัวพันกับเรื่องไร้สาระ
นี่เสียได้”“นายท่าน เราถอยหลังเพื่อก้าวไปข้างหน้า” ชิงเค่อเอ่ย “นาง
เองก็มีส่วนเอี่ยวด้วย รอดูกันต่ออีกหน่อยไม่ดีกว่าหรือ”
ท่านชายเกามองดูเศษซากที่กองอยู่บนพื้น แล้วมองไปยังนอก
หน้าต่าง จากนั้นจึงทำหน้าเมินเฉย
เสียอารมณ์จริงๆ !
เพิ่งจะออกมาใช้ชีวิตอิสระในเมืองหลวงได้ไม่นาน ก็ต้อง
มาเจอกับเรื่องดวงซวยเข้า แถมยังกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวง
ไปเสียได้
ตระกูลเฉิงแห่งเจียงโจว คอยดูเถอะ!
ณ เรือนตระกูลเฉิง ฮูหยินรองเฉิงกำลังตีหน้าซื่อ
“มาเก็บเอาตอนนี้ หวังว่าจะพอใช้นะ”
นางบ่นพึมพำ มือพลางกำแขนเสื้อแน่น มองไปยังด้านนอกที่
มีผู้คนกำลังไหลกันเข้ามา สายตาของนางจับจ้องไปที่คนชราที่ในมือ
กำลังถือสมุดบัญชี
“ฮูหยิน นี่คือสมุดบัญชี” ผู้ดูแลอู๋คำนับพลางเอ่ยกับนาง แล้ว
ยื่นสมุดบัญชีให้ฮูหยินรองเฉิงรับมา ส่วนเหล่าแม่นมที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ดีใจเนื้อ
เต้น
“ช่วงนี้ในตระกูลเกิดเรื่องคับขัน จะใช้จ่ายอันใดจงพึงระวัง”
ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “พวกเจ้าเองก็ทำอย่างที่ควรทำ
ตามเดิม ต่อให้การเงินไม่คล่องนัก แต่ข้าก็จะไม่ทิ้งพวกเจ้าแน่นอน”
ผู้ดูแลอู๋ขานรับ
“ถ้าเช่นนั้น แม่นางปั้นฉินก็…” ชายผู้หนึ่งที่ยืนแอบอยู่
ด้านหลังอดไม่ได้ที่จะถามถึงปั้นฉิน
“แม่นางปั้นฉินคือผู้ที่ดูแลแม่นางเฉิง เดิมที่เรือนแห่งนี้ไม่มีคน
อาศัย นางก็เลยต้องรับผิดชอบในส่วนนี้ไปก่อน แต่ตอนนี้พวกข้า
เข้ามาที่นี้แล้ว ดังนั้นนางก็ต้องกลับไปทำหน้าที่ของนางดังเดิม”
ฮูหยินรองเฉิงรีบตัดบท
ชายผู้นั้นรีบหลบตา
“เอาละ พวกเจ้าไปทำงานต่อเถิด” นางเอ่ยปัด แล้วชี้ไป
ด้านนอก “แล้วก็ทำความคุ้นเคยกันด้วยล่ะ”
พวกเขาหันไปดู ก็พบว่ามีคนประมาณสี่ห้าคนยืนอยู่พวกเขาคือ…
“พวกเขาเป็นคนของข้าเอง ที่จะคอยช่วยเหลือพวกเจ้า” ฮูหยิน
รองเฉิงเอ่ยแนะนำ
ช่วยเหลืองั้นรึ
ผู้ดูแลอู๋พยักหน้ารับทราบ จากนั้นจึงเดินออกไป
พอเห็นพวกเขาเดินออกไปแล้ว นางก็รีบเปิดสมุดบัญชีออก
แม่นมที่อยู่ตรงนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาดู
“ฮูหยิน ดูสิเจ้าคะ เงินมากมายเพียงนี้” แม่นมเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“กำไรไม่น้อยเลยนะเนี่ย…”
“แน่นอนสิ ไม่งั้นนางจะหาเงินห้าหมื่นนั่นจากไหนกันล่ะ”
ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย “นี่ยังไม่นับพวกค่าเสียหายที่นางกับพรรคพวก
ของนางทำไว้นะ…”
พอเอ่ยถึงเรื่องนั้นเข้าอีกครั้ง นางก็เริ่มหวาดผวา หายใจ
ไม่ออก จนแม่นมต้องรีบเข้าไปช่วยเหลือนาง
“ฮูหยินเจ้าคะ ไม่ต้องกังวลไป เงินพวกนั้นเดี๋ยวก็กลับมาเอง
อย่างช้าก็น่าจะเดือนนึง เดือนนึงเดี๋ยวก็คืนกำไรแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ยปลอบ
นางสูดหายใจเข้าลึกพลางยกมือสวดมนต์ท่องคาถา พอมองดู
ข้อมือโล่งของตนที่ไม่ได้สวมใส่เครื่องประดับ จากนั้นก็หันไปมอง
โต๊ะเครื่องแป้งที่บัดนี้บรรดาเครื่องประดับทั้งหลายไม่ได้อยู่ตรงนั้น
แล้ว
“รู้เช่นนี้ข้าเอาไปซ่อนเสียก่อนก็ดี บางชิ้นข้ายังไม่เคยได้ลอง
เลยด้วยซ้ำ ”
ไม่สิ รู้เช่นนี้ไม่ต้องไปตามน้ำแต่แรกเสียก็ดี รีบเอาเงินพวกนี้
ไปซ่อนไว้แต่แรก จะได้ไม่ต้องมาเป็นแบบนี้!
นางบ้า ไม่แปลกใจที่ใครๆ มักจะเกลียดนาง ทำตัวน่ารังเกียจ
เสียจริง!
…
“แม่นาง เงินพวกนั้นก็ให้ฮูหยินรองเฉิงไปอย่างนั้นเลยรึ”
ผู้ดูแลอู๋เอ่ยถาม
“ในเมื่อนางอยากได้นัก ก็ให้นางไปเถอะ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ“แล้วพวกข้าล่ะ…” ผู้ดูแลอู๋นิ่งไปสักพัก แล้วถามต่อ “ต้อง
ลาออกเลยหรือไม่”
มิใช่ว่าผู้ดูแลอู๋คิดมากเกินเหตุแต่อย่างใด เพียงแต่ไม่ว่าจะที่
เรือนไท่ผิงหรือว่าเรือนนางฟ้าก็ตาม แม้ว่าจะมีแม่นางเฉิงเป็น
เจ้าของกิจการก็จริง แต่คนที่คอยลงแรงอยู่ตลอดก็คือเขาและปั้นฉิน
ทุกคนที่ร่วมงานกันก็มีทั้งสองคนนี้แหละที่คอยดูแลความสัมพันธ์
ของทุกคนในร้าน หรือจะให้พูดกันตรงๆ ก็คือ ต่อให้เจ้าของร้านจะ
ไม่ใช่แม่นางเฉิงก็ตามยังไงก็ไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าหากคนอย่างผู้ดูแล
อู๋ออกไปสักคนแล้วล่ะก็มีปัญหาแน่นอน
ในเมื่อฮูหยินรองเฉิงต้องการจะยึดร้าน อย่างน้อยก็ควรจัดการ
ปัญหาให้เขาเสียหน่อย
“เจ้าไม่อยากทำแล้วหรือ”เฉิงเจียวเหนียงถาม
เขารีบส่ายหัว
“กิจการร้านดีขนาดนั้น เจ้าเองก็ลงแรงกายแรงใจไปตั้งเยอะ
กับร้านนี้ จะปล่อยให้มันพังไปต่อหน้าต่อหน้าอย่างนั้นรึ”นางย้ำ
แน่นอนว่าเขาไม่ยอม…เขาทุ่มเทแรงกายและแรงใจเพื่อที่จะบริหารร้านอย่างเต็มที่
สิ่งที่เขาได้รับไม่ได้มีเพียงแค่เงินทองและชีวิตที่มีความสุขเท่านั้น
เขายังได้รับความภาคภูมิใจในงานของเขาด้วย
“แต่ว่า แม่นาง นั่นก็เป็นน้ำพักน้ำแรงของท่านเหมือนกัน…”
เขาเอ่ย
“ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก ข้าจัดการได้ ส่วนเจ้าก็ควรทำในสิ่งที่
ควรทำ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ในเมื่อเจ้าสร้างมันมากับมือ ก็อย่าให้
มันพังไปต่อหน้าต่อตาสิ”
เขามองที่นาง พลางพยักหน้า ยืดตัวตรง
“เจ้าวาดเสร็จหรือยัง”
เสียงนั้นดังขึ้นจากนอกประตู ผู้ดูแลอู๋จึงหันไปทางต้นเสียง
ปรากฏเป็นชายหนุ่มเดินเข้ามา
เขาผู้นั้นคือท่านชายแห่งตระกูลโจว ผู้ดูแลอู๋จึงโค้งคำนับให้
เขา
“มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นงั้นรึ” ท่านชายโจวหกมองไปยังผู้จัดการ
ร้าน พลางเอ่ยถาม“ไม่มีอะไรหรอก”เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เขาจึงตอบอืม
“ถ้าไม่มีอะไร ก็รีบๆ วาดรูปให้ข้าได้แล้ว” เขาเร่งนาง
“ท่านชายหกเจ้าคะ รูปน่ะข้าวาดเสร็จแล้ว เหล่าสาวใช้กำลัง
ส่งรูปไปให้ท่านอยู่เชียว” สาวใช้หัวเราะ
เมื่อเขาได้เห็นรูปวาดที่ถูกยกออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะโพล่ง
หัวเราะและรีบยื่นมือไปรับ
“เป็นอย่างไรบ้างท่านหก ใช้ได้ไหมเจ้าคะ…” สาวใช้เอ่ยถาม
ยังไม่ทันจะพูดจบ เขาก็รีบก้าวเท้าออกไป
“ยังไม่ต้องดูหรอก ข้ามีธุระต้องรีบไป ขอตัวก่อน”
เขาเอ่ยทิ้งท้าย แล้วรีบเดินจากไป
“จะรีบไปไหนกัน”สาวใช้ส่ายหัวพลางหัวเราะ
เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นยืน
“นายหญิงจะออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ”สาวใช้เอ่ยถาม
“นายหญิงต้องไปที่ตำหนักชิ่งอ๋อง” ปั้นฉินเดินออกมาแล้วให้
คำตอบ“ถ้าเช่นนั้น ข้าไปเป็นเพื่อนนายหญิงนะเจ้าคะ” สาวใช้รีบเอ่ย
ปั้น
ฉินยกมือห้ามไว้เสียก่อน
“ท่านพี่ ในเมื่อได้พักงานแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะพักผ่อนให้
เต็มที่ก่อนนะเจ้าคะ”สาวใช้หัวเราะ
“ข้าคงหมดประโยชน์แล้วละ ดูสิ ไม่มีใครต้องการข้าแล้ว”
สาวใช้ทำหน้าเฉาเรียกความสงสาร “สงสัยข้าคงต้องกลับไปที่เรือน
ของนายใหญ่แล้วสินะ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ก็กลับไปสิ”นางเอ่ย
สาวใช้รีบเอามือกุมหน้าอก
“นายหญิง หรือจะให้ข้ากอดเข่าร้องไห้อ้อนวอนท่าน”สาวใช้
เอ่ย
“ก็มากอดเข่าข้าสิ”เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สาวใช้หัวเราะชอบใจ
“แหม ข้าก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นเสียหน่อย นายหญิงนี่ยุง่ายเสียจริง
เลยนะเจ้าคะ ไม่ว่าใครจะมาทีเล่นทีจริง นายหญิงก็ดันเอาจริงกับเขาเสียหมด อย่างนายหญิงใครก็แตะต้องไม่ได้อยู่แล้ว ข้าคงไม่ไป
กอดเข่าอ้อนวอนท่านหรอก” สาวใช้เอ่ย พลางโบกมือ “ปั้นฉิน ถ้า
เจ้ากลับมาอย่าลืมเอาขนมเปี๊ยะกลับมาฝากข้าด้วยล่ะ”
ปั้น
ฉินยิ้มรับปาก จากนั้นจึงเดินออกไปกับแม่นางเฉิง
ใกล้ช่วงโพล้เพล้ ท่านชายฉินสิบสามที่กำลังเมาได้ที่นั้นกำลัง
พยุงตัวเองเดินเข้าบ้าน
“หายไปไหนมา”
ท่านชายโจวหกตะโกนถาม
“เจ้า มาได้อย่างไรกัน” ท่านชายฉินสิบสามรู้สึกประหลาดใจ
ท่านชายโจวหกไม่สนใจคำถามของเขา แล้วรีบเข้าไปคว้าที่
แขน
“ข้าขอดูรูปที่นางวาดให้เจ้าหน่อย เร็วเข้า”เขาเอ่ยพลางรีบก้าว
ฝีเท้าเข้าไปยังห้องเก็บหนังสือ
“เจ้ามาเพราะเรื่องรูปเนี่ยนะ” ท่านชายฉินสิบสามขมวดคิ้ว
ถาม“ก็ใช่นะสิ ใครใช้ให้เจ้าใส่กุญแจไว้ล่ะ ไม่เช่นนั้นข้าคงได้เอา
กลับบ้านไปแล้ว” ท่านชายโจวหกเอ่ยด้วยความไม่พอใจ
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะลั่น
“ก็เพราะมีคนอย่างเจ้า ข้าเลยต้องใส่กุญแจเอาไว้น่ะสิ” เขา
เอ่ยอย่างภาคภูมิใจเล็กๆ
เขาลากท่านชายฉินสิบสามให้เข้ามาในห้องเก็บหนังสือ
“ข้าขอพูดให้ชัดเจนนะ รูปนี้ดูได้เพียงแค่ครั้งเดียวต่อเดือน
เท่านั้น ข้ากลัวมันจะช้ำ เอา” ท่านชายฉินสิบสามยืนนิ่ง
ท่านชายโจวหกฮึดฮัด
“ทำอย่างกับเป็นของหายาก” เขาเอ่ย “เดี๋ยวข้าให้นางวาดใหม่
ก็ได้”
“เอาสิ เจ้าก็ไปให้นางวาดอีกสิ” ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ
จากนั้นจึงดันประตูให้เปิด แล้วจ้องไปที่ตาของคนตรงหน้า “เจ้านึก
หรือว่า ข้าจะเป็นเหมือนคนอื่นน่ะ”
โคมตะเกียงในห้องส่องแสงรำไร
“ช้าก่อน ช้าก่อน ไปหยิบเหล้ามาก่อนสิ”ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงดัง
“ถ้าไม่มีเหล้าคงขาดอรรถรสแย่”
“คนกินเหล้า อย่าให้เหล้ากินคน” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
“เปิดไฟ”
สิ้นเสียงของเขา ดวงไฟที่อยู่รอบกายค่อย ๆ สว่างขึ้น ปรากฏ
เป็นดอกโบตั๋นบานสะพรั่งทั้งสี่ทิศ
ท่านชายฉินสิบสามเอนกายนั่งลง พลางมองดูรูปวาดที่ค่อยๆ
ถูกกางออกมา เขายิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ
ไม่ว่าจะเอามาดูตอนไหน ก็ทำให้เขายิ้มได้ทุกครั้ง
นี่เป็นดอกโบตั๋นของเขา ของเขาแค่เพียงผู้เดียว
ดอกโบตั๋นที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆ เบ่งบาน…
เดี๋ยวก่อนนะ
ท่านชายฉินสิบสามดวงตาเบิกโพลง
ดอกโบตั๋น กลีบสีแดงระเรื่อ ซ้อนกันหลายชั้น
แสงที่สาดส่องไปยังภาพวาด ทำให้ดอกโบตั๋นดูมีชีวิตชีวา
ราวกับมีผีเสื้อกำลังบินอยู่รอบๆ ดอกไม้บุปผชาติงามสง่า บุษบางามสดศรี
แสงไฟในห้องสว่างขึ้น ฉินสินสามชายตามองไปยังม้วนรูปวาด
ที่ท่านชายโจวหกถือไว้
“นี่ของข้า” ท่านชายโจวหกเอ่ย พลางทำท่าอวดแล้วหัวเราะ
ชอบใจ “เจ้าคิดหรือว่า จะมีคนกล้าเทียบเคียงกับข้าได้”
ท่านชายฉินสิบสามอึ้งไปชั่วครู่ แล้วหัวเราะยกใหญ่
“เจ้าบ้า อุตส่าห์สร้างเหตุการณ์ตั้งมากมาย ก็เพื่อที่จะพูด
ประโยคนี้ออกมาสินะ!” เขาหัวเราะ พลางทุบเบาๆ เข้าให้ทีหนึ่ง ก่อน
จะหันไปชี้ภาพวาดของตนที่อยู่ด้านหลัง “ของข้าต่างหาก ที่
ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนด้วย”
“ของข้าต่างหากไม่เหมือนใคร” ท่านชายโจวหกเอ่ยแย้ง “ดอก
ไม้ดอกเดียว สวยกว่าร้อยๆ ดอกของเจ้าอีก”
ท่านชายฉินสิบสามมองเขา แล้วมองไปที่ภาพวาด
“เจ้าพูดผิดแล้ว” เขาหัวเราะ “นางต่างหาก ที่ไม่เหมือนใคร”
นางต่างหาก ที่ไม่เหมือนใคร
ท่านชายโจวหกรีบก้มดูรูปวาดของตนเองนั่นสินะ นางต่างหาก ที่ไม่เหมือนใคร
สักพักเหล้าหนึ่งโถก็ถูกดื่มหมดอย่างรวดเร็ว เมื่อได้เห็น
ท่านชายโจวหกที่กำลังนั่งเอนกายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ท่านชายฉินสิบ
สามก็อดหัวเราะตามไม่ได้
“ดูสิ นางดีกับเจ้าขนาดไหนกัน”เขาเอ่ย
“ของมันแน่อยู่แล้ว” ท่านชายโจวหกพยักหน้า จากนั้นก็
ส่ายหน้า “ไม่สิ ต้องพูดว่า ข้าดีกับนางขนาดไหนต่างหาก”
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ จากนั้นก็ยกถ้วยเหล้าขึ้นมาดื่ม
“วันนี้ข้าไปพบท่านชายเกามาแล้ว” จู่ๆ เขาก็โพล่งออกมา
ท่านชายเกางั้นรึ!
ท่านชายโจวหกรีบลุกขึ้นนั่งตัวตรง