พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 534 ง่ายดาย
วสันตฤดูของเมืองหลวงในปีนี้คึกคักกว่าปีก่อนๆ ไม่น้อย แค่
เรื่องแย่งชิงนางโลมของหอเต๋อเซิ่งเพียงเรื่องเดียวก็เกิดหัวข้อ
สนทนาขึ้นจำ นวนนับไม่ถ้วน อีกทั้งหัวข้อนี้ยังไม่ทันจบดีก็หัวข้อใหม่
ขึ้นมาอีก
“…ตระกูลเฉิงนั่นก่อเรื่องกันขึ้นมาอีกแล้ว”
“เรื่องอันใดอีกล่ะ ไปเอาตัวนางโลมที่หอเต๋อเซิ่งมาอีกหรือ”
“มีลูกสาวเช่นนี้ในตระกูลช่างน่าอับอายขายขี้หน้าคนนัก”
“ไม่ใช่เสียหน่อย ครั้งนี้เป็นนายใหญ่เฉิงฟ้องร้องพ่อของแม่นาง
เฉิงกับศาลาว่าการ เห็นว่าแยกบ้านแยกครอบครัวจัดเก็บทรัพย์สิน
ของใครของมัน ทั้งยังแอบเก็บทรัพย์สินส่วนตัวไว้เองอีกด้วย”
“…นายรองเฉิงผู้นี้ช่างกล้าเสียจริง…”
“…มิน่าเล่านายรองเฉิงใจกล้าเช่นนี้ จึงสามารถทำเอากิจการ
ห้าหมื่นก้วนเสียไปเปล่าๆ ปลี้ๆ แลกกับสิ่งที่ไม่ใช่ของตนมาเป็นของ
ตนอย่างใจกล้าแบบที่ไม่มีใครกล้าจะทำได้”“…หากเป็นเช่นนี้แล้วนายใหญ่เฉิงก็ย่อมไม่ยอมรามือแน่…”
“ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าคนในครอบครัวของแม่นางเฉิงจะทำตัว
เช่นนี้ คนธรรมดาสามัญ ทำให้ศิษย์แห่งเทพเซียนต้องเสียเกียรติ”
“…ทำให้เสียเกียรติอย่างนั้น ศิษย์ของเทพเซียนคนใดจะไป
เหมานางโลมกันบ้าง จะไปฟุ่มเฟือยเพื่อนางโลมกันบ้าง ช่างไร้สาระ
น่าขันสิ้นดี”
“…ดูความวุ่นวายของตระกูลนี้สิ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเสียจริง
ข้าว่าตระกูลเฉิงแห่งเจียงโจวตระกูลนี้ล้วนมิใช่ของดีเด่อันใดกัน
ทั้ง
นั้น
นั่นแหละ”
ภายในห้องเกิดเสียงระเบิดหัวเราะออกมายกใหญ่
เสียงหัวเราะเช่นนี้ไม่ได้ยินมาหลายวันแล้ว บรรดาสาวใช้ที่ยืน
อยู่นอกประตูสบตากันแวบหนึ่งเผยความปรีดากันขึ้นมา
ขอบคุณฟ้าดิน เรียกได้ว่าขุนนางผู้น้อยเบิกบานใจสบายอุรา
ยิ่ง พวกนางก็สามารถทะเลาะตบตีกันน้อยลงเช่นกัน
“น่าขายหน้านัก!”
ท่านชายเกาพิงโต๊ะ ตบเข่าฉาดพลางหัวเราะออกมา“ขายหน้ากันทั้งตระกูล! ศิษย์ของเทพเซียนอะไรกัน ก็แค่
ตัวแทนสวรรค์ที่โอ้อวดเหลวไหลเท่านั้นแหละ”
“นั่นสิ นั่นสิ เทพเซียนไม่ข้องเกี่ยวเรื่องทางโลก พวกที่ข้องเกี่ยว
กับทางโลกน่ะมันสามัญชนคนธรรมดาต่างหาก” ผู้ติดตามยิ้มพลาง
เอ่ยร่วมความคึกคัก
“ทำให้ข้ากลายเป็นตัวตลก ก็มาดูกันว่าใครจะเป็นตัวตลกตัว
ใหญ่ที่สุด” ท่านชายเกายิ้มเอ่ย
ทางด้านนี้กำลังหัวเราะพูดคุยอยู่ ด้านนอกก็มีชิงเค่อวิ่งเข้ามา
อย่างรีบร้อน
“ท่านชายสิบสี่ ศาลาว่าการบอกว่าการรับคดีเรื่องทรัพย์สิน
ของพี่น้องตระกูลเฉิงเป็นความตั้งใจของเจ้าหรือ” เขาเอ่ยถามอย่าง
ร้อนรน
ท่านชายเกาพยักหน้าอย่างไม่แยแส
“เป็นอย่างไรเล่า คึกคักและน่าขายขี้หน้าพอกระมัง” เขายิ้ม
เอ่ย
ชิงเค่อสีหน้าฉงน“ท่านชาย เรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยดีนัก” เขาบอก “เป็น
เช่นนี้แล้ว นายรองเฉิงชื่อเสียงป่นปี้ ไม่แน่ว่ากระทั่งเมืองหลวงก็
จะอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
“นี่มิใช่เรื่องดีหรือไร” ท่านชายเกายิ้มเอ่ยแล้วมองชิงเค่อคนนั้น
“ทำไมรึ เจ้ายังอยากจะปกป้องเขาหรือ”
“ไม่ใช่ข้าอยากปกป้องเขา แต่มีเขาอยู่ จะสามารถข่มแม่นาง
เฉิงนั่นไว้ได้ ยามนี้ชื่อเสียงของเขาป่นปี้ไป หากโดนไล่ออกจาก
เมืองหลวงอีก เช่นนั้นก็จะข่มแม่นางเฉิงไว้ยากแล้ว” ชิงเค่อเอ่ย
จู่ๆ ท่านชายเกาก็หัวเราะออกมายกใหญ่
“ข่มไว้รึ” เขาหยุดเสียงหัวเราะเย้ยหยันลง “เด็กสาวคนเดียว
ยากจะข่มไว้ก็เพราะไม่อยากจะข่มไว้ หากอยากจะข่มไว้จริงๆ แค่นิ้ว
เพียงนิ้วเดียวก็สามารถบี้นางให้ตายได้”
“ท่านชาย สิ่งสำ คัญก็คือสตรีนางนี้ทำการสิ่งใดล้วนละเอียด
รอบคอบเสมอมา…” ชิงเค่อเอ่ย
“ถุย ยังจะกล้ามาละเอียดรอบคอบ” ท่านชายเกายิ้มพลางขัด
เขาขึ้น “เจ้าก็บอกอยู่ว่านี่คือเด็กสาวแค่คนเดียว พ่อกับพวกเจ้าคิดผิดและคิดมากเกินไปแล้ว ไม่ควรมองที่ความละเอียด
รอบคอบของนาง แต่ควรมองที่นางเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็กางแขนพิงกลับไป
“เจ้าไม่ต้องพูดอีกแล้ว ข้าจะให้เจ้าได้เห็นเองว่าจัดการ
เด็กสาวคนหนึ่งควรจะทำเช่นไร”
ด้านนอกวุ่นวายโกลาหล แต่ภายในตระกูลเฉิงกลับเงียบงันยิ่ง
ทว่าความเงียบนี้ไม่เหมือนกับความเงียบดังที่แล้วๆ มา
แม่นางเฉิงเจ็ดยืนอยู่หน้าประตูเรือน มองห้องโถงที่เดิมที
ควรจะมีทัศนียภาพที่สวยวิจิตรของวสันตฤดูแต่กลับเผยให้เห็น
ความเงียบเหงาซึมเซาของสารทและเหมันตฤดูไปเสียได้
เสียงทะเลาะเบาะแว้งดังขึ้นจากภายในห้องโถง คลอเคล้ากับ
เสียงร้องไห้ของมารดา
มีสภาพนี้อีกแล้ว…
ตอนอยู่ที่เจียงโจวเป็นเช่นนี้ มายังเมืองหลวงสุดท้ายก็ยัง
จะเป็นเช่นนี้อีกไม่ว่าจะอยู่ที่ใด พ่อแม่กับลุงป้าต่างไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ตั้ง
แต่คนๆ นั้นเข้ามาในบ้าน
เมื่อก่อนตนรังเกียจ เพราะนางเป็นคนสติไม่สมประกอบ ทำให้
ครอบครัวและตนโดนคนอื่นดูถูกดูแคลน ดังนั้นที่บ้านจึงไม่ชอบนาง
รังเกียจนาง ด้วยเหตุนี้คนในบ้านจึงถกเถียงกันยืดเยื้อยาวนาน
ทว่ายามนี้ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันคืนเหล่านี้
ที่มายังเมืองหลวง ติดตามท่านแม่ไปงานเลี้ยงหลายต่อหลายตระกูล
การสรรเสริญเยินยอของคนพวกนั้นนางสัมผัสได้อย่างชัดเจน เหล่า
พี่สาวก็เริ่มพูดคุยเรื่องดูตัวกันแล้ว บอกว่าคนเขายังอยู่ที่เจียงโจว
ไม่กล้าคิดเพ้อฝันกับตระกูลที่ร่ำรวยมีอำนาจ แม่นางเฉิงเจ็ด
ไม่ใช่คนโง่ นางรู้ดีว่าเป็นเพราะเฉิงเจียวเหนียง
ที่เมืองหลวงแห่งนี้ คนสติไม่ดีนั่นกลับไม่ได้ทำให้คนรังเกียจ
และดูถูกเหยียดหยาม ตรงกันข้ามกลับโดนคนอิจฉาริษยา
ประจบประแจง และทำให้ครอบครัวรวมถึงพวกน้องสาวอย่างพวก
นางพลอยได้รับการเยินยอไปด้วยตามหลักการแล้วนี่เป็นเรื่องที่ดี ควรจะมีวันคืนที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
จึงจะถูก แต่เหตุใดเล่า ความสัมพันธ์ของท่านพ่อท่านแม่และบรรดา
ผู้หลักผู้ใหญ่จึงได้พลิกเป็นย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ จากตอนแรกที่
ทะเลาะกันไม่พูดไม่จา จนถึงตอนนี้ที่ทะเลาะกันจนขึ้นโรงขึ้นศาลกัน
ไปแล้ว
เสียงร้องไห้ยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม ทำให้แม่นางเฉิงเจ็ดหลุดจาก
ภวังค์ เห็นประตูห้องโถงถูกเปิดออก นายใหญ่เฉิงสาวเท้าออกมา
นายใหญ่เฉิงเห็นแม่นางเฉิงเจ็ดยืนเหม่อลอยอยู่หน้าประตู
เรือน ฝีเท้าก็พลันชะงัก
แม่นางเฉิงเจ็ดโดนฮูหยินรองตามใจจนเหลิง
ใช้อำนาจบาตรใหญ่ภายในบ้านอยู่เป็นประจำ ทว่าในการ
ใช้อำนาจบาตรใหญ่ก็แสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์งดงามของ
เด็กสาวที่ไร้กังวลใด แต่ยามนี้ดูท่าแล้ว เด็กสาวที่เคยโดนตามใจจน
เหลิง ในสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกไม่สงบสุข
เหมือนกับห่านป่าที่ได้รับความตกใจจากการหลงฝูงเรื่องราวเหล่านี้ที่เขากำลังทำ ไม่ใช่เพื่อตระกูลเฉิง เพื่อ
ลูกหลานรุ่นต่อๆ ไปของตระกูลเฉิงหรือไร
ดูสีหน้ายามนี้ของลูกหลานรุ่นต่อไปเสียก่อนสิ…
เรื่องนี้รีบๆ จบไปเสียทีเถิด จากนั้นพวกเขาตระกูลเฉิงก็จะได้
มีวันคืนที่สงบสุขกัน บรรดาลูกหลานรุ่นหลังเหล่านี้ก็จะสามารถ
เติบโตได้ตามปกติและดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
นายใหญ่เฉิงปรับสีหน้าให้ผ่อนคลาย
“แม่นางเจ็ด อยู่ที่เมืองหลวงคุ้นชินหรือยัง” เขาถามขึ้น
แม่นางเฉิงเจ็ดก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“เจ้าหกอยู่ที่บ้านคิดถึงพวกเจ้ามากเลยเชียว” นายใหญ่
เฉิงอมยิ้มบอก “เดิมทีจะให้ข้าเอาของขวัญมาให้พวกเจ้า แต่เพราะ
ข้ารีบจึงไม่มีเวลาไปสนใจ”
แม่นางเฉิงเจ็ดมองเขาด้วยน้ำตาไหลนอง
“ท่านลุง เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้กับพวกเราด้วย” นางร้องไห้
เอ่ยขึ้น
นายใหญ่เฉิงมองนาง“เพราะลุงใหญ่ทำผิด พ่อแม่เจ้าก็ยิ่งผิดเข้าไปใหญ่ เพื่อตระกูล
เฉิงของเรา และเพื่อพวกเจ้าด้วย ไม่อาจผิดต่อไปได้อีกแล้ว” เขา
บอก
ห่างจากแม่นางเฉิงเจ็ดมา นายใหญ่เฉิงก็ตรงไปหน้าประตู
เรือนของท่านชายเฉิงสี่ทันที
จากคำกำชับของสาวใช้ให้ท่านชายเฉิงสี่ได้รักษาตัวเงียบๆ ที่นี่
จึงมีบ่าวรับใช้สี่คนเฝ้าเอาไว้ ดังนั้นระยะนี้ไม่ว่านายรองเฉิง
จะโหดเหี้ยมก่นด่าคนอยู่ด้านนอกเพียงใด ก็ไม่อาจเข้าใกล้ท่านชาย
เฉิงสี่ได้
ในเรือนน้อยเงียบสงบ คนที่อยู่รับใช้ที่นี่คือแม่นมและสาวใช้ที่
สาวใช้ซื้อตัวมา ทำความสะอาดจัดเก็บอย่างสะอาดสะอ้านทั้งนอก
ทั้ง
ใน มีห้องครัวแยกต่างหาก ยามนี้ใกล้จะได้เวลาอาหารแล้ว ใน
เรือนเล็กจึงหอมหวนแผ่ซ่านไปทั่ว
“ท่านพี่ ข้าวเสร็จแล้ว ท่านชายสี่ยังไม่ยอมกินหรือ”
สาวใช้สองนางกำลังพูดคุยกันด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด
นายใหญ่เฉิงที่ยืนอยู่หน้าประตูหยุดฝีเท้าลงเรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านชายเฉิงสี่นั้นเขาได้สืบสาวอย่างกระจ่าง
แจ้งแล้ว
หลังจากเข้าเมืองหลวงมาครานี้เขาไม่ได้เข้าบ้านมาเลย แต่ไป
โน่นมานี่ในเมืองหลวงอย่างสบายอกสบายใจอยู่หลายวัน หอสุรา
โรงน้ำชา ลานศิลปะ ถนนตลาดที่คึกคัก หรือกระทั่งอารามเต๋าล้วน
ไปมาหมด ทำความเข้าใจในเรื่องที่เกี่ยวกับเฉิงเจียวเหนียงและ
ตระกูลเฉิงอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ความผิดเหลวไหลเหล่านั้นไม่อาจทำผิดเป็นครั้งที่สองได้
อีกแล้ว ครั้งเดียวก็เกินพอ
ประตูห้องถูกเปิดออก เขามองไปยังท่านชายเฉิงสี่ที่เอนกายอยู่
ดูเหมือนว่ากำลังหลับ ทว่าได้ยินฝีเท้าเข้ามาใกล้ก็เอ่ยปากขึ้นว่า
“ข้าไม่อยากกินข้าว พวกเจ้าออกไปกันก่อนเถิด” เขาบอก
ฝีเท้ายังไม่จากไป กลับกันดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะนั่งลงมาแล้ว
“เจ้าไม่กินข้าว เพราะอยากจะให้นางเห็นใจหรือ”
“ความอนาถที่เจ้าให้นางไปยังไม่พออีกหรือ”ประโยคสองประโยคนี้ลอยมา ท่านชายเฉิงสี่ก็ตกตะลึง รีบ
ลุกขึ้นหันหน้ามา
“ท่านพ่อ!” เขาเรียกด้วยความตกใจ “พ่อมาได้อย่างไรขอรับ”
พอกล่าวจบก็นึกไปถึงเรื่องของตน ทันใดนั้นก็ยกแขนเสื้อขึ้น
มาบังหน้าด้วยความอับอาย
“ท่านพ่อ ลูกมันเนรคุณ” เขาสะอื้นเอ่ย “ทำให้ครอบครัว
เดือดร้อนไปด้วย”
นายใหญ่เฉิงยื่นมือไปดึงแขนเขาลง เลิกแขนเสื้อขึ้น มองข้อมือ
ที่ดามไม้และพันผ้าขาวไว้แน่น
“จะหายกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่” เขาเอ่ยถาม
ท่านชายเฉิงสี่พยักหน้า
“ได้ขอรับ” เขาบอก
น้องสาวบอกว่าได้ก็ต้องได้แน่นอน
นายใหญ่เฉิงพยักหน้า แล้วเงยหน้าขึ้นมองท่านชายเฉิงสี่
“เจ็บหรือไม่” เขาถามท่านชายเฉิงสี่ตกตะลึงไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อจะถาม
เช่นนี้
ท่านพ่อเข้มงวดมาก เขาทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นอย่าว่าแต่ท่านชาย
เกาจะตัดแขนขาดเลย ต่อให้เป็นท่านพ่อก็จะตัดขาเขาเช่นกัน
คิดไม่ถึงว่าจะหลังจากได้พบกันแววตาท่านพ่อกลับเต็มไปด้วย
ความห่วงใยซ้ำ ยังถามคำถามเช่นนี้อีก
ท่านชายเฉิงสี่อารมณ์ซับซ้อนอยู่ในใจ
“กินข้าวเสีย รีบรักษาตัวให้หาย เจ้าไม่ถนอมตัวเองเช่นนี้
เพื่อให้น้องสาวเจ้าลำบากใจหรือ” นายใหญ่เฉิงเอ่ย
ไม่พูดถึงก็แล้วไปเถิด พอเอ่ยถึงขึ้นมาท่านชายเฉิงสี่ก็ละอายใจ
อย่างยิ่ง
“ท่านพ่อ ลูกมันอกตัญญู…” เขาบอก
ยังพูดไม่ทันจบก็โดนนายใหญ่เฉิงเอ่ยขัดขึ้น
“เจ้าอกตัญญูอย่างไรรึ ก็แค่จัดงานเลี้ยงกับเพื่อนร่วมงานที่หอ
เต๋อเซิ่ง เชิญนางโลมมานั่งเป็นเพื่อน สุดท้ายเกิดเรื่องขัดแย้งกัน
เท่านั้นเองมิใช่หรือ นี่คือเรื่องราวอันน่าสนุกของปัญญาชน การใช้ชีวิตแบบตามใจตัวเองของเด็กหนุ่ม มีอะไรให้น่าละอายหรือคิดว่า
อกตัญญูกัน” เขาขมวดคิ้วเอ่ยถาม “ก็แค่แย่งชิงนางโลมเท่านั้นเอง
มิใช่หรือ การสอบเข้ารับราชการขุนนางก็แย่งชิงกัน นางโลมนี่ก็ย่อม
ต้องแย่งชิงกันอยู่แล้ว นี่สิถึงจะเรียกว่าชีวิตวัยหนุ่ม มีอะไรให้
น่าละอายกัน”
ท่านชายเฉิงสี่มองบิดาด้วยความตกตะลึง
ท่านพ่อ
“น้องสาวเจ้าก็บอกแล้วว่านี่มันแค่เรื่องเล็ก เจ้ามากระมิดกระ
เมี้ยนวางไม่ได้ปล่อยไม่ลงเช่นนี้ จะเป็นปรปักษ์กับน้องสาวเจ้าหรือ
ไร กำลังจะบอกว่าที่น้องสาวเจ้าว่ามานั้นไม่ถูกหรือไร” นายใหญ่
เฉิงเลิกคิ้วเอ่ย
“ท่านพ่อ น้องสาวกำลังปกป้องข้า…” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยอย่าง
ละอายใจ
“เจ้ารู้ว่าน้องสาวเจ้ากำลังปกป้องเจ้าอยู่ แล้วเหตุใดเจ้าจึง
ไม่รู้จักไปปกป้องนางบ้างเล่า” นายใหญ่เฉิงเอ่ยขัดเขาขึ้นมาอีกครั้ง
ปกป้องนางหรือท่านชายเฉิงสี่มองนายใหญ่เฉิง
คนไร้ประโยชน์ที่เอาแต่หาความยุ่งยากมาให้อย่างเขาจะไป
ปกป้องนางได้หรือ…
“นางว่าเจ้าเป็นฝ่ายถูก เพราะปกป้องเจ้า นางบอกว่าเจ้าถูก
เจ้าก็ถูก เจ้าก็ต้องบอกแก่คนทั้งแผ่นดินว่าที่นางพูดนั้นพูดถูก นี่จึง
จะเป็นการปกป้องนาง ครอบครัวเดียวกันคืออะไร ครอบครัว
เดียวกันคือสมัครสมานสามัคคีร่วมใจกันจัดการคนนอก” นายใหญ่
เฉิงบอก แล้วยื่นมือไปตบบ่าของท่านชายเฉิงสี่อย่างแรง “หยัดกาย
ลุกขึ้น! หดหัวหดคอไปเพื่อการใด!”
“หยัดกายลุกขึ้น! ให้คนทั้งแผ่นดินได้เห็นว่าเจ้าถูกต้อง!”
“หยัดกายลุกขึ้น ให้คนได้รู้ว่าเจ้าไม่ได้อับอายจนพบใครไม่ได้
!”
หยัดกายลุกขึ้น! หยัดกายลุกขึ้น!
ท่านชายเฉิงสี่นั่งตัวตรงตามสัญชาตญาณ
“ท่านพ่อ” เขาเอ่ยเสียงสั่น“อย่าทำให้นางผิดหวัง แม้ว่าเจ้าจะช่วยนางอย่างอื่นมิได้ แต่
อย่างน้อย ก็อย่าถ่วงมือถ่วงเท้านาง อย่าหลบซ่อนในยามที่นาง
กำลังปกป้องเจ้า” นายใหญ่เฉิงเอ่ย “ล้มเหลวเพื่อเพิ่มประสบการณ์
อย่าให้ความผิดพลาดของเจ้าผิดไปโดยเปล่าประโยชน์ และอย่าให้
ความเสียเปรียบนี้เสียไปเปล่าๆ และยิ่งอย่าให้คนของเราต้อง
เจ็บปวดแล้วศัตรูลำพองใจ”
ท่านชายเฉิงสี่มองบิดาพลางโน้มตัวลงโขกหัวให้
“ขอบคุณท่านพ่อที่แนะนำสั่งสอน ลูกทราบแล้วขอรับ” เขา
สะอื้นบอก
….
“นายหญิง ท่านดูสิเจ้าคะว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ปั้น
ฉินแกะผ้าขาวบนข้อมือของท่านชายเฉิงสี่ออกอย่าง
ระมัดระวัง เผยให้เห็นบริเวณที่บาดเจ็บ
เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือไปลูบบริเวณนั้น บีบนวดอย่างช้าๆ
“ท่านชายสี่เจ็บหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างยิ้มเอ่ยถาม
พลางมองท่านชายเฉิงสี่ที่ดูเหมือนจะไม่กล้าหันหน้ามาสบตาท่านชายเฉิงสี่อมยิ้มพยักหน้า
“เจ็บนิดๆ” เขาตอบไปแต่โดยดี
“เจ็บดีกว่าไม่เจ็บ” เฉิงเจียวเหนียงบอก “หากไม่เจ็บล่ะก็ นั่น
ได้แย่แน่”
ท่านชายเฉิงสี่พยักหน้าแย้มยิ้ม
ทายาใหม่อีกครั้ง แล้วฝังเข็มไปครู่หนึ่ง ปั้นฉินก็พันแผลให้
ท่านชายเฉิงสี่เอาไว้ดังเดิม
“เหตุใดท่านชายสี่จึงมาเองเล่าเจ้าคะ ข้ากับนายหญิงว่าจะไป
ที่เรือนอยู่แล้วเชียว” นางเอ่ยถาม
“วันนี้ข้าจะออกมาดื่มสุรากับเพื่อนร่วมงาน จึงได้แวะมาพอดี
น้องสาวจะได้ไม่ต้องไปหา” ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มพลางเอ่ย
ปั้น
ฉินกับสาวใช้ตกใจเล็กน้อย
“ท่านชายสี่จะออกไปดื่มสุราหรือเจ้าคะ”
“ข้าดื่มไม่ได้หรือ” ท่านชายเฉิงสี่ก็ดูคล้ายจะตกใจเช่นกัน รีบ
หันหน้าไปมองเฉิงเจียวเหนียง “น้องสาว ข้าดื่มสุราได้หรือไม่”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ ดื่มชาและน้ำแกงได้” เฉิงเจียวเหนียงบอกท่านชายเฉิงสี่ถอนหายใจแล้วหัวเราะออกมา
“เช่นนั้นก็ดี ยังดีที่ข้ามาหาน้องสาวเสียก่อน” เขายิ้มบอกพลาง
ลุกขึ้น “สายมากแล้ว ข้าไปก่อนนะ”
เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นส่ง
“อ้อ น้องสาวไม่ออกไปไหน มีอะไรที่ต้องการฝากให้ข้าเอา
มาให้หรือไม่” ท่านชายเฉิงสี่หันกลับมาถามอีก
“ท่านชายสี่ ท่านไปทำธุระท่านเถิด” สาวใช้ยิ้มบอก “นายหญิง
ไม่ออกจากบ้าน แต่ยังมีพวกเราอยู่นะเจ้าคะ”
ท่านชายเฉิงสี่หัวเราะพลางคำนับแล้วหันหลังจากไป
มองแผ่นหลังของท่านชายเฉิงสี่ สาวใช้แย้มยิ้มด้วย
ความปลาบปลื้มและยินดี
“นายหญิง ดียิ่งนักเจ้าค่ะ” นางมองเฉิงเจียวเหนียงพลางเอ่ย
ขึ้น
“หมายถึงตอนนี้เหตุการณ์ดียิ่งนัก หรือว่าตัวข้าดียิ่งนัก” เฉิง
เจียวเหนียงถาม
สาวใช้หัวเราะชอบใจ“นายหญิงรู้ดีว่าเรื่องใดดียิ่งนัก” นางยิ้มบอกพลางดึงแขนเสื้อ
เฉิงเจียวเหนียง
“นายหญิง พวกเราก็ออกไปเที่ยวด้วยดีกว่า อยู่ในบ้านอุดอู้
จะแย่อยู่แล้ว”