พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 533 ผลัก
“เจียวเจียว!”
นายรองและฮูหยินรองเฉิงเสียเวลาไปไม่น้อยกว่าจะเข้าประตู
บ้านตระกูลโจวมาได้ ก่อนจะมาถึงห้องโถงของเฉิงเจียวเหนียงด้วย
ความเดือดดาลยิ่ง เข้ามาก็เห็นนายใหญ่เฉิงที่นั่งอยู่ภายในนั้น
ทันใดนั้นดวงตาก็ยิ่งแดงก่ำ
“เป็นพวกเขาที่ต้องการจะแย่งกิจการของเจ้าไป”
“น่าขันเสียจริง ข้าแย่งกิจการมา ตัวอักษรในกระดาษมีชื่อของ
ข้าหรือไร” นายใหญ่เฉิงยิ้มเย็นพลางเอ่ยขึ้น
“แม้ว่าที่เขียนจะเป็นชื่อของข้า แต่นั่นเป็นเจียวเจียวกับพวกเรา
ที่ปรึกษากันดีแล้ว” ฮูหยินรองเฉิงรีบเอ่ยขึ้น นางสาวเท้าไปนั่งลง
ตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียง ทั้งน้อยอกน้อยใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ทั้ง
เดือดดาลเกรี้ยวโกรธ “เจียวเจียว ใจเจ้าใจข้าล้วนกระจ่างแจ้งดี
ว่านี่เป็นของเจ้า”
“เป็นของข้ารึ” เฉิงเจียวเหนียงถามขึ้นฮูหยินรองเฉิงพยักหน้า
“ย่อมเป็นของเจ้า ตอนนั้นก็บอกเจ้าไปแล้วมิใช่หรือ เพื่อที่จะ
ได้ไม่โดนคนอื่นกำจุดอ่อนมายื่นมติไม่ไว้วางใจพ่อของเจ้า และเพื่อ
จะได้ไม่มีคนแบบเฝิงหลินมาฟ้องร้องเจ้าอีก ดังนั้นจึงได้ใช้ชื่อข้า
ลงนามไป” นางบอก
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เจ้าได้ยินหรือยัง นี่เป็นของเจียวเจียว พี่ใหญ่ ตอนนั้นท่านเอา
สินเดิมของนางไปยังไม่พอ ยังจะมาแย่งกิจการของนางอีก”
นายใหญ่รองเฉิงใบหน้าเคร่งเครียดเอ่ยเตือนขึ้น “ท่านทำเช่นนี้รู้สึก
ละอายใจบ้างหรือไม่”
นายใหญ่เฉิงมองพวกเขาด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปร
“เรื่องสินเดิมเป็นข้าที่ผิดเอง ข้าไม่ควรดึงดันจะเหลือสินเดิม
ของแม่ของนางเอาไว้เลย” เขาบอก
“ท่านรู้ก็ดีแล้ว!” ฮูหยินรองเอ่ยอย่างโมโห
“แต่สินเดิมก็คือสินเดิม กิจการของนางก็คือกิจการของนาง
ไม่อาจเอามาพูดรวมกันได้ ของของนางไม่เอาเข้าสินทรัพย์ครอบครัว นั่นมันไม่ถูก” นายใหญ่เฉิงเอ่ยต่อ
คนผู้นี้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าเฉิงเจียวเหนียง
นายใหญ่กับฮูหยินรองเฉิงมองเขาด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง
ดูท่าแล้วคงสิ้นเนื้อประดาตัวแล้วกระมัง เห็นกิจการเข้าหน่อย
ก็เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟไม่สนอกสนใจใดๆ ทั้งสิ้นแล้ว
“เช่นนี้ไม่ถูกต้องหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
ดูสิ! นางย้อนถามเจ้าแล้ว!
เด็กคนนี้โกรธขึ้นมาแล้ว!
ฮูหยินรองเฉิงมองนายใหญ่เฉิงด้วยความรู้สึกเกลียดชังและ
โมโห
นายใหญ่เฉิงพยักหน้า
“แบบนี้ไม่ถูกต้อง” เขาเอ่ย “เจียวเหนียง มีปู่ ย่า พ่อ แม่อยู่
ลูกหลานไม่อาจเก็บทรัพย์สินส่วนตัวเอาไว้เองได้ ยิ่งไปกว่านั้น
พวกเราตระกูลเฉิงปฏิบัติตามกฎของบรรพบุรุษไม่อาจแบ่งแยกบ้าน
กันได้ ขนาดพ่อเจ้ายังไม่อาจมีทรัพย์สินส่วนตัวได้เลย”“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านเป็นคนตัดสิน เจียวเจียวของเรา…” ฮูหยิน
รองเฉิงแค่นเสียงเฮอะออกมา ยังไม่ทันพูดจบก็โดนเฉิงเจียวเหนียง
ขัดขึ้น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าไม่รู้ และมิได้สนใจเรื่องนี้เลย เช่นนั้นใน
เมื่อไม่ถูกต้อง ก็ทำตามที่มันถูกมันควรก็แล้วกัน” เฉิงเจียวเหนียง
เอ่ย
ว่าอย่างไรนะ
นายรองและฮูหยินรองเฉิงมองนางอย่างตกตะลึง สีหน้า
นายใหญ่เฉิงจึงผ่อนคลายขึ้นมาก
เป็นดังที่คาดไว้ ตนเดิมพันถูกแล้ว
“เจียวเหนียง เจ้าเสียสติไปแล้ว! เจ้าจะให้เขาไปได้อย่างไร!”
ฮูหยินรองเฉิงแหวขึ้นเสียงสูง
“เขาบอกว่าควรให้เขา ก็ให้เขาไป” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย แล้ว
มองนาง “ก็เหมือนที่เจ้าบอก ที่ควรให้เจ้า ข้าก็ให้เจ้าไปแล้วเช่นกัน”
นี่มันเรียกว่าอะไร ใครบอกกันว่าควรให้ใครก็ให้ โง่ไปแล้วหรือ
ไรฮูหยินรองเฉิงนิ่งชะงัก
“ของของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่สนใจ เจ้าไม่อยากให้ก็ไม่ต้องให้
จะไปกลัวเขาทำไมเล่า!” นางเอ่ย
“เจียวเหนียง เจ้าไม่ต้องกลัวเขา พ่อย่อมปกป้องเจ้าอยู่แล้ว
ของของเจ้า ไม่ให้เขา เขาจะทำอันใดได้!” นายรองเฉิงเลิกคิ้วเอ่ย
เป็นครั้งแรกที่พ่อลูกมีศัตรูคู่แค้นร่วมกัน
นายใหญ่เฉิงหัวเราะออกมายกใหญ่
“เจ้ามันคนอกตัญญู” เขาหุบยิ้มตวาด หยัดกายลุกขึ้น “ข้า
จะดูซิว่าเจ้าจะทำอย่างไรกับข้าได้บ้าง!”
กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อสาวเท้ายาวเดินออกไป
นายรองเฉิงถลึงตาโตด้วยความโมโห
“เจียวเจียว เจ้าดูเขาสิ เจ้าดูท่าทางอวดดีของเขา” ฮูหยินรอง
เฉิงเขย่าแขนเฉิงเจียวเหนียงไปมาแล้วเอ่ยด้วยความเกลียดชัง พลาง
ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา “เขายังมาตีพวกเราอีก”
นายรองเฉิงรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เวลามาร้องทุกข์
“เจียวเหนียง เจ้าว่าควรจะทำเช่นไรดี” เขาเอ่ยเฉิงเจียวเหนียงเงยหน้ามองเขา
“ข้าบอกไปแล้วนี่” นางเอ่ยขึ้น
บอกไปแล้วรึ
นายรองเฉิงและฮูหยินรองมองนาง
“ในเมื่อไม่ถูกต้อง ก็ทำให้ถูกต้องเสีย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ทำให้ถูกต้องเสียอย่างนั้นรึ
“แล้วอะไรคือที่ถูกต้องเล่า” นายรองเฉิงถามอย่างอึ้งๆ
“นั่นคือการตัดสินของศาล” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
การตัดสินของศาลอย่างนั้นรึ
นายรองเฉิงยังคงนิ่งอึ้ง ฮูหยินรองเฉิงหลุดจากภวังค์
“เจียวเหนียง เจ้าเห็นด้วยกับนายท่านใหญ่ที่จะไปฟ้องร้องรึ”
นางถามเสียงแหลมสูง “นี่มันเป็นเรื่องในบ้านเรา เหตุใดต้องทำให้
ใหญ่โตให้คนอื่นรู้ด้วยเล่า”
“มิใช่เรื่องที่ไม่อาจบอกคนอื่นได้เสียหน่อย ในเมื่อโต้แย้งกัน
ไม่ได้ข้อสรุป เช่นนั้นก็ให้ศาลตัดสินเถิด” เฉิงเจียวเหนียงบอกนายรองเฉิงกับฮูหยินรองเฉิงมองไปยังเฉิงเจียวเหนียง
หลังจากที่นิ่งกันไปในที่สุดก็ได้สติกลับมา
พวกเขาแยกบ้านแยกครอบครัวจัดเก็บทรัพย์สินของใครของ
มันจริงๆ นั่นแหละ ทั้งยังแอบเก็บทรัพย์สินส่วนตัวไว้เองด้วย
เรื่องนี้เดิมทีไม่ใช่ว่าโต้แย้งกันไม่ได้ข้อสรุป และก็ไม่ได้ยาก
ที่จะตัดสินถูกผิด ในความเป็นจริงและจากหลักการแล้วล้วนกระจ่าง
แจ้งชัดเจนยิ่ง ฟ้องร้องไปถึงศาลก็เป็นการฟ้องร้องและถูกต้อง
อย่างหนึ่ง
สิ่งที่เฉิงเจียวเหนียงควรทำก็คือขัดขวางนายใหญ่ไม่ให้ไป
ฟ้องร้อง ไม่ใช่ส่งเสริมเขาให้ไปฟ้องร้อง
ทว่ายามนี้ดูท่าแล้ว นางกำลังบอกให้นายใหญ่ไปฟ้องร้องเอา
จริงๆ…
ให้ศาลตัดสิน!
เฉิงเจียวเหนียง!
“เจ้า!” ฮูหยินรองเฉิงลุกขึ้นยืน “กำลังล้อพวกเราเล่นหรือไร”ที่แท้ที่ยินยอมให้เอากิจการยกให้พวกนางล้วนแกล้งเล่น
อย่างนั้นรึ
ที่แท้เนิ่นนานเพียงนี้ก็เพื่อให้พวกนางยินดีปรีดากันเก้อ
อย่างนั้นรึ
“นังเด็กเลว! นายใหญ่กับตระกูลโจวให้ผลประโยชน์ใดแก่เจ้า
เล่า นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะร่วมมือกับพวกเขามาคิดบัญชีข้า เจ้ามัน
อกตัญญู!” นายรองเฉิงก็เข้าใจขึ้นมาเช่นกัน เขาตวาดอย่าง
เดือดดาล
ได้ยินประโยคนี้ นายใหญ่โจวที่รออย่างร้อนรนอยู่ข้างนอกก็
เหมือนได้ยินเสียงกลองเสียงฆ้องกระตุ้นให้รบอย่างไรอย่างนั้น เขา
พาคนบุกเข้าไปทันที
“เจ้านะสิอกตัญญู!”
เขากำหมัดชกออกไปพลางตะคอกใส่
“นึกไม่ถึงว่าจะกล้าแอบซ่อนทรัพย์สินส่วนตัวไว้! ซ้ำ ยังกล้า
โยนความผิดมาให้ลูกสาวอีก! ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนพี่ใหญ่ของ
เจ้าก่อนเอง!”นายรองเฉิงโดนหมัดชกจนล้มลงกับพื้น ฮูหยินรองเฉิงกรีดร้อง
พลางโผเข้าไป
นายใหญ่โจวไม่มัวมาทะเลาะตบตีกับพวกเขารีบสั่งให้คนลาก
สองสามีภรรยาออกไปทันที
ในตอนที่นายรองเฉิงและภรรยาเข้าประตูมาก็โดนคนของ
ตระกูลโจวขวางไว้ เปลืองน้ำลายไปมีเพียงพวกเขาสองคนที่เข้ามา
เท่านั้น ข้างกายก็ไร้คนช่วยเหลือ ไหนเลยจะต้านทหารรับใช้ของ
ตระกูลโจวที่ออกจากสนามรบพวกนี้ได้ แค่โดนคว้าดึงสองสามทีก็
ลากออกไปแล้ว
นายใหญ่โจวได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงหวีดร้องไกลออกไปก็
สะบัดเสื้อผ้าไปมา
“เจียวเจียวตกใจหรือไม่” เขายิ้มถามอย่างห่วงใย “ไม่ต้องกลัว
ไป มีลุงอยู่ทั้งคน ไม่ยอมให้พวกเขาตระกูลเฉิงมากำเริบเสิบสานใน
บ้านของเราได้หรอก”
ฮูหยินโจวที่ยืนอยู่ในลานบ้านได้ยินประโยคนี้เข้าก็หันหน้ามา“ทำนางตกใจอย่างนั้นรึ” นางแสยะมุมปาก “ขนาดคนยังเคย
ฆ่ามาแล้ว จะมีอันใดไปทำให้นางตกใจได้อีก…”
แล้วเงยหน้ามองไปยังนอกประตู ฟังเสียงก่นด่าของฮูหยิน
ตระกูลเฉิงที่ค่อยๆ ไกลออกไป ก็พนมมือสวดมนต์ด้วยใจที่หลงเหลือ
ความหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย
ฮูหยินรองเฉิงผู้น่าสงสาร…
บอกแต่แรกแล้วว่าหญิงนางนั้นร้ายกาจดั่งปีศาจ!
“นายท่าน! นางสารเลวนั่น! นางสารเลวนั่น! ทำร้ายพวกเรา!”
ฮูหยินรองเฉินที่โดนผลักออกมาจากตระกูลโจวมองประตูที่ถูก
ปิดลง แล้วผลักสาวใช้ที่พยุงตนด้วยความตระหนกออกไป คว้าจับ
นายรองเฉิงไว้เอ่ยด้วยน้ำตา
นายรองเฉิงแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว โดนบ่าวรับใช้สองนาย
ประคองไว้ ดึงจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ยับย่นและผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง
แผลเก่าบนใบหน้าและร่างกายยังไม่หายก็มีแผลใหม่มาเพิ่มอีก ดูๆ
แล้วอเนจอนาถยิ่ง“นายท่าน นายท่านเจ้าคะ” ฮูหยินรองเฉิงเห็นท่าทางของเขาก็
ร้องห่มร้องไห้ด้วยความเป็นห่วง
หากแต่นายรองเฉิงกลับยังสงบมั่นคงอยู่ ท่าทางเช่นนี้ไม่ใช่ว่า
เมื่อก่อนไม่เคยเป็นเสียหน่อย
“นางสารเลวนั่น ข้าจะไม่ปล่อยนางไว้แน่!” เขาเอ่ยอย่าง
เคียดแค้น เห็นสายตาของคนบนท้องถนนหันมามอง ก็รีบเรียกคน
แล้วขึ้นไปนั่งบนรถ “เรากลับไปแล้วค่อยว่ากัน”
ฮูหยินรองเฉิงยกแขนเสื้อปิดหน้าแล้วเดินตามไป
“ไม่ต้องห่วงหรอก ศาลาว่าการต้องไม่รับทำคดีนี้แน่”
นายรองเฉิงที่ก้าวเข้าประตูมาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ
“จะไม่รับทำได้อย่างไรเจ้าคะ นางสารเลวนั่นนางจงใจ
จะฟ้องร้องเรานะ” ฮูหยินรองร้องไห้พลางเอ่ย
“นางจงใจฟ้องร้องเรา แล้วนางกล้าไปร้องต่อศาลาว่าการ
หรือไม่” นายรองเฉิงกัดฟันยิ้มเย็น “หากนางกล้า ข้าจะฟ้องร้องนาง
ว่าเนรคุณก่อน ให้นางได้รับโทษโบยจนตาย ใครจะกล้า ใคร
จะมาขัดขวางได้!”“นางไม่ออกหน้า คนอื่นฟ้องร้องข้าแทน แต่ข้าเป็นพ่อนาง ทุก
คนในศาลาว่าการล้วนต้องช่างน้ำหนักในใจกันดู คราก่อนเฝิงหลินที่
ฟ้องร้องข้า ยังไปได้ไม่ไกลเลย หากใครคิดอยากจะไปเป็นสหายร่วม
ทัพเขาก็ยังไม่สาย!”
ฮูหยินรองได้ยินในใจก็สงบลงเล็กน้อย แต่ความแค้นยัง
ไม่ลดลง
“ข้ารู้อยู่แล้ว ว่านางมิได้มีเจตนาดีอันใด…” นางร้องไห้เอ่ยขึ้น
“เปล่าประโยชน์ที่เราจะปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจเช่นนี้”
เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังออกมาจากภายในห้อง
“ปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจอย่างนั้นรึ คำพูดนี้เจ้าเองก็เชื่อ
อย่างนั้นหรือ”
เสียงนี้ทำให้ฮูหยินรองตกอกตกใจยกใหญ่ เงยหน้าขึ้นไปเห็น
นายใหญ่เฉิง นึกไม่ถึงว่าจะนั่งอยู่ภายในห้องโถง ซ้ำ ยังกำลังดื่ม
ชาอย่างสบายอุราอีกด้วย
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นี่มันเรือนของข้า!” ฮูหยินรองตวาด
นายใหญ่เฉิงมองนางแวบหนึ่งด้วยความเหยียดหยาม“บ้านหลังนี้แซ่เฉิง สิ่งที่มีแซ่เฉิง ล้วนเป็นของข้า” เขาบอก
สวรรค์! เป็นครั้งแรกที่ฮูหยินรองเฉิงได้รู้ว่าที่แท้นายใหญ่เฉิงเป็นคน
ไร้ยางอายเช่นนี้!
“พี่ใหญ่ ท่านหยุดแต่เพียงเท่านี้เถิด” นายรองเฉิงเอ่ยด้วย
สีหน้าเขียวคล้ำ
“ความจริงข้าก็คิดอยากจะพูดเช่นนี้กับเจ้าอยู่เหมือนกัน”
นายใหญ่เฉิงแย้มยิ้ม นั่งไขว่ห้างหลังตั้งตรง “แต่ช้าไปเสียแล้ว ยามนี้
ต่อให้เจ้าคิดอยากจะห้ามก็ห้ามไว้ไม่ได้แล้วละ”
นายรองเฉิงสีหน้าดูไม่ได้ อ้าปากจะถ่มน้ำลายออกมา
ด้านนอกกลับมีเสียงโหวกเหวกดังเข้ามา
“นายใหญ่ นายใหญ่แย่แล้วขอรับ” พ่อบ้านวิ่งเข้ามาอย่าง
รีบร้อน
“อันใดแย่อีกแล้วเล่า” นายรองเฉิงเลิกคิ้วหันหน้าไป ระบาย
ความโมโหออกมา “มีใครมาหาเรื่องถึงบ้านอีกหรือไร”
“นายท่าน เป็นคนของศาลาว่าการมาหาเรื่องขอรับ…เอ๊ย ถุย
ไม่ใช่…เป็นคนของศาลาว่าการมาหาขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยบอกนายรองเฉิงนิ่งอึ้งไป
“คนของศาลาว่าการมาทำอันใด” เขาถาม
“บอกว่ามาส่งหมายเรียกโจทก์กับจำ เลยขอรับ” พ่อบ้านเอ่ย
บอก สายตามองไปยังนายใหญ่เฉิงที่อยู่ในห้องโถง
ว่าอย่างไรนะ
นายรองเฉิงตกตะลึงหันหน้าไป เห็นนายใหญ่เฉิงลุกขึ้นยืน
“ไปกันเถิด คดีนี้พวกเรามาตั้งใจสู้กันให้ดี” เขาเอ่ยพลางสะบัด
แขนเสื้อก้าวเดิน “ให้คนทั้งเมืองได้เห็นว่าเจ้ามันอกตัญญู!”
ว่าอย่างไรนะ
เป็นไปได้อย่างไรกัน
นายรองเฉิงหันหน้าไปมองพ่อบ้านด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“ศาลาว่าการเสียสติไปแล้ว! พวกเขารับทำคดีนี้ได้อย่างไร”
เขาตะคอกขึ้น
นี่มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” นายใหญ่เฉิงเดินมายังข้างกายเขา
เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “ข้าบอกเจ้าไปตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่ามาเมืองหลวง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ดีอันใด เจ้าก็ดันไม่เชื่อฟัง”
นายรองเฉิงมองนายใหญ่เฉิงสาวเท้าออกไปด้วยสีหน้าอึมครึม
“โธ่เว้ย!” ในที่สุดเขาก็ก่นด่าออกมายกใหญ่ ชี้แผ่นหลังของ
นายใหญ่เฉิง “แต่ข้าไม่นึกเลยว่าสิ่งไม่ดีของเมืองหลวงนั้นจะเป็น
พี่ใหญ่ของตัวเอง ในเมืองหลวงแห่งนี้คนที่เอาข้าไปขึ้นเขียงก็คือ
ลูกสาวของตัวเอง!”
“พวกเจ้ามันสารเลว!”
“สารเลว!”
ส่วนฮูหยินรองที่หลุดจากภวังค์ก็ลูบมือร้องไห้ออกมายกใหญ่
“คนโกหก! ยังจะมาหลอกให้ข้าเอาเงินไปเพิ่มอีกตั้งมากมาย
อีก! นั่นมันเงินของข้านะ!”