พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 530 พูดตามเนื้อผ้า
มิน่าเล่าเขามานั่งรอตั้งนานแล้วยังไม่กลับมาเสียที ถามบ่าว
ก็ได้คำตอบเพียงแค่ว่าไปเยี่ยมมิตรสหาย ที่แท้มิตรสหายที่ว่านั้นก็
คือท่านชายเกานี่เอง
ท่านชายฉินสิบสามเองก็เคยพูดไว้แล้วว่าจะพยายามหาทาง
ไปอธิบายเรื่องนี้กับท่านชายเกาเท่าที่ทำได้
ว่าไปแล้ว ตระกูลฉินกับตระกูลเกาก็เป็นตระกูลเชื้อพระวงศ์
ถึงแม้ทั้งสองตระกูลมิได้มีการไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้
มีความขัดแย้งอันใดต่อกัน
แม้เขาจะรู้ดีว่าท่านชายเกาคงไม่ปล่อยเฉิงเจียวเหนียงไปง่ายๆ
แต่อย่างน้อยถ้าทำให้เรื่องเบาลงได้บ้างคงดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยใ
“เจ้าพูดอะไรไปบ้าง เขาว่าอย่างไรบ้าง” ท่านชายโจวหกถาม
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ
“ข้าก็พูดตามเนื้อผ้า และดูเหมือนเขาเองก็เช่นกัน” เขาให้
คำตอบ… ย
ามโพล้เพล้ ณ หอเต๋อเซิ่ง บรรยากาศครึกครื้นเพิ่งจะเริ่มต้น
มีทั้งเสียงดนตรีเสียงหัวเราะดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งหอ
“ท่านพี่”
ประตูห้องของแม่นางจูถูกเปิดออก
นางโลมแต่งกายสละสลวยเดินเข้ามาในห้อง ตามมาด้วยชุนห
ลิงที่มีท่าทีร้อนรน
“แม่นางลู่ นายหญิงของข้ากำลังพักผ่อนอยู่นะเจ้าคะ” ชุนหลิง
เอ่ย
แต่นางโลมคนนั้นก็มิได้สนใจคำของชุนหลิง ยังคงจ้องมองไป
ที่แม่นางลู่ที่กำลังนั่งเอกเขนกอ่านหนังสือ
“ท่านพี่จะเข้านอนแล้วหรือ” นางเอ่ยถาม
จังหวะชีวิตของเหล่านางโลมจะไม่เหมือนคนทั่วไป กลางวัน
สวมชุดสบายๆ พอตกกลางคืนต้องแต่งกายสวยงาม แต่ในเวลานี้
แม่นางจูกลับยังคงสวมชุดนอนและปล่อยผมเผ้ารุงรัง เห็นได้ชัดว่า
วันนี้แม่นางจูไม่พร้อมที่จะออกไปรับแขกเมื่อได้ยินคำถามของรุ่นน้อง นางจึงขานรับ
“ดีจังเลยนะท่านพี่ ช่างสบายเสียจริง” นางโลมผู้นั้นหัวเราะ
“ไม่เหมือนกับพวกเรา ยังต้องออกไปทำมาหากินต้อนรับแขก”
แม่นางจูก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ หาได้สนใจคำพูดนางไม่
“แม่นางลู่เจ้าคะ ยังไม่รีบไปรับแขกอีกหรือ ข้าเห็นขุนนางหวัง
กำลังถูกคนอื่นแย่งไปแล้วนะเจ้าคะ”ชุนหลิงเอ่ย
นางโลมเหลือบมองด้วยหางตา
“ท่านพี่ ฉินของข้าใช้การไม่ได้แล้ว เลยอยากจะมาขอยืมของ
ท่านพี่เสียหน่อย เพราะอย่างไรช่วงนี้ท่านพี่ก็คงมิได้ใช้งาน” นางเอ่ย
“นายหญิงใหญ่ก็ไม่ได้ขาดคนบรรเลงเพลงนี่นา…” ชุนหลิง
เอ่ยอย่างไม่พอใจ
ยังมิทันเอ่ยจบ ก็ถูกแม่นางจูพูดตัดบทเสียก่อน
“เจ้าเอาไปใช้สิ ”แม่นางจูวางหนังสือลง แล้วยิ้มให้
“แต่ท่านพี่ นั่นมันแพงมากเลยนะเจ้าคะ” ชุนหลิงรีบค้าน
“แพงงั้นรึ ของราคาแพงก็จริง แต่ถ้ามิได้เอาออกมาใช้แล้ว
จะมีความหมายอันใด” แม่นางจูเอ่ย “แม่นางลู่เป็นคนมีฝีมือ นางคงไม่ทำให้ฉินของข้าต้องผิดหวังหรอก”
แม่นางลู่ทำหน้าดีใจ รีบเข้าไปหยิบฉินแล้วคำนับขอบคุณ
“ท่านพี่ช่างปากหวานเสียจริง ไม่แปลกเลยที่ได้รับความชื่นชม
ทั้ง
จากท่านชายเกาและท่านชายเฉิง” แม่นางลู่หัวเราะ
“แม่นางลู่เจ้าคะ แต่ถ้าแม่นางไม่ใช่คนปากหวาน ก็มิต้องเอ่ย
คำพูดอันใดออกมาหรอกเจ้าค่ะ เผื่อจะได้รับความชื่นชมจากใครเขา
บ้าง” ชุนหลิงแย้งขึ้น
แม่นางลู่รีบหันไปแขวะชุนหลิง
“แหม เป็นแค่สาวใช้ตัวเล็กๆ แต่ปากคอเราะร้ายเสียจริง”
“ท่านเองก็มิใช่นายของข้า เหตุใดข้าต้องพูดดีกับท่านด้วย” ชุน
หลิงเอ่ยอย่างขุ่นเคือง
“ชุนหลิง” แม่นางจูเอ่ยปราม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชุนหลิงจึงรีบเดินถอยออกไป
แม่นางลู่เองก็ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับสาวใช้ จากนั้นก็อุ้มฉิน
แล้วรีบเดินออกไป
“ท่านพี่…” ชุนหลิงก้าวเข้ามาหานาง“เจ้าเองก็ไปพักเถิด ข้าอ่านหนังสืออีกสักพักแล้วเดี๋ยวก็
เข้านอนแล้วล่ะ” แม่นางจูเอ่ย
ชุนหลิงขานรับจากนั้นก็เดินออกไป
ในห้องกลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง แม่นางจูบรรจงอ่านหนังสือ
อย่างช้าๆ และตั้งใจ นางมิได้มีช่วงเวลาว่างแบบนี้มานานแค่ไหนกัน
แล้ว ราวกับว่าได้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนกับตอนเด็กอีกครั้ง ตอนที่ได้
อยู่กับท่านพ่อ
บุรุษอ่านหนังสือเพื่อการงาน ส่วนสตรีอ่านหนังสือเพื่อตัวเอง
ตัวนางเองมิได้มีเวลาให้กับการอ่านมากพอ เพราะตั้งแต่ที่
มีเรื่องเกิดขึ้นกับตระกูล จนนางจับพลัดจับผลูได้มาอยู่ในหอนางโลม
ต้องอุทิศตนเพื่อให้ความสุขแก่ผู้ชาย
แต่จะว่าไป คิดอย่างนี้ก็ไม่ถูก
อุทิศตนเพื่อผู้ชาย ก็เพื่อเลี้ยงตัวเองมิใช่หรืออย่างไร
ห้องอันเงียบสงัดนี้ทำให้รู้สึกราวกับว่าช่วงเวลาต่างๆ ได้ถูก
หยุดชะงักไว้ แต่ทันใดนั้นเอง เสียงปึงปังจากด้านนอกเหมือนเสียง
ฝีเท้าก็ดังขึ้น“แม่นางลู่เจ้าคะ ท่านพี่หลับแล้วนะเจ้าคะ…” เสียงตะโกนของ
ชุนหลิงลอยเข้ามาในห้อง
“หลับอะไรอีกล่ะ เจอเรื่องแบบนี้จะหลับลงได้อย่างไรกันเล่า”
เสียงของแม่นางลู่ดังขึ้น จากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก
แม่นางลู่เดินปรี่เข้ายังในห้อง ดูเหมือนว่านางกำลังเมาได้ที่
“ท่านพี่ แย่แล้ว” นางเอ่ยอย่างร้อนรน
แม่นางจูจ้องหน้านาง
“เมื่อครู่ข้าได้ยินจากขุนนางหวัง ว่ามีคนไปหาขุนนางเกา แล้ว
บอกว่าท่านพี่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องวันนั้นขึ้น”นางรีบรายงาน
แม่นางจูหัวเราะ
“ก็ข้าเองนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุ” นางเอ่ย
“คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้” แม่นางลู่นั่งลง มองไปยังนอกประตู
แล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านชายสิบสามของตระกูลฉินเป็นคนเอ่ยปาก
เองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแผนของท่านพี่ เพราะท่านพี่อยากสลัด
ขุนนางเกาออก เลยยืมมือตระกูลเฉิง ส่วนท่านชายสี่ของตระกูล
เฉิงเดิมทีก็ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไร เป็นเพราะว่าท่านพี่เรียกเขาให้เข้าไปหาในวันนั้น เลยกลายเป็นว่าท่านพี่จงใจทำให้ทั้งสองตระกูลต้อง
ทะเลาะกัน”
พอนางได้ยินชื่อของท่านชายฉินสิบสาม ก็หูผึ่งนั่งตัวตรงตั้งใจ
ฟังในทันใด แต่พอหลังจากนั้น ก็รู้สึกเพียงแค่ว่าในหัวนั้นอื้ออึงไป
หมด
แม่นางลู่เอ่ยอะไรต่อนางเริ่มจะฟังไม่ได้ศัพท์แล้ว
“…ท่านพี่ ระวังตัวด้วยล่ะช่วงนี้…”
“…กลายเป็นว่าท่านพี่ไปมีเรื่องกับคนทั้งสองตระกูลไปได้…”
“…ข้าขอตัวก่อนล่ะ ข้ากำลังรับแขกอยู่ แต่ข้าอดใจรอไม่ไหว
เลยรีบแอบมาบอกท่านพี่…”
“ท่านพี่ ท่านพี่”
จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาเขย่าตัวนาง แขนของนางถูกบีบจนเจ็บไปหมด
แต่อย่างน้อยก็ทำให้นางได้สติกลับมา เป็นชุนหลิงนั่นเองที่เขา
มาเรียกนาง
“ท่านพี่ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ชุนหลิงเอ่ยถามอย่างกังวล
แม่นางจูส่ายหัว“เขาผู้นั้น เป็นคนบอกว่า ข้าเป็นคนก่อเรื่อง…” นางพึมพำ
น้ำตาเริ่มคลอเบ้า
“ท่านพี่ ท่านพี่” ชุนหลิงน้ำตาไหลเร็วกว่านาง “เป็นความผิด
ของข้าเองทั้งหมด เดี๋ยวข้าจะไปอธิบายให้ท่านชายฉินได้เข้าใจเอง”
ชุนหลิงลุกขึ้นยืน แต่ถูกแม่นางจูห้ามไว้
“เจ้าจะไปอธิบายอะไรอีก! เขาพูดถูกแล้วล่ะ เรื่องทั้งหมดเป็น
ความผิดของข้าเอง” นางเอ่ย
“ท่านพี่!” ชุนหลิงคุกเข่าอ้อนวอน “ท่านพี่ ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
พี่ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสียหน่อย เขาเอ่ยเช่นนั้นออกมาได้อย่างไรกัน!
เขาพูดถึงท่านพี่เช่นได้ยังไง! เพื่อปกป้องแม่นางเฉิงคนนั้น ถึงกับต้อง
ใส่ร้ายท่านพี่เชียวรึ! เขาไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง!”
เพื่อแม่นางเฉิงคนนั้นสินะ…
แม่นางจูยิ้ม
“ที่เขาพูดเช่นนั้นก็สมควรแล้ว” นางเอ่ย “เขาควรพูดเช่นนั้น
ถึงจะถูกต้อง ใครๆ ก็ต้องปกป้องคนที่ตัวเองเป็นห่วงสิถึงจะถูก ต้อง
คิดหาวิธีที่ช่วยนางและปกป้องนาง…”“แต่เขาก็ไม่ควรใส่ร้ายท่านพี่นะเจ้าคะ!” ชุนหลิงร้องไห้ “ท่าน
พี่มีใจให้เขา ก็เพราะเขามิใช่หรือ ท่านพี่ถึงต้องมา…”
“หุบปาก!”
แม่นางจูกรีดร้องเสียงแหลม
ชุนหลิงตกใจจนตัวสั่นขวัญผวา ไม่กล้าร้องไห้
แม่นางจูเองก็ตกใจกับเสียงของตนเมื่อครู่
เสียงแสบแก้วหูน่ารำคาญเช่นนี้ เสียงที่ดังราวกับนกจาบฝน
เสียงที่น่ารังเกียจนี้…
เป็นเพราะว่าไม่อยากหวนกลับไปคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วงั้น
หรือ
นางมิได้ปฏิเสธขุนนางเกาก็เพื่อเขาคนนั้น ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่
แน่นอน!
แม่นางจูกำชายเสื้อแน่น พลางส่ายหัวอย่างแรงคงเป็นวิธีเดียว
ที่จะสลัดความคิดในหัวทิ้ง
“เขาไม่ได้ผิดอะไร นี่แหละคือความจริงใจของเขา”“แต่ว่า หอเต๋อเซิ่งแห่งนี้หาได้มีความจริงใจไม่ ข้าเองก็ไม่ได้มี
ใจให้ใคร ทีหลังอย่าพูดอะไรแบบนี้ออกมาอีก”
ชุนหลิงน้ำตาไหลพรากพลางมองหน้านาง
“ท่านพี่”
“คำพูดและการกระทำเช่นนี้ ทำคนเจ็บมานักต่อนักแล้ว ยัง
ไม่พออีกเหรอ” แม่นางจูเอ่ย
ชุนหลิงขานรับ พลางก้มหัวลงพื้น
“ท่านพี่ อย่าเสียใจไป” ชุนหลิงเอ่ยเสียงสะอื้น
ไม่เสียใจ ข้าไม่เสียใจ
แม่นางจูถือหนังสือในมือ จากนั้นมองไปยังกระจก
ข้าจะต้องผ่านมันไปให้ได้ และผ่านไปได้ด้วยดี
… เ
สียงเพล้งดังขึ้นอีกครั้ง ท่านชายเกาเขวี้ยงถ้วยทองลงบนพื้น
เหล่าคนใช้ต่างพากันช่วยเก็บ
“ออกไปเดี๋ยวนี้!”คนใช้ทั้งสองเมื่อได้ยินเขาก็ตกใจจนตัวแข็งทื่อแล้วรีบถอยออก
ไป
ช่วงนี้ท่านชายเกาเอาแต่อุดอู้อยู่ในบ้านไม่ออกไปไหนราวกับ
สัตว์จำ ศีล จนอารมณ์ของเขานับวันยิ่งแปรปรวน มีสาวใช้ถูก
ทำร้ายร่างกายจนลุกขึ้นยืนไม่ไหว คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนัก คนที่
หมุนเวียนเข้ามาดูแลต่างก็เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะเอาชีวิตไม่รอด
“ท่านชายสิบสี่ ข้าว่าท่านชายฉินสิบสามพูดถูก” ชิงเค่อเอ่ย
“เรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล”
“ไม่ชอบมาพากลงั้นรึ” ท่านชายเกาพูดเย้ย “ก็นั่นน่ะสิ แต่แล้ว
อย่างไรเล่า”
ชิงเค่อไม่เข้าใจ
“ท่านชายสิบสี่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราเองก็ควรอยู่นิ่งๆ ไว้
ก่อนดีกว่าที่จะไปตกเป็นเป้าของใคร ถ้ายังจะผูกแค้นกันต่อเกรงว่า
คงจะมีคนได้ผลประโยชนจากเรื่องนี้แน่นอน” เขาเอ่ย “นายท่านเอง
ก็กำชับไว้แล้วว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ต้องมาจับผิดแม่นางเฉิง แต่มีเรื่งที่
สำ คัญกว่านั้น นั่นก็คือ องค์ชายลี่…”“เรื่ององค์ชายลี่มีอะไรต้องกังวลงั้นหรือ” ท่านชายเกา
ถามอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วไหม ถ้าไม่
แต่งตั้งผิงอ๋อง ให้แต่งตั้งเจ้าบ้านั่นรึไง”
“ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็ควรต้องรอบคอบไว้ก่อน” ชิงเค่อหัวเราะ
พลางเอ่ย
“ถ้าให้รอบคอบ ข้าขอไปรอบคอบกับเรื่องตระกูลเฉิงดีกว่า”
ท่านชายเกาแสยะหัวเราะ “ท่านชายฉินสิบสามพูดถูก ข้าเองก็รู้ ว่า
ครั้งนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่นอน แต่พวกตระกูลเฉิงเองก็สวะ
เหมือนกัน”
“ในเมื่อนางเองก็น่าจะรู้ว่ากำลังถูกแกล้ง เหตุใดถึงไม่ก้มหัว
ยอมให้จบเรื่องไปซะตั้งแต่แรก”
“อย่าเพิ่งทึกทักไปเอง ปล่อยให้เรื่องนี้ซาไปก่อน ไม่เช่นนั้นอาจ
มีคนไม่ประสงค์ดีฉวยโอกาสนี้ลอบทำร้ายพวกเราได้”
“แล้วถ้าให้นางก้มหัวยอมรับผิด นั่นไม่เรียกว่าไร้สาระกว่าเดิม
รึ เหตุใดมีแต่ข้าคนเดียวที่กลายเป็นตัวตลกไปได้ ร้ายนัก ไม่ได้
มีความเคารพต่อตระกูลข้าเสียเลย”ท่านชายเกาตอนนี้ถ้าให้เทียบก็คงเหมือนกับสุนัขบ้าที่
กัดไม่ปล่อย และคงเป็นแบบนี้ไปอีกนาน จากนั้นเขาก็ยกถ้วยชา
มาเขวี้ยงต่อ
“ช่างน่ารังเกียจเสียจริง!”
“ช่างน่ารังเกียจเสียจริง!”
ขณะเดียวกันนั้นเอง นายรองเฉิงก็ทุบโต๊ะดังปึง ตรงหน้ามีถ้วย
น้ำชาใบงามวางอยู่เกลื่อน แต่มิกล้าที่จะโยนลงพื้น
เพราะนั่นมันก็คือเงิน บัดนี้การเงินในบ้านเริ่มตึงเครียดจน
แทบจะไม่มีเงินซื้อข้าวกินอยู่แล้ว ต้องประทังวันต่อวันไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะถึงช่วงปลายเดือนต้นเดือนที่ได้กำไรจากร้าน
“นายท่าน ท่านชายเกามิยอมให้เข้าพบหรือ” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
ถาม
นายรองเฉิงถอนหายใจ
“ข้าทำเรื่องขอเข้าพบไปตั้งหลายหน แถมยังฝากคนรู้จักให้
ช่วยอีกแรง แต่สุดท้ายก็…” เขาส่ายหัว แล้วตบโต๊ะ “ทั้งหมดเป็น
เพราะเจ้าสี่กับนางบ้านั่นแท้ๆ !”พอเอ่ยถึงตรงนี้เขาก็ลุกขึ้นพรวด
“นางบ้านั่นยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่ในเรือนของพวกตระกูล
โจว ส่วนเจ้าสี่ยังเก็บตัวอยู่ในเรือนเพื่อรักษาแผล กลายเป็นว่าเรื่อง
ทั้ง
หมดข้าต้องมาแบกไว้อยู่คนเดียว!”
เขาก่นด่ายกใหญ่
“ข้าจะไปทำเรื่องถอดยศเจ้านั่น จะได้ไม่ต้องมีคนมามองว่าข้า
มีส่วนรู้เห็นด้วย”
พอสิ้นประโยค จู่ๆ มีเสียงสบถดังมาจากด้านนอก
“สารเลวนัก! ยังมีหน้ามาถอดยศข้าอีกงั้นรึ!”
ทั้ง
นายรองเฉิงและฮูหยินรองเฉิงต่างก็ตกตะลึง
“เหตุใดเสียงนั้นคล้ายกับเสียงของพี่ใหญ่กันล่ะ” นายรอง
เฉิงพูดขึ้น
ฮูหยินมองไปทางนอกประตู
“ไม่ใช่คล้ายแล้วล่ะ เป็นพี่ใหญ่มาจริงๆ !” นางเอ่ยอย่างตกใจ
นายใหญ่เฉิงสวมชุดคลุม เดินถือไม้เท้าเข้ามาในห้อง เสียงของ
ไม้เท้าที่กระทบพื้นดังเสียจนกระแทกเข้าไปในโสตประสาทของนายรองเฉิง
“เจ้านี่มันใช้ไม่ได้ ยังจะมีหน้ามากลั่นแกล้งลูกหลานอีก หัดตัก
น้ำใส่กะโหลกแล้วชะโงกดูเงาตัวเองเสีย!”
“เจ้าบ้าเอ๋ย ถ้าจะฟ้อง ก็ฟ้องเจ้านี่แหละที่ยักยอกเงินในตระกูล
น่ะ!”