พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 532 คิดมาก
เขาถูกความคิดของตัวเองปลุกให้ตื่นขึ้น
เหตุใดเขาจึงคิดอะไรแบบนี้ออกมาได้นะ
เป็นเพราะใครก็ตามที่มีเรื่องกับนาง มักจะมีจุดจบที่ไม่ค่อย
สวยหรือเปล่านะ อย่างเช่นราชเลขาหลิวที่โลภอยากจะได้กิจการ
ของนาง สุดท้ายตนเองก็ต้องมาหมดตัวเอง
หรือเป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรก็ฉายเดี่ยวและเล่นบทโหดกับพวก
อริหรือเปล่านะ เช่นตอนสงครามตะวันตกเฉียงเหนือ แค่ทหาร
ตัวเล็กๆ แอบอ้างผลงานของพี่ชายทั้งเจ็ดของนาง ก็เลยอาละวาด
เสียจนป่วนทั้งเมืองและกำจัดพวกที่ก่อเรื่องไว้
ก็ถ้าไม่ใช่เพราะผิงอ๋อง พวกตระกูลเกาก็ไม่มีทางได้ทำตัว
จองหองขนาดนั้นหรอก
ถ้าไม่มีผิงอ๋องสักคน…
“…ส่วนของกุ้ยเฟย…กุ้ยเฟยสกุลเกา…”
เสียงนั้นค่อยๆ ลอยเข้ามาในหู“ไม่เกี่ยวกับผิงอ๋องหรอก” ท่านชายฉินสิบสามรีบโพล่ง เสียง
ของเขาแหลมสูง จนทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
เสียงเงียบนั้นทำให้ท่านชายฉินสิบสามเพิ่งรู้สึกตัวได้ว่า ทั้งสอง
คนกำลังมองมาที่เขา
“เจ้าว่าไงนะ” ท่านชายโจวหกขมวดคิ้ว “กุ้ยเฟยเป็นมารดา
ของผิงอ๋อง จะไม่เกี่ยวได้อย่างไรล่ะ”
ท่านชายฉินสิบสามยกถ้วยน้ำชาแล้วหัวเราะ
“ข้าหมายความว่า ฝ่าบาทค่อนข้างเข้มงวดกับราชนิกุล
พวกเขามิใช่ขุนนางราชสำ นักระดับสูง ดังนั้นอำนาจของพวกเขาก็
มิได้มีเยอะมากนัก” เขาเอ่ย
ท่านชาวโจวหกพยักหน้า แล้วพูดกับเฉิงเจียวเหนียง
“นี่แหละผิงอ๋อง รวมถึงความสัมพันธ์ของตระกูลเกา”เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” นางเอ่ย
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…
กะแล้วว่าคิดมากไปท่านฉินสิบสามยิ้ม
“ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว จะให้ท่านชายเกาลืมเรื่องที่เกิดขึ้น
คงเป็นไปไม่ได้ ข้าเองก็ไม่ได้คิดไปถึงเช่นนั้น เพียงแต่อยากให้หนัก
กลายเป็นเบา” เขาเอ่ย
“ขอบใจเจ้ามาก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามยิ้ม
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก”เขาเอ่ย
“ถ้าขอให้ทำมากกว่านั้น คงเรียกว่าเกรงใจแล้วล่ะ”ท่านชาย
โจวหกเอ่ยแย้ง
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะยกใหญ่
นายใหญ่เฉิงเดินเข้ามาในประตู เมื่อเห็นชายหนุ่มสองคนที่
หัวเราะเพิ่งเดินออกไป ทั้งรูปงามและกำยำ สมกับเป็นลูกหลานของ
คนเมืองหลวงจริงๆ
นายใหญ่เฉิงหรี่ตามอง ก็จำ ได้ว่าชายหนุ่มคนนั้นคือท่านชาย
โจวหก ส่วนชายหนุ่มอีกคนนั้น..นายใหญ่เฉิงพยายามเพ่ง สายตาของชายหนุ่มผู้นั้นกลับเลื่อน
มาสบตากับเขา ดวงตาคู่นั้นถึงแม้จะดูอ่อนโยนแต่ก็ยากจะหยั่งถึง
นายใหญ่เฉิงรีบเบือนหน้าหนี ทำทีเป็นกำลังจัดแจงชายเสื้อ
ของตน จากนั้นจึงยกแขนเสื้อขึ้นมาบดบังรอยบนใบหน้าที่เพิ่งถูก
ฮูหยินรองเฉิงกระทำ
เขามิอาจพบเจอใครในสภาพเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะกับคนที่แลดู
มีสกุลรุนชาติ
“ท่านชายฉินสิบสามจะกลับแล้วหรือ”
เบื้องหน้า เป็นเสียงเอ่ยถามของนายใหญ่โจวกับพ่อบ้าน จู่ๆ
นายใหญ่เฉิงพลันนึกอะไรขึ้นมาได้
ท่านชายสิบสามของตระกูลฉิน ตระกูลฉิน!
“ใช่ตระกูลฉินจากจวนองค์หญิงหรือไม่”เขาเอ่ยถาม
พลันนึกขึ้นได้ ตระกูลฉินที่เคยมาสู่ขอแม่นางเฉิงนี่เอง
นายใหญ่โจวทำหน้าทำตาภาคภูมิ
“ก็ใช่นะสิ”เขาเอ่ยตั้ง
แต่ที่เขาได้เจอกับนายใหญ่โจว เขาก็เอาแต่ทำสีหน้าท้า
ต่อยอยู่ตลอดเวลา เมื่อก่อนเวลาพวกตระกูลโจวเห็นหน้าเขา มักจะ
แสดงสีหน้ารังเกียจทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มองหน้ากันเลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่า ไม่ว่าจะท่าทีแบบไหน นายใหญ่เฉิงก็ไม่ชอบหมด
“ถ้าเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้มาเยือนที่เรือนเจ้าเพราะพวกเจ้าหรอก”
นายใหญ่เฉิงเย้ยหยัน
ประโยคเมื่อครู่ทำเอานายใหญ่โจวหน้าถอดสี ถึงแม้ในใจของ
อยากจะเถียงกลับ แต่ในเมื่อเรื่องนี้มีแม่นางเฉิงเกี่ยวพันด้วย เขา
จึงเลือกที่จะไม่ตอบโต้
นายใหญ่เฉิงทำท่าลำพองใจ อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองท่าที
ของเขา
ชายหนุ่มคนนั้นขึ้นรถม้า ไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกันอยู่กับท่านชาย
โจวหก แต่เขากำลังหัวเราะยกใหญ่ ดวงตาดูเปล่งประกาย
คนหนุ่มนี่นะ แม้แต่ฝันเขาก็ไม่กล้าฝัน ที่สำ คัญ เป็นวัยหนุ่ม
นี่แหละสนุกที่สุดแล้วเฉิงเจียวเหนียงที่ทราบเรื่องจากปั้นฉินแล้วว่านายใหญ่เฉิ
งมาที่นี่ มิได้มีท่าทีตกใจอะไร แต่ปั้นฉินกับสาวใช้กลับรู้สึกตกใจเมื่อ
ได้เห็นเงาของนายใหญ่เฉิงจากด้านนอก
“ขออภัยที่เสียมารยาท”
นายใหญ่เฉิงเอ่ยอย่างรู้สึกผิด พลางเอามือปิดหน้าแล้วทำที
เป็นจัดแจงผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง
“ไม่ต้องหรอก ถ้าไม่อยากเสียมารยาท เมื่อครู่นี้ก็ควรจะ
จัดการให้เรียบร้อยก่อนสิ” นายใหญ่โจวเอ่ย
อุตส่าห์ทำตัวน่าสงสาร เพื่อแสดงให้เห็นว่าทุ่มเทเพื่อทวงคืน
ความยุติธรรมให้กับนางงั้นรึ
ตาแก่ หัดทำเรื่องแบบนี้แล้วหรือนี่!
นายใหญ่เฉิงกระแอมขึ้น
“นายใหญ่โจว” เขาเรียก “ข้าอยากขอเข้าพบแม่นางเฉิงเพื่อ
คุยเรื่องในเรือนหน่อยน่ะ ท่านออกไปก่อนได้หรือไม่”
เขาเน้นย้ำคำว่าเรื่องในเรือน
ไม่ว่าอย่างไร เจียวเหนียงก็นามสกุลเฉิง มิได้นามสกุลโจวนายใหญ่โจวสบถในใจ
“ท่านจำ แซ่ของเจียวเหนียงได้ด้วยหรือ” เขาประชดพลาง
หัวเราะ
ทีคราวก่อนนู้นยังเคยด่าว่านางว่าเป็นปีศาจตระกูลโจวอยู่เลย
“นายใหญ่โจว ท่านเองก็รู้นี่ว่านางแซ่อะไร” นายใหญ่เฉิงเองก็
เอ่ยประชดเช่นกัน
พูดออกมาได้หน้าตาเฉย อย่างกับไม่เคยด่านางว่าเป็นปีศาจ
ตระกูลโจว
สาวใช้กระแอม
“นายใหญ่ทั้งสองท่านพูดคุยสนุกสนานเชียวนะเจ้าคะ” สาวใช้
เองก็ประชด
นายใหญ่โจวเดินออกไปอย่างเสียได้ไม่ ส่วนนายใหญ่เฉิงก็
กุลีกุจอจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผม
“เจียวเหนียง” เขาเอ่ยชื่อนาง
จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ทั้ง
ห้องเงียบลงทันใด นายใหญ่เฉิงโค้งคำนับให้นาง“ขอบใจเจ้ามากนะ เรื่องชายสี่น่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงคำนับตอบ
“นายใหญ่ก็พูดเกินไป เป็นเรื่องที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว” นางเอ่ย
นายใหญ่เฉิงถอนหายใจ
“เรื่องที่ต้องทำนั้นมีมากมาย แต่เรืองที่ทำได้จริงๆ นั้นมีกี่เรื่อง
กันเล่า” เขาเอ่ย จากนั้นก็โค้งคำนับอีกครั้ง “เจียวเหนียง เรื่อง
ก่อนหน้า ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย”
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ
“เรื่องที่ผ่านมาไม่เห็นมีอะไรเลย ก็เป็นไปอย่างที่ควรเป็น ไม่
ถึงกับต้องขอโทษหรอก” นางเอ่ย
ไม่ถึงกับต้องขออภัยอย่างนั้นรึ
นางคงพูดไปงั้นสินะ คำพูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าใครที่ไหนก็พูดออกมา
ได้ คำพูดเช่นนี้มักออกมาจากปากของพวกที่ได้รับชัยชนะแล้ว เป็น
คำพูดที่แสดงถึงการให้อภัยต่อผู้แพ้
นางคงรอคอยเวลาแบบนี้มาตลอดสินะ เวลาที่ให้คนอย่างเขา
มาก้มหัวให้นางภายในใจของนายใหญ่เฉิงเต็มไปด้วยความสับสนบอกไม่ถูก
ขณะเดียวกัน ที่เรือนตระกูลเฉิง ทั้งนายรองและฮูหยินรองเอง
ก็เต็มไปด้วยความสับสนเช่นกัน
“เจ็บ เจ็บ เจ็บ!”
เสียงตะโกนร้องของนายรองเฉิง เขาผลักมือของฮูหยินที่กำลัง
ประคบแผลบนหน้าของเขาออก
ฮูหยินรองเฉิงเองก็สูดปากร้องไปพร้อมๆ กับเขา
“โอ๊ย หัวข้า” นางเอามือป้องไปที่หัวของตนเอง
“ท่านพี่เป็นบ้าไปแล้ว!” นายรองเฉิงฉุนขาด “ดัน
มาทำร้ายร่างกายพวกเรา! ตีกันในบ้านยังไม่เท่าไหร่ ยังอุตส่าห์เรียก
พวกมาตีด้วยนี่สิ!”
“เขาไม่ได้บ้าหรอก” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย “แต่เขาอยากได้เงินจน
หน้าสั่นต่างหาก”
“อยากได้เงินจนหน้าสั่น แล้วไม่แหกตาดูหน่อยหรือว่ามันได้
ไหม” เขาเอ่ยอย่างไม่พอใจ
พอนึกขึ้นมา ฮูหยินเองก็โกรธจนลมจับ“ในเมื่ออยากจะมาแย่งสมบัตินัก” นางเอ่ย “เขานึกว่าที่นี่เป็น
เจียงโจวหรือไง คิดว่าตัวเองใหญ่โตจากไหน!”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็รีบสะดุ้งขึ้นนั่งตัวตรง
“พวกตระกูลโจว!” นางตะโกน
“พวกตระกูลโจวก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก!”นายรองสบถ แต่ก็ร้อง
ซี๊ดๆ ด้วยความเจ็บ พลางนวดไปที่แขน
แขนของเขาถูกนายใหญ่โจวตีเข้าให้
“…กล้าดียังไง มาลอบตีพี่น้องกันเอง! เนรคุณยิ่งนัก!”
เขาเองก็ไม่รู้ว่านายใหญ่โจวมายังไง จู่ๆ ก็เดินดุ่มเข้าประตู
มาแล้วก็ตะโกนประโยคเมื่อครู่
เห็นๆ กันอยู่ว่าตอนนั้นเขาถูกนายใหญ่เฉิงทำร้าย แล้วก็ไม่รู้
เหมือนกันว่านายใหญ่โจวตาบอดหรืออะไร ถึงได้มองว่าเขากำลัง
ลอบตีพี่น้องกันเอง จู่ๆ ก็เดินเข้ามาแจกหมัดให้เฉย
เขาคงใช้พละกำลังทั้งหมดที่สั่งสมมาปล่อยหมัดใส่เขาเสียจน
แทบจะลุกไม่ขึ้น“นายท่าน ที่แท้พี่ใหญ่ก็ไปคบค้าสมาคมกับพวกตระกูลโจว
แล้วงั้นสิ!” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
นายรองเฉิงนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจอะไร
บางอย่าง
“พวกไร้ยางอาย คราวก่อนก็รวมหัวกันฮุบเงินสินสอดไป
คราวนี้รวมตัวกันจะมาฮุบสมบัติของเจียวเหนียงไปอีก” เขาเอ่ย
“คราก่อนยังได้รับบทเรียนไม่พออีกรึ”
ฮูหยินรองเฉิงรีบลุกขึ้นยืนแล้วลากเขา
“นายท่าน เร็วเข้าสิ เมื่อครู่นายใหญ่โจวลากนายใหญ่เฉิงเดิน
ออกไปแล้ว ต้องไปหาเจียวเหนียงแน่เลย พวกเราเองก็รีบตามไป
เถอะ รีบไปคุยกับนางให้รู้เรื่อง! เร็วเข้าสิ เร็วเข้า!” พูดจบก็ลากดึงตัว
นายรองเฉิง
นายรองเฉิงรองโอดโอยด้วยความเจ็บ
“นางโง่! แขนข้า!”
… “ท
่านชายสิบสี่ขอรับ! ท่านชายสิบสี่ขอรับ!”ผู้ติดตามที่อยู่ด้านนอกวิ่งเข้ามาพลางทำหน้าดีใจ
ท่านชายเกาที่ดื่มจนเมาได้ที่ พอได้ยินเสียงตะโกนของ
ผู้ติดตาม ก็เขวี้ยงถ้วยเหล้าไปทางเขา
“เป็นบ้าอะไรเข้ามาหาข้าแล้วทำหน้าดีใจขนาดนั้น” เขาด่า
ผู้ติดตามที่โดนเขวี้ยงถ้วยเหล้าใส่ก็มิกล้าขยับตัวหนี รีบก้มหัว
ขอขมา
“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ ท่านชายสิบสี่ ที่ตำหนักได้ส่งคนมา
มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นขอรับ” เขาเอ่ย
“เรื่องใหญ่งั้นรึ มีเรื่องใหญ่อะไรไม่เห็นจะต้องมาถึงหูข้าเลย ก็
แค่เขียนจดหมายให้บิดาข้าไปเสียก็หมดเรื่อง” ท่านชายเกาเอ่ย
อย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ เป็นเรื่องของตระกูลเฉิงขอรับ” ผู้ติดตาม
รีบเอ่ย “ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในตระกูลนั้นขอรับ ลุงของเฉิงเจียว
เหนียงยื่นฟ้องบิดาของนางแล้วขอรับ!”
พี่น้องทะเลาะกันเองนับว่าเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่งนัก แถมยัง
เป็นคนมียศทั้งคู่ ปัญหาภายในยังจัดการเองไม่ได้ เดี๋ยวคงได้โดนสอบสวนเป็นแน่แท้
ท่านชายเกาลุกขึ้นนั่ง ฟังผู้ติดตามเล่าด้วยความตื่นเต้น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”เขาพยักหน้า
ที่แท้กิจการทั้งหมดนั่นก็เป็นของนาง มิน่าล่ะนางถึงกล้าใช้เงิน
สุรุ่ยสุร่ายขนาดนั้น
ที่แท้นางก็โดนกล่าวหาว่าฮุบสมบัติของครอบครัว แถมยังโดน
เรื่องครอบครองสินทรัพย์ในนามอื่นอีกด้วยสินะ
“ช่างเป็นคนเนรคุณเสียจริง ทำเป็นวัวลืมตีนไปได้” ท่านชาย
เกาสบถ “ทำตัวไร้คุณธรรมเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่จะถูกฟ้องน่ะ”
“ขุนนาง คนจากศาลาว่าการให้มาถามว่าคดีนี้ควรรับหรือไม่”
ผู้ติดตามเอ่ยเสียงต่ำ “ถ้าหากเห็นว่ามิสมควร พวกเขาจะได้ตีกลับ
ขอรับ”
“ก็ไม่ต้องตีกลับสิ” ท่านชายเกาขมวดคิ้ว “จะตีกลับทำไม
ผู้หลักผู้ใหญ่เขาทำแบบนั้นใช่ว่าจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว”
ผู้ติดตามสงสัย“นายท่านหมายความว่าจะเล่นไปตามน้ำเรื่องนี้หรือขอรับ”
เขาถาม “ข้าว่า ลองถามเหมาซิ่วไฉดูก่อนดีไหมขอรับ”
เหมาซิ่วไฉคือชิงเค่อที่เกาหลิงปอแต่งตั้งให้กับเขา
ท่านชายเกาขมวดคิ้ว
“นายท่านเคยกำชับไว้ว่าควรให้ตระกูลเฉิงเกิดความสามัคคี
ต่อกัน อย่าให้พวกเขาทะเลาะกัน มิเช่นนั้นอาจจะเสียชื่อได้ คดีนี้
ควรจะปิดไว้ก่อนดีไหม ไม่เช่นนั้นถ้าเรื่องมันปะทุขึ้น จะกลาย
เป็นเรื่องขายหน้าขึ้นมา” ผู้ติดตามอธิบาย
ให้ตายสิ ข้าถูกนางทำให้เสียชื่อขนาดนั้น ยังต้องมารักษา
เกียรติรักษาหน้าให้นางอีกหรือไง แถมยังต้องคอยดูให้ตระกูลนาง
เกิดกลมเกลียวกันอีกงั้นหรือ
นั่นเท่ากับว่าข้าขุดฝังตัวเองชัดๆ
“นายท่านเดิมทีต้องการให้ตระกูลนางสามัคคีกัน ก็เพื่อให้นาย
ท่านได้ดำรงตำแหน่งในราชสำ นักอย่างราบรื่น อีกทั้งก็เพื่อจะแสดง
ให้ทุกคนเห็นถึงความไม่ปรองดองกันของตระกูลเฉิง เดิมทีเฝิงหลิน
เกือบทำสำ เร็จแล้ว แต่นางนั่นดันโชคดีรอดตัวไปได้ แล้วดูตอนนี้สิคนในตระกูลนางต้องมาฆ่าฟันกันเองเพื่อเงิน เป็นเวรเป็นกรรมของ
นางแท้ๆ”
ท่านชายเกาหัวเราะเยือกเย็น
“เรื่องที่ทางศาลาว่าการจะเข้ามาถามท่านพ่อข้า เรื่องแย่ง
ทรัพย์สินเงินทองในครอบครัวนับว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่ต้องถามท่าน
พ่อข้าหรอก ให้พวกเขาตัดสินกันเอง”