พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 531 กล้าดีอย่างไร
เพื่อจะมัดตัวนายรองเฉิง นายใหญ่โจวจึงได้ส่งคนมาสั
งเกตการณ์ที่เรือนตระกูลเฉิงไว้แต่แรก จึงได้ทราบข่าวการมาถึงของ
นายใหญ่เฉิง
“นายใหญ่เฉิงเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วรึ”
เขารู้สึกมึนงงเล็กน้อยเมื่อได้ยินข่าว
“มาเพราะเหตุใด”
“จะเรื่องอะไรอีกเล่า ก็เรื่องเงินของเจียวเหนียงไงเล่า” ฮูหยิน
โจวเอ่ย “สินทรัพย์ตั้งมากมายดันไปตกอยู่ในมือของสองสามีภรรยา
บ้านรอง จะวางใจได้เช่นไรกัน”
นายใหญ่โจวพยักหน้า
นั่นสินะ จะวางใจได้เช่นไรกัน
แต่จะว่าไป ก็ไม่ถูก
“ยังจะกล้าฮุบไปอีกงั้นหรือ” เขาขมวดคิ้วสงสัย “เงินสินเดิมที่
ได้ไปยังไม่พออีกรึ”“ท่านพี่ใหญ่ มาได้อย่างไรกัน”
นายรองเฉิงยังคงตกใจกับการมาเยือนของนายใหญ่เฉิง
ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบ ฮูหยินรองเฉิงรีบแค่นหัวเราะขึ้นมาเสีย
ก่อน
“ยังมีหน้ามาถามอีกหรือ แมวต้องตามกลิ่นปลามาอยู่แล้วไหม
” นางเอ่ย
นายใหญ่เฉิงถุยน้ำลายใส่หน้านาง
“นางบ้า! เรือนนี้ไม่ต้อนรับคนอย่างเจ้า ข้าให้คนเตรียมหนังสือ
หย่าไว้แล้ว เจ้าเตรียมไสหัวออกไปจากที่นี่ได้เลย” เขาเอ่ย
นายใหญ่เฉิงแต่ไหนแต่ไรเป็นคนจิตใจดีกับทุกคน ทำหน้าที่
เสมือนบิดาของตระกูลที่คอยดูแลน้องๆ จะมีก็แต่เข้มงวดกับนาย
รองเฉิง ส่วนฮูหยินรองเฉิง เขาคอยระแวงนางอยู่ตลอด แต่ก็ไม่เคย
ด่าทอนางต่อหน้าเช่นเมื่อครู่นี้มาก่อน
ฮูหยินรองเฉิงเริ่มทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งแต่พอระลึกได้ว่า
ตัวเองถูกด่าว่าอะไรนั้น ก็รู้สึกอับอายขึ้นมา“ให้ตายสิ มีแต่คนคอยรังแกข้า พอได้หนีมาอยู่เมืองหลวง ก็
มิวายยังถูกกลั่นแกล้งอีก” นางร้องไห้ “ในเมื่อท่านกล้าไล่ข้า ข้า
จะไปผูกคอตายตรงหน้าเรือนมันนี่แหละ!”
นายใหญ่เฉิงหน้าเขียว
“ก็ไปสิ!” เขาชี้มือไปทางด้านนอก
ฮูหยินเฉิงร้องไห้หนักกว่าเดิม นายรองเฉิงต้องมาคอยปลอบ
นาง แต่ก็ต้องต่อปากต่อคำกับพี่ชายของตนด้วย มีแต่เรื่องน่า
ปวดหัว
“ท่านพี่ใหญ่ สรุปแล้วลมอะไรหอบท่านพี่มาถึงเมืองหลวงกัน
เล่า!”
“ลมอะไรหอบมางั้นรึ เจ้ารู้ตัวไหมว่าฮูหยินนางนี้ปั่นหัวเจ้า
แค่นี้ยังไม่ชัดเจนอีกรึ” นายใหญ่เฉิงเอ่ยอย่างเยือกเย็น พลางหยิบ
หนังสือออกมากาง “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร”
หนังสือนั้นเป็นหนังสือร่างของร้านเรือนนางฟ้ารวมถึงร้านรวง
ต่างๆ“ท่านพี่ใหญ่ หมายความว่าอย่างไรกัน” เขาเอ่ยหน้านิ่ง “นี่เป็น
ของเจียวเหนียง”
“ก็ใช่น่ะสิ ข้ารู้ว่าเป็นของเจียวเหนียง แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น
กันแน่!” นายใหญ่เฉิงตะโกนถาม
“นางบ้านั่นเขียนชื่อของตนเองลง แต่ร้านนั้นท่านพี่กับข้าเป็น
ผู้ก่อตั้งขึ้นมานะ” นายรองเฉิงเอ่ย “สมบัติของบิดามารดา ถือเป็น
ของตระกูล มิใช่สมบัติส่วนตัว กฎหมายกล่าวไว้ สินทรัพย์ของ
ตระกูลมิอาจแบ่งแยกได้ นางอาจถูกกล่าวหาว่าเป็นคนอกตัญญูได้”
นายใหญ่เฉิงหัวเราะเย้นหยัน
“ไม่เลวนี่ เจ้ามีความรู้เรื่องสินทรัพย์ตระกูลด้วย แล้วเจ้ารู้
หรือไม่ว่าสินทรัพย์ตระกูล ไม่สามารถลงนามเป็นชื่ออื่นได้ นอกจาก
จะอกตัญญูแล้ว ยังต้องจำ คุกเป็นเวลาสามปีด้วย” เขาเอ่ย
“เจ้าบังอาจลงนามเป็นชื่อตระกูลเผิง เจ้าทำเช่นนี้แล้วจะให้ข้าวางใจ
ได้อย่างไร!”
นายรองเฉิงเริ่มหน้าซีด“วางใจอะไรเล่า” ฮูหยินรองเฉิงหยุดร้องไห้ แล้วสบถขึ้น “กล้า
ทำมาเป็นวางใจ ตอนนั้นท่านเองก็ฮุบเงินสินเดิมไปเสียหมด ไหนจะ
กิจการพวกนี้อีก”
นายใหญ่เฉิงยิ้มเชือดๆ
“ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าพวกเจ้ายอมรับแล้วสินะ”เขาเอ่ย
นายรองเฉิงนิ่งไปชั่วครู่ ส่วนฮูหยินเฉิงกลับรีบพยักหน้าเสีย
อย่างนั้น
“ใช่น่ะสิ พวกข้ายอมรับ” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็แค่
เป็นวิธีที่เอาไว้ตบตาก็เท่านั้น”
นางยิ้มไปพูดไป
“ท่านพี่ใหญ่ กลัวว่าคนนอกจะเอาเรื่องไปฟ้อง หรือว่าท่านพี่
จะเป็นคนไปฟ้องเองอย่างนั้นรึ”
“ท่านพี่ต้องเข้าใจด้วยนะว่านี่เป็นสินทรัพย์ของเจียวเจียวเขา
น่ะ”
นางเอ่ยย้ำชื่อของเฉิงเจียวเหนียง
“ของๆ นาง ท่านพี่อย่าหวังว่าจะได้ไปง่ายๆ ”ตอนนั้นที่ออกอุบายแต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ยังไม่สะใจพออีก
หรือ ฮูหยินเฉิงเอ่ยเตือนเขาด้วยความรู้สึกสะใจ
เป็นเรื่องจริงที่นางใช้ชื่อตัวเอง แต่เดิมที่นั่นก็เป็นชื่อของเฉิง
เจียวเหนียง เขาเองก็คงไม่กล้าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำ รอยหรอก
ที่พวกเขากล้าทำเช่นนี้ ก็เพราะว่านี่เป็นเรื่องภายใน ไม่มีทางที่
คนนอกจะเข้ามายุ่มย่ามได้
ทุกคนต่างรู้ดีว่ากิจการต่างๆ เป็นของแม่นางเฉิง นายใหญ่
เฉิงเคยเสียเปรียบมาแล้ว เขาคงเข็ดไปอีกนาน คงไม่เอาเรื่องนี้ไป
แจ้งความแน่นอน
อีกทั้งนางเองก็ทำทุกวิถีทางเพื่อมิให้มีช่องโหว่ให้ใครมาฟ้อง
ได้ ส่วนคนในเรือน ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอก แต่ก็ไม่มีใครกล้าค้าน ส่วน
แม่นางเฉิงก็อยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายอยู่แล้ว สินทรัพย์
พวกนี้อีกไม่นานก็ต้องตกเป็นของตน ไม่สิ ไม่ใช่อีกไม่นาน แต่เป็น
ตอนนี้ ตอนนี้สินทรัพย์ทั้งหลายก็ตกเป็นของตนแล้ว
เป็นของตนเท่านั้น! กิจการทำเงินเหล่านี้เป็นของตนแต่
เพียงผู้เดียว!“ท่านพี่ใหญ่ อุตส่าห์หอบร่างอันเปราะบางมายังเมืองหลวง
เพียงเพราะเรื่องนี้เท่านั้นน่ะหรือ” นายใหญ๋รองเฉิงหน้านิ่ง พลาง
ส่ายหัว “แทนที่จะห่วงเรื่องนี้ ข้าว่าท่านพี่ห่วงเรื่องเจ้าสี่ที่ไปก่อเรื่อง
ไว้เถิด ท่านมิต้องสนใจเรื่องของเจียวเหนียงกับพวกข้าหรอก”
นายใหญ่เฉิงหัวเราะ
“สายไปแล้ว” เขาเอ่ย “ก่อนที่ข้าจะมานี่ ข้าเอาเรื่องไปยื่นต่อ
ศาลแล้วเล่า”
… “
เขาเอาเรื่องไปยื่นต่อศาลแล้วหรือ”
นายใหญ่โจวถามด้วยความประหลาดใจ พลางทำหน้าเหมือน
ไม่อยากเชื่อ
“ใช่แล้วขอรับ ตอนขากลับข้าน้อยเลยลองแวะไปถามไถ่จากที่
ศาลมาด้วยขอรับ แล้วก็เป็นไปตามนั้น เรื่องถูกส่งไปเรียบร้อย ทาง
นั้น
เองก็กำลังวุ่นวายอยู่เลยขอรับ” บ่าวรับใช้รายงานเหตุการณ์
“เรือนตระกูลเฉิงเองก็เช่นกัน ตอนที่นายใหญ่เฉิงพูดว่ายื่นเรื่องไปแล้วนั้น ก็ทะเลาะวิวาทกันหนักเลยขอรับ… แม้แต่ฮูหยินรองเองก็
ร่วมวงด้วยขอรับ”
พอเอ่ยถึงเรื่องทะเลาะวิวาท บ่าวก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วสงสัย
“แต่เท่าที่ข้าน้อยเห็น นายใหญ่เฉิงรอบนี้พาคนติดตามมาน้อย
คน เลยอาจจะสู้ไม่ไหว เลยถูกฮูหยินรองเฉิงเอามือคว้าไปที่หน้า…”
ใครได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร สำ หรับนายใหญ่โจวแล้วไม่ได้
มีความสำ คัญเท่าใดนัก จะตีกันให้ตายไปข้างก็เรื่องของพวกเขา
แต่ที่นายใหญ่กล้าเอาเรื่องขนาดนี้ เป็นเพราะเหตุใดกันแน่ นี่
คือสิ่งที่นายใหญ่โจวคิดไม่ตก เขาครุ่นคิดพลางเอามือลูบหนวด
“เขาไม่กลัวแม่นางเฉิงเอาเรื่องอีกหรืออย่างไร ยังกล้ามาแย่ง
ชิงสินทรัพย์ของนางอีก”เขาพึมพำกับตนเอง
“นายท่าน ในเมื่อนายรองกล้าทำขนาดนั้น มีหรือนายใหญ่เฉิง
จะมิกล้าทำเช่นกัน ก็ร้ายทั้งพี่ทั้งน้องนั่นแหละขอรับ” บ่าวเบะปาก
พูด
เมื่อได้ยินดังนั้น นายใหญ่โจวจึงรีบผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง
“เจ้าลองพูดอีกครั้งซิ!” เขาตะโกนบ่าวตกใจจนตัวหด
พลางนึกว่าตนพูดอะไรผิดไปหรือไม่ เมื่อก่อนนี้คนในตระกูล
โจวก็นินทาตระกูลเฉิงกันสนุกปากนี่นา แถมถ้าบ่าวคนไหนด่าได้
เจ็บแสบถูกใจ นายท่านก็จะให้รางวัลตอบแทน
พอมาวันนี้ แค่เขาด่าว่าร้ายทั้งพี่ทั้งน้อง กลายเป็นว่านายท่าน
ดูร้อนรนแปลกๆ เสียอย่างนั้น
“ร้ายทั้งพี่ทั้งน้อง…” เขาเอ่ยตะกุกตะกัก
“ไม่ใช่ประโยคนี้ แต่เป็นประโยคก่อนหน้า” นายใหญ่โจวย้ำ
“ในเมื่อนายรองกล้าทำขนาดนั้น มีหรือนายใหญ่เฉิงจะมิกล้า
ทำเช่นกัน ประโยคนี้หรือขอรับนายท่าน” บ่าวรีบถามเพื่อความแน่ใจ
ทันใดนั้น นายใหญ่โจวก็รีบตบมือดัง
“ใช่ ใช่แล้ว เป็นเช่นนี้นั่นเอง!” เขาโพล่งขึ้นมา “นายรองฮุบ
มาก่อน นายใหญ่ก็เลยต้องมาฮุบต่อ เขาต้องการจะแย่งมาจากนาย
รอง มิได้แย่งมาจากแม่นางเฉิงแต่อย่างใด ไม่แน่นะ พอเขาแย่ง
มาได้แล้วก็อาจจะคืนให้เจียวเจียวก็เป็นได้!”
นายใหญ่โจวลุกขึ้นยืน ยิ่งรู้สึกว่าเหตุผลนี้เข้าท่า“ใช่แล้ว นายรองเฉิงเอาคำว่ากตัญญูมากดเจียวเจียวไว้ เลย
ฮุบร้านมาได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องในตระกูล ดังนั้นนายใหญ่เฉิงจึงมีสิทธิ์
ออกเสียงได้” เขาเอ่ย พลางตบมือตะโกนร้อง “นายใหญ่เฉิงนะ
นายใหญ่เฉิง ครั้งที่แล้วโดนเข้าไป เลยฉลาดขึ้นมาแล้วงั้นสิ จนข้า
เองยังนึกไม่ถึงเลยนะเนี่ย”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองนะขอรับท่าน” บ่าวเองก็เพิ่งจะเข้าใจ แต่ก็
ไม่ลืมที่จะอวยนายตนด้วย “แต่นายท่านฉลาดกว่าเขาอีกนะขอรับ
บัดนี้แม่นางเฉิงก็กินนอนสุขสบายดีในเรือนของพวกเรา”
นายใหญ่โจวพยักหน้า แต่ก็มีวูบหนึ่งที่รู้สึกมีบางอย่างไม่
ถูกต้อง เหตุใดคำยอของบ่าวถึงฟังดูพิลึก
“เอาละ เอาละ ไม่ต้องพูดพร่ำต่อแล้ว รีบส่งคนไปเรือนตระกูล
เฉิงเร็ว” เขาเอ่ย จากนั้นจึงเรียกสาวใช้ให้เข้ามาเปลี่ยนชุดให้
“นายใหญ่เฉิงอุตส่าห์มาถึงเมืองหลวง ในฐานะญาติก็ต้องเข้าไป
เยี่ยมเยียนเสียหน่อย”
และในตอนนั้นเอง ฮูหยินโจวก็เดินเข้ามาในห้องพอดี พอ
ได้ยินเข้าก็ตกใจยกใหญ่“นายท่าน เป็นอะไรหรือเปล่า” ฮูหยินโจวเอ่ยถาม
ไม่ว่าตระกูลนั้นจะไปมาหาสู่อะไรกันอย่างไร ทางฝั่งนี้ไม่เคย
เข้าไปยุ่มย่ามอยู่แล้ว ไม่ได้ไปหาเรื่องก็บุญหัวแค่ไหนแล้ว
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ถ้าไปถึงช้าก็น่าเสียดายน่ะสิ” นายใหญ่
โจวเอ่ย พลางรีบเดินออกนอกประตู “เร็วเข้า รีบขนคนไปเยอะๆ …”
โรงละครตระกูลเฉิงเปิดตัวอีกครั้ง นายใหญ่โจวจะพลาดได้
อย่างไร
ฮูหยินโจวเมื่อได้เห็นนายใหญ่โจวขนพรรคพวกไปเรือนตระกูล
เฉิงราวกับจะไปปล้นเรือนเขายังไงอย่างนั้น ก็เริ่มเหงื่อตก จากนั้น
จึงเรียกบ่าวเข้ามาถามไถ่เหตุการณ์ พอนางเข้าใจทุกอย่างแล้ว
จึงเบะปากบ่น
“ตอนนั้นข้ายังจำ ได้อยู่เลยว่าตระกูลเฉิงยกยอนายรองจะตาย
คาดไม่ถึงว่าบัดนี้เรือนแตกแล้ว ไม่ไว้หน้ากันแล้ว ถึงขั้นต้องขึ้นศาล
ตีกันเองเลยทีเดียว”ฮูหยินโจวพึมพำ
“กลิ่นเงินมันหอมนะเจ้าคะ” แม่นมเอ่ย
ฮูหยินส่ายหัวเพราะเงินอย่างนั้นรึ
บางครั้งเงินก็มิอาจเปลี่ยนใจคนได้ สมมติว่าให้แม่นางเฉิงเอา
สินทรัพย์ทั้งหมดมากองไว้ตรงหน้าแล้วยื่นให้ ก็คงจะไม่ปลื้มนัก
กลับกันคงจะรู้สึกตกตะลึงไม่น้อย
“ที่นายใหญ่เฉิงเป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะเงินหรอก” ฮูหยินเอ่ย
“แต่เป็นเพราะนางฮูหยินรองเฉิงนั่นแหละ”
ก็มีแต่ฮูหยินรองเฉิง ที่เอาแต่สถาปนาตนว่าเป็นบิดามารดาที่
แท้จริง ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วนางร้ายลึกแค่ไหนกัน
“แต่ว่าก็ไม่ต้องกังวลหรอก อีกไม่นานเดี๋ยวพวกเขาก็คงรู้เอง
”นางเอ่ย
พอนึกถึงฮูหยินรองเฉิง จิตใจของนางก็เริ่มไม่เป็นสุข ฮูหยินโจว
เลยพนมมือขึ้นมาสวดมนต์
“นาง…กำลังทำอะไรอยู่”ฮูหยินโจวเอ่ยถาม
ในเรือนนี้มีเพียงแค่แม่นางเฉิงเท่านั้นที่ฮูหยินโจวมิได้เอ่ยชื่อ
แต่ใช้คำว่า’นาง’แทน“กำลังรับแขกอยู่เจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ยตอบ “ท่านชายฉินสิบสาม
มาที่เรือนเจ้าค่ะ”
“ท่านชายฉินสิบสามเองเหรอ” ฮูหยินโจวเอ่ย “มีใจให้ขนาดนี้
ไม่รีบแต่งๆ ไปเลยเล่า”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ฮูหยินโจวพลันนึกถึงชายหนุ่มอีกคนนึงขึ้นมา
“แล้วท่านหกเล่า”
แม่นมหัวเราะ
“แน่นอนว่า ก็อยู่ด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”แม่นมเอ่ยตอบ
“ด้านนอกมีอะไรน่าคึกคักงั้นรึ”
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วสงสัย
“เห็นเขาว่ากันว่านายใหญ่ตระกูลเฉิงมายังเมืองหลวงแล้ว
นายท่านก็เลยเรียกพรรคพวกไปเยี่ยมน่ะขอรับ” บ่าวเอ่ย
นายใหญ่ตระกูลเฉิงมาเมืองหลวงงั้นรึ แถมยังพาคนไปเยี่ยม
แล้วเหตุใดไปเยี่ยมทีต้องยกพวกไปด้วย จะเอาคนไปตั้งมากมาย
ทำไมถ้ามิได้ไปตะลุมบอนใครถ้าเป็นคนนอกฟังแล้วอาจตกใจ แต่กับท่านชายหกแล้วนั้น
เขาคุ้นชินเป็นอย่างมาก
ปกติเวลาตระกูลโจวไปเยี่ยมเยียนตระกูลเฉิง ก็ต้องยกพวกไป
เยอะๆ เช่นนี้แหละ
เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำ เป็นต้องใส่ใจ แล้วท่านชายโจวหกก็
หันไปคุยกับท่านฉินสิบสามต่อ
“ข้าว่าเจ้าไม่ต้องไปต่อปากต่อคำกับท่านชายเกาแล้วเล่า
อย่างไรเสียเขาก็ไม่ฟังเจ้าหรอก” เขาเอ่ย “เขาคิดไปแล้วว่าตนเอง
เสียหน้า ได้รับความอัปยศ ถ้ามิได้ล้างแค้นคงไม่จบเรื่องง่ายๆ
เจ้ายิ่งไปพูดถึงเรื่องนั้น เขาก็ยิ่งได้ใจนะสิ”
ฉินสิบสามหัวเราะ
“ก็ไม่เสียหายนี่” เขาเอ่ย พลางมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง “อย่าง
น้อยก็ดีกว่าให้เขารู้ว่าแม่นางเฉิงกำลังได้ใจอยู่นะสิ”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มอ่อน
“ก็เหมือนๆ กันหมดนั่นแหละ”
อย่างไรก็เหมือนๆ กันหมด ช่างมันปะไรท่านชายฉินสิบสามส่ายหัว
“แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนหรอกนะ” เขาเอ่ย “นั่นพวกตระกูลเกาเลย
นะ”
พวกตระกูลเกาไม่เหมือนกับราชเลขานุการหลิว ไม่เหมือนกับ
เฝิงหลิน พวกนั้นเป็นแค่ระดับขุนนาง แต่นั่นคือตระกูลเกา ที่เป็นทั้ง
ขุนนางและเชื้อพระวงศ์ พวกเฝิงหลินนั่นเป็นแค่ระดับข้าราชสำ นัก
แต่ตระกูลเกานั้นถือเป็นญาติสนิทมิตรสหายของเหล่าราชวงศ์
อย่างไรเสียย่อมได้เปรียบกว่าทั้งแง่ความสัมพันธ์และ
ความใกล้ชิดกับคนใหญ่คนโต
ท่านชายโจวหกถอนหายใจ
“ก็เป็นเพราะพวกเขามีผิงอ๋องอยู่นั่นแหละ” เขาเอ่ย “ถ้า
ไม่มีผิงอ๋องสักคน พวกตระกูลเกาก็คงไม่จองหองขนาดนั้นหรอก”
ท่านชายฉินสิบสามกำลังจะแย้งต่อ แต่เฉิงเจียวเหนียงชิงเอ่ย
เสียก่อน
“ผิงอ๋องงั้นหรือ” นางเอยถามดูทรงแล้วเหมือนนางกำลังเอ่ยถาม แต่ขณะเดียวกันก็
ดูเหมือนแค่กำลังพูดทวนคำของท่านชายโจวหก เสียงของนางฟังดู
ราบเรียบก็จริง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ท่านชายฉินสิบสามถึงรู้สึก
วาบในใจอยู่ลึกๆ
ผิงอ๋องงั้นหรือ
เป็นเพราะพวกเขามีผิงอ๋องอยู่นั่นแหละ ถ้าไม่มีผิงอ๋องสักคน
พวกตระกูลเกาก็คงไม่จองหองขนาดนั้น อย่างนั้นรึ
เป็นเพราะผิงอ๋อง ตระกูลเกาเลยได้หน้าถึงขนาดนี้เชียวรึ
แล้วถ้าไม่มีผิงอ๋องเล่า