พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 53 ถกเถียงคุยตำรา
ปั้นฉินนำกล่องอาหารขึ้นมาวาง ก่อนจะคำนับแล้วถอยออกไปนั่งคุกเข่าลงที่ด้านหลังของท่านชายโจวหก
“กินสิ คราวก่อนที่เจ้ากินที่เรือนข้านั้นก็คือสิ่งนี้” ท่านชายโจวหกกล่าว
ท่านชายฉินที่นั่งตรงข้ามยิ้มออกมา เขาเลิกแขนเสื้อขึ้นแล้วยื่นมือมาหักขนมทอดสีเหลืองทองในจานตรงหน้าแท่งหนึ่ง ก่อนจะใส่เข้าปากแล้วพยักหน้าด้วยความชื่นชม
“ไม่เลวเลย เยี่ยมจริงๆ ทำของแบบนี้เป็นได้เช่นไร” เขาไม่ได้สนใจท่านชายโจวหก แต่มองไปที่ปั้นฉินที่อยู่ข้างหลังแล้วเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไรเลยเจ้าค่ะ มีเพียงแค่แป้ง ผสมกับน้ำผึ้ง นวดดึงแล้วนำไปทอดเท่านั้นเจ้าค่ะ” ปั้นฉินก้มหน้ากล่าว
“แค่ของว่างเล็กน้อย ก็ต้องรีบร้อนจะกินเดี๋ยวนี้” ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ซังจื่อ อย่าให้ท่านพ่อเจ้าว่าเจ้าระเริงลุ่มหลงได้ล่ะ”
ท่านชายฉินหัวเราะ ส่ายหน้าพลางหักมากินอีกหนึ่งแท่ง
“แค่อาหารว่างอย่างนั้นหรือ ไม่มีอาหารใดที่เป็นเรื่องเล็กหรอกนะ” เขากล่าว “เพียงแค่เติมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย แล้วนวดมากขึ้นหน่อย ก็ไม่เหมือนอาหารที่เจ้าและข้าเคยกินกันแล้ว ทำไมเจ้ากับข้าถึงคิดไม่ได้เล่า”
“ข้าไม่ใช่แม่ครัวสักหน่อย” ท่านชายโจวหกกล่าวเยาะเย้ย
ท่านชายฉินส่ายหน้า
“ไม่ใช่” เขากล่าว “อยู่ที่ว่าใส่ใจหรือไม่ต่างหาก หากใส่ใจ แม้ว่าจะเที่ยวเล่นไปเรื่อยหรือนั่งนอนอยู่กับที่ ก็แต่ต่างจากผู้อื่นได้”
“ใส่ใจในสิ่งเหล่านั้นแล้วจะได้อะไร วิชานอกตำราทั้งนั้น” ท่านชายโจวหกยังคงเย้นหยัน
“หรือจะพูดอีกอย่างคือ เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ยังใส่ใจได้ถึงเพียงนี้ แสดงให้เห็นว่าข้างในของผู้นั้นต้องหลักแหลมยิ่งนัก” ท่านชายฉินเอ่ยพลางหัวเราะ “นอกตำราในตำรา ล้วนแต่เป็นตำราทั้งสิ้น รวมสิ่งเล็กๆ ให้เป็นสิ่งใหญ่ วิชานอกตำราก็ดูถูกมิได้ มีคำกล่าวที่ว่า ‘เห็นเพียงผิวเผินก็รู้ถึงแก่นแท้’ มิใช่หรือ”
ท่านชายโจวหกยกเหล้าขึ้นดื่มหมดแก้วแล้วผลักจานอาหารทอดที่วางอยู่ตรงหน้าไปทางท่านชายฉิน
“กิน กินเข้าไป ให้เจ้ากินทั้งหมดเลย รีบกิน อุดปากเจ้าเสีย” เขาตะโกนกล่าว “ข้ามันหาเรื่องใส่ตัว มาถกเกียงกับคนไม่มีเหตุผลอย่างเจ้า! ข้าพอจะรู้แล้วว่าทำไมนักบวชเจวี๋ยคงผู้นั้นเจอเจ้าแล้วเหมือนกับคนใบ้! เขายอมไม่เผยแพร่คำสอน ยังดีเสียกว่าหาเรื่องพระพุทธเจ้าที่พูดไม่หยุดอย่างเจ้า!”
ท่านชายฉินหัวเราะเสียงดังลั่น
“อะไรคือไม่มีเหตุผลกันเล่า นั่นเป็นเพราะพวกเจ้ารู้ทั้งรู้ว่าตนไม่มีเหตุผลมาสู้ได้ต่างหาก คนอย่างพวกเจ้าเห็นแต่ความผิดผู้อื่น ไม่เคยยอมรับความผิดของตน” เขายิ้มกล่าว
“หยุดเลย หยุดเลย หากเจ้ายังจะบ่นอยู่ ข้าจะไปแล้วนะ” ท่านชายโจวหกทำทีเป็นรำคาญแล้วตะโกนกล่าว
พูดจบก็หันไปมองปั้นฉิน
“ต้องโทษเจ้า ทำของว่างประสาอะไรกัน สร้างเรื่องยุ่งยากพวกนี้ขึ้นมา” เขากล่าว
นี่เป็นการหยอกล้อของท่านชาย เป็นเพราะให้ความสำคัญกับตนจึงทำตามใจชอบกับตนเช่นนี้ได้ ปั้นฉินหน้าตาดีใจก้มหน้าลง
“เจ้าค่ะ ข้าผิดเองเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางคำนับ
ท่านชายฉินก็ยิ้มพลางดื่มเหล้าไป
“ปั้นฉิน อาหารว่างนี้เรียกว่าอะไรหรือ” เขาเอ่ยถาม
ปั้นฉินก้มหน้าลง บทสนทนาในอดีตที่คล้ายกันนี้วนเวียนอยู่ในหู
“นายหญิง นี่เรียกอะไรหรือเจ้าคะ”
“ข้า ไม่รู้…”
เสียงนั้นยังคงอื้ออึง
“ข้า ไม่ทราบเจ้าค่ะ” นางกล่าว
ท่านชายฉินมองนาง
“ไม่รู้หรือ” เขาเอ่ยถาม รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
ท่านชายโจวหกรำคาญส่งเสียงเดาะลิ้น
“ก็แค่อาหารอย่างหนึ่ง จะมีชื่อมาจากไหนมากมายกันเล่า” เขากล่าว
นั่นสิ แต่ว่าเหตุใดสาวใช้ผู้นี้ถึงไม่พูดว่า ‘ไม่มีชื่อ’ แต่พูดว่า ‘ไม่รู้ชื่อ’ กันเล่า
ไม่รู้ก็แปลว่าอาหารจานนี้มีชื่อ ในเมื่อมีชื่อแสดงว่าก็ต้องมีเจ้าของ
เจ้าของอาหารจานนี้ ไม่ใช่สาวใช้ผู้นี้หรือ
แล้วเป็นใครกันล่ะ
ท่านชายฉินจะเปิดปากเอ่ยถาม ท่านชายโจวหกก็ขัดจังหวะเขา
“ข้ามาหาเจ้าเพื่อดื่มเหล้า ไม่ได้มาเพื่อคุยเรื่องอาหารถกเถียงเรื่องตำรา น่าเบื่อเสียจริง” ท่านชายโจวหกยกกาสาเกยื่นให้เขาแล้วเอ่ยอย่างรำคาญ
เปลี่ยนจาก ‘คุยเรื่องโคลงกลอน’ เป็น ‘คุยเรื่องอาหาร’ เหมาะสมยิ่งนัก!
ท่านชายฉินหัวเราะออกมา นี่ก็คือสาเหตุว่าเหตุใดชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งเป็นบัณฑิต อีกผู้หนึ่งซึ่งเป็นนักรบ คนหนึ่งขากะเผลก คนหนึ่งร่างกายแข็งแรงกำยำ คนสองคนที่แตกต่างกันจนไม่สามารถเป็นมิตรกันได้กันได้ในสายตาผู้อื่น กลับเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่เล็กจนโต
ในหยาบมีละเอียด ในความสง่างามมีความธรรมดา พูดคุยกันได้อย่างเปิดอก คบหาอย่างสบายใจ
ท่านชายฉินยกกาสาเกขึ้นเงยหน้าดื่ม
ท่านชายโจวหกปรบมือ
“อย่างนี้สิถึงจะถูก” เขายิ้มกล่าว
ดื่มเหล้าผลัดกันวนไปสามรอบ การดื่มวิธีนี้ทำให้ทั้งสองต่างเมามาย ความคึกคะนองจึงบังเกิดขึ้น ท่านชายโจวหกเสนอว่าให้ไปนอกเมืองขี่ม้าชมเขากัน ท่านชายฉินเดินไม่ได้เพราะอาการป่วย การขี่ม้าทำให้เขาได้สัมผัสถึงความสุขของการเดินทางอย่างอิสระได้ชั่วคราว ทำให้เขาชื่นชอบขี่ม้าเช่นกัน ทั้งสองตกลงกันเสร็จสรรพ จากนั้นจึงเรียกบ่าวแล้วรีบลงไปยังชั้นล่างเพื่อออกไปจากโรงเหล้า
ส่วนนั้นปั้นฉินได้รับอนุญาตให้ติดตามไปด้วยได้
“แต่ข้าขี่ม้าไม่เป็นนะเจ้าคะ” นางกล่าวด้วยความดีใจและกังวลเล็กน้อย
“กลัวอะไรเล่า ให้ท่านชายสอนเจ้าสิ” สาวใช้อีกคนกล่าวพลางหัวเราะคิกคัก
ปั้นฉินหน้าแดงก่ำ หยอกล้อกันกับสาวใช้ผู้นั้น
บนท้องถนนคนมากรถเยอะ หนุ่มน้อยหล่อเหลาและสาวใช้สะสวยอย่างพวกเขากลุ่มนี้จึงดึงดูดสายตาผู้คนเป็นอย่างมาก
รถม้าวิ่งอยู่ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกตะโกนโห่ร้อง ฝูงชนที่เบียดเสียดก็หลีกทางออกให้อย่างน่าประหลาด
“ผู้ใดกัน” ท่านชายโจวหกเมากรึ่มขมวดคิ้ว เขาถูกฝูงชนเบียดจนโอนเอนไปมา น่ารำคาญยิ่งนัก “ข้าจะรีบไปนอกเมือง อย่ามาทำข้าล่าช้านะ”
เขาบังคับม้าจะไปต่อ ท่านชายฉินในรถม้าข้างหน้ารีบเปิดม่านออกมาโบกมือให้เขา
“ธงขององค์ชายจิ้นอัน” เขากล่าว
อาการมึนเมาของท่านชายโจวหกหายไปในทันที เขาลงจากม้าแล้วหลบไปข้างทางท่ามกลางฝูงชน
ปั้นฉินถูกเบียดอยู่ข้างหลัง มองดูท่านชายหกที่อาจหาญและท่านชายฉินผู้ชาญฉลาดสง่างามมีท่าทีนบนอบเพียงนี้ ก็ตกใจเป็นอย่างมาก
ในสายตาของนางชายทั้งสองคนนี้เป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกแล้วกระมัง คนที่ทำให้พวกเขานบนอบได้ขนาดนี้คือผู้ใดกันนะ
“ขุนนางตำแหน่งใหญ่มากอย่างนั้นหรือ” นางอดไม่ได้ที่จะถามสาวใช้ข้างๆ ด้วยเสียงแผ่วเบา
สาวใช้จากบ้านนอกก็ยังคงเป็นสาวใช้บ้านนอกอยู่วันยังค่ำ
“เป็นองค์ชาย ก็คือพระญาติของฮ่องเต้น่ะ” สาวใช้เอ่ยเสียงเบา
ปั้นฉินเข้าใจในทันที เป็นราชนิกูลนี่เอง เป็นคนที่สูงศักดิ์ที่สุดในดินแดนนี้สินะ
ยามรถม้าขององค์ชายผ่านมาตรงหน้า ผู้คนที่ล้อมรอบอยู่ก็เบียดเสียดกันวุ่นวายไปหมดเพื่อแย่งกันดู
ได้พบราชนิกูลด้วย เมืองหลวงช่างเยี่ยมยอดเสียจริง ปั้นฉินตื่นเต้นไม่น้อยก่อนจะเขย่งเท้าดูเช่นกัน
ภาพที่เห็นคือรถม้าประดับตราที่ใช้ได้เฉพาะราชสำนักคันหนึ่ง มาพร้อมกับองครักษ์ท่าทางเคร่งขรึมดุดัน ยามรถม้าวิ่งผ่านก็พอจะมองเห็นคนนั่งหลังตรงอยู่หลังม่านที่ปิดอยู่
หากให้บรรยายจากด้านข้างแล้ว ภาพที่นางเห็นคือมวยผมสวมมงกุฏ ใบหน้าเคร่งขรึม และสันจมูกสูงโด่งลางๆ
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นปั้นฉินก็ไม่เห็นสิ่งใดอีกเลย
จะเห็นชัดได้อย่างไรกันเล่า เพราะมีม่านกั้นไว้อยู่
หลังจากที่รถม้าวิ่งออกไปไกลแล้ว ท้องถนนก็กลับมาคึกคักดังเดิม
ปั้นฉินและสาวใช้เดินเบียดออกไป รีบตามติดไปยังข้างรถม้าของท่านชายฉิน
“ดูเยอะๆ จะได้โชคดี” ท่านชายฉินกล่าว
ท่านชายโจวหกส่ายหน้าอยู่บนม้า
“โชคของหญิงสาว ชายอย่างเราจะไปดูด้วยทำไม” เขากล่าวแล้วยิ้มเล็กน้อย
องค์ชายจิ้นอันเป็นลูกชายคนโตของซิ่วอ๋อง เข้าวังพร้อมกับพระบิดาแต่อายุยังน้อย ครั้งหนึ่งหลังจากที่พระมเหสีอุ้มเขา เพียงไม่กี่วันพระมเหสีก็ตั้งครรภ์ ฮ่องเต้ที่มีทายาทยากและพระพันปีก็ดีใจใหญ่ ไม่นานพระมเหสีได้ให้กำเนิดองค์ชายแต่เสียดายที่สวรรคตในสามเดือน ปีต่อมาองค์ชายจิ้นอันเข้าเมืองหลวงอีกครั้ง พระสนมก็อุ้มเขาเล่นอีก จากนั้นไม่นานพระสนมก็ตั้งครรภ์อีกเช่นกัน พระพันปีและฮ่องเต้ดีใจยกใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาองค์ชายจิ้นอันจึงกลายเป็นตัวนำโชค และถูกเลี้ยงดูอยู่ในวังหลวงตั้งแต่อายุได้เพียงห้าขวบ จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมากว่าสิบปีแล้ว
หลังจากอายุได้สิบขวบ เขาก็ไม่สามารถอยู่กับเหล่าสนมที่คอยตามใจได้แล้ว แต่ก็ถูกยังเลี้ยงไว้ข้างกายพระพันปีเช่นเคย ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออย่างไร ทายาทของฮ่องเต้ก็ตามมาต่อๆ กัน จนถึงตอนนี้ก็มีแล้วกว่าสิบคน ถึงแม้ในนั้นจะมีองค์ชายเพียงสององค์เท่านั้น แต่สำหรับฮ่องเต้ที่ได้เป็นพระบิดาเมื่ออายุสี่สิบกว่าก็พอใจมากแล้ว
องค์ชายจิ้นอันได้รับความเอ็นดูเพราะเหตุนี้ ฉายาในกลุ่มสนมขุนนางคือเด็กน้อยประทานทายาท
เด็กน้อยหากได้รับฉายานี้ก็คงยิ้มอย่างดีใจ แต่สำหรับองค์ชายผู้หนึ่งที่ได้รับฉายานี้แล้วต้องถูกเลี้ยงดูอยู่วังหลวงตั้งแต่เล็กจนตอนนี้กลายเป็นหนุ่มแล้วนั้น ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักเท่าไหร่
แต่ก็ได้ยินมาว่าองค์ชายจิ้นอันใกล้จะถูกส่งกลับไปอยู่กับพระบิดาของเขาแล้ว
“จะว่าไปแล้วเขา…ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน” ท่านชายฉินกล่าวพึมพำ มองดูธงที่ลับตาออกไป
เรื่องของราชสำนักไม่พูดจะดีกว่า ไม่นานพวกเขาก็ออกจากประตูเมืองไป
ผ่านไปเพียงครู่โรงเหล้าที่ท่านชายโจวหกและท่านชายฉินไปดื่มนั้น ก็มีกลุ่มคนเจ็ดแปดคนพุ่งกระโจนเข้ามาอย่างอุกอาจ ทำเอาเสี่ยวเอ้อร์ในร้านพากันอกสั่นขวัญแขวน
“ท่านลูกค้า…” ทุกคนรีบมาถามไถ่
ชายที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ายกมือขึ้น
เถ้าแก่เจ้าของร้านตาไวรีบยื่นมือมารับเงินที่โยนมา
เจ้าหมอนี่ จ่ายหนักไม่เบา
“ท่านมีอะไรให้ช่วยอย่างนั้นหรือ” เถ้าแก่เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มในทันใด พลางมองผู้คนตรงหน้าในนั้นยังมีหญิงสาวที่สวมหมวกคลุมหน้าสองคนและเด็กหญิงอีกหนึ่งคน
“พวกข้าจะหาตามคนคนหนึ่ง” หญิงสาวที่สวมหมวกคลุมหน้าจูงเด็กหญิงออกมากระซิบกล่าว
เวลานี้ ณ เจียงโจว วัดเสวียนเมี่ยวตัดขาดกับโลกภายนอกที่อึแสนวุ่นวาย
“ปั้นฉิน”
เฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ใต้ต้นไม้พูดขึ้นแล้วยื่นมือออกมา
สาวใช้ส่งกิ่งไม้ที่พันด้วยผ้าเช็ดหน้ามาให้
เฉิงเจียวเหนียงรับมาแล้วนั่งลงบนเบาะรองนั่งอย่างช้าๆ สาวใช้มองดูอย่างประหม่า
พื้นดินที่เปียกชื้น ตัวหนังสือก็ปรากฏขึ้นตามกิ่งไม้ที่ขีดเขียน
ถึงแม้จะอ่านไม่ออกว่าเป็นตัวอะไร แต่สาวใช้ก็รู้ว่านี่เป็นตัวหนังสือ
“นายหญิง นายหญิงเจ้าคะ เขียนได้แล้ว เขียนได้แล้วเจ้าค่ะ” นางตะโกนออกมาอย่างอดไม่ได้
เฉิงเจียวเหนียงขีดตัวหนังสือขีดสุดท้ายอย่างมั่นคงก่อนที่มือจะเริ่มสั่นเทาอีกครั้ง นางถอนหายใจโล่งอก แต่เมื่อคิดอยากจะเขียนตัวที่สองนั้น มือก็กลับควบคุมไม่อยู่แล้ว สั่นเครือจนเขียนไม่เป็นตัว
เฉิงเจียวเหนียงนั่งตัวตรง ส่ายกิ่งไม้ในมือไปมา
“ไม่ไหว ไม่ไหว” นางกล่าว
“นายหญิง เขียนได้ตัวหนึ่งแล้ว ไม่เลวแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ก็เขียนสองตัวได้แล้ว” สาวใช้นั่งยองย่อตัวลงตรงหน้านาง จากนั้นจับเข่านางกล่าวอย่างดีใจ “ไม่รีบ ไม่รีบนะเจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มเล็กน้อย
“ข้าไม่รีบหรอก” นางกล่าว แล้วใช้กิ่งไม้ชี้ไปยังตัวหนังสือบนพื้น “ข้าบอกว่า ตัวหนังสือนี้ เขียนได้ ไม่ไหวเลย”
สาวใช้มองดูตัวหนังสือบนพื้นอีกครั้ง เป็นระเบียบเรียบร้อย แลดูสวยงาม
“สวยออกเจ้าค่ะ” นางกล่าว “เขียนดีกว่าที่ท่านชายทั้งหลายเขียนบนสมุดลอกลายอีกเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงใช้กิ่งไม้เคาะไหล่ของนาง เงยหน้าดูท้องฟ้า เสียดายที่อยากจะหัวเราะออกมาแต่สุดท้ายก็ไร้เสียง
นางค่อยๆ ละสายตามา
“นายหญิง นี่เป็นคำว่าอะไรเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถาม
“ไท่” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“ไท่หรือเจ้าคะ” สาวใช้พูดซ้ำอีกครั้ง แล้วเข้าใจในทันใด “ไท่ในไท่ผิงใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ดีจังเลยเจ้าค่ะ นายหญิงฝึกฝนเอาไว้นะเจ้าคะ ฝึกแล้วจะได้เขียนป้ายติดหน้าประตูกันเองเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวพลางปรบมือ “ไท่ผิง ไท่ผิง ชื่อดีจังเลยเจ้าค่ะ หมายความว่าอธิษฐานขอให้เกิดความสงบสุขหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ข้าชอบกินหมั่นโถวไท่ผิงต่างหาก”
………………………………………………………….