พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 535 ดีใจ
คนตระกูลเฉิงทั้งผ่อนคลายทั้งกังวล และในขณะเดียวกันนั้น
เองผู้พิพากษาของศาลาว่าการก็ว้าวุ่นขึ้นมา ยามรับหนังสือคำร้อง
ของนายใหญ่เฉิง
“ใต้เท้าการฟ้องร้องคดีนี้จัดการยากมากหรือขอรับ”
ข้าหลวงยกชามาให้แล้วถามอย่างห่วงใย เห็นว่าหลายวันมานี้
หนวดเคราของใต้เท้าผู้พิพากษายิ่งดึงก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
ก็แค่ความขัดแย้งเรื่องทรัพย์สินของพี่น้องเท่านั้นเองมิใช่หรือ
นี่เป็นคดีที่ดี ทุกคนในศาลาว่าการต่างชอบคดีประเภทนี้กันทั้งนั้น
เจอครั้งหนึ่ง ทุกคนได้กินอิ่มหนำกันครั้งหนึ่ง
เจอคดีแบบนี้ มีแต่จะดีใจ ไหนเลยจะมากลัดกลุ้ม
“พี่น้องขัดแย้งกันอย่างนั้นรึ นั่นต้องดูว่าพี่น้องที่ขัดแย้งกันเป็น
ใคร” ผู้พิพากษาเอ่ย เขาเคาะลงบนหนังสือคำร้องบนโต๊ะ “นี่มันแซ่
เฉิงนะ แซ่เฉิง”
ข้าหลวงชะโงกหน้าไปมองแวบหนึ่ง“แซ่เฉิงแล้วอย่างไรหรือขอรับ” เขาถาม
ผู้พิพากษาเหลือบมองเขา
“แซ่เฉิงแล้วอย่างไรอย่างนั้นรึ” เขาเอ่ย “ข้าหลวงหวัง เจ้ารู้
หรือไม่ว่าเจ้าเป็นข้าหลวงฝ่ายขวานี้ได้อย่างไร”
ข้าหลวงหวังแย้มยิ้มประจบประแจง
“ข้าน้อยจำ ได้ว่าล้วนเป็นการชี้แนะของใต้เท้า” เขาบอก
ผู้พิพากษาแค่นเสียงใส่
“ผิดแล้ว ความจริงคือคนแซ่เฉิงช่วยเหลือเจ้าต่างหาก” เขา
บอก
หา ข้าหลวงหลิวเบิกตาโตอย่างไม่เข้าใจ
“ตอนนั้นหลิวจิ่นเฉวียนทำตำแหน่งนี้อย่างยิ้มแย้มเบิกบาน ทั้ง
ยังเป็นคนสนิทของผู้ว่าราชการ แต่เพราะไปล่วงเกินคนตระกูล
เฉิงเข้า โดนเล่นงานเสียจนอับอายแล้วไล่ออกจากเมืองหลวงไป
มิฉะนั้นยามนี้เจ้าก็คงยังดูแลทุ่นระเบิดอยู่ที่ต้าซานอยู่น่ะสิ”
ผู้พิพากษาเบ้ปากบอก
ข้าหลวงหวังตกใจอย่างมาก“ไม่ใช่ว่าทำให้ใต้เท้าเกาโกรธ…” เขาเอ่ยขึ้น
ผู้พิพากษาถลึงตาใส่
“เจ้านี่มันไม่ได้เรื่องเสียจริง อยู่เมืองหลวงนานเพียงนี้แล้ว
ตั้ง
อกตั้งใจสืบข่าวคราวทั้งนอกทั้งในไว้จะดีกว่า ที่นี่คือเมืองหลวง
ที่นี่คือศาลาว่าการ ทั้งหูหนวกทั้งบื้อใบ้อย่างเจ้าจะอยู่รอดรึ” เขา
ตำหนิอย่างเดือดดาล
ข้าหลวงหวังพยักหน้าหงึกหงักขานรับ
ผู้พิพากษาไล่เขาออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ พลางมอง
ดูหนังสือคำร้องอย่างเหม่อลอยต่อ
แม่นางเฉิงเป็นคนที่ไม่อาจล่วงเกินได้ แต่ใต้เท้าเกาก็ยิ่งไม่อาจ
ล่วงเกินด้วยเช่นกัน
ทำให้แม่นางเฉิงโกรธ ตนก็จะมีจุดจบเหมือนเฝิงหลินคนนั้น
แต่หากทำให้ใต้เท้าเกาไม่พอใจ เขาก็จะมีจุดจบเหมือนหลิวจิ่น
เฉวียน ครานี้ไม่ว่าจะทำอย่างไรล้วนไม่อาจทำให้ฝ่ายใดพอใจได้
เจอทางตันเข้าให้แล้ว
ใต้เท้าผู้ว่าการปีศาจ!โยนเผือกร้อนในมือมาให้ตนเสียได้!
“ไม่ได้การแล้ว แม้คนที่ฟ้องจะเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่นาย
รองเฉิงก็เป็นขุนนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ศาลต้าหลี่มาตัดสิน!”
ผู้พิพากษาตบโต๊ะพลางเอ่ย
ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับประโยคนี้พอดี ข้าหลวงหวังที่เพิ่ง
จะโดนไล่ออกไปวิ่งเข้ามาอีกครั้ง
“ใต้เท้า กุยเต๋อหลางเจียงนายใหญ่โจวมาแล้วขอรับ” เขาบอก
กุยเต๋อหลางโจว! ผู้พิพากษาตัวสั่น แม่นางเฉิงส่งคนมาพูดคุย
ดังคาดจริงๆ
“คดีนี้ตัดสินยากมากหรือ”
กุยเต๋อหลางนายใหญ่โจวเอ่ยถามเข้าประเด็นทันที
สมกับเป็นคนที่แม่นางเฉิงส่งมาจริงๆ ท่าทางน่าเกรงขาม
ไม่ด้อยไปกว่าคนของทางท่านชายเกาเลยแม้แต่น้อย
ผู้พิพากษาแย้มตอบอย่างเสียไม่ได้
“ไม่ยาก ไม่ยากขอรับ” เขาบอก“เช่นนั้นเหตุใดหลายวันมานี้กระทั่งการเคลื่อนไหวยังไม่มีเลย
เล่า” นายใหญ่โจวถลึงตาถาม
ผู้พิพากษาลังเลครู่หนึ่ง
“เช่นนั้น ใต้เท้าโจวเห็นว่าควรตัดสินอย่างไร” เขาถาม
“นี่ยังต้องถามอีกหรือ” นายใหญ่โจวแค่นเสียงเอ่ย “หลักฐาน
ชัดเจนอยู่ทนโท่ เฉิงต้งผู้นี้มีกิจการส่วนตัว ในนามของภรรยาของ
เขาด้วย เป็นการแยกบ้านแยกครอบครัวจัดเก็บทรัพย์สินของใคร
ของมัน”
ผู้พิพากษาพยักหน้าหงึกหงัก
“ขอรับ ขอรับ ที่ไม่กล้าพูดก็เพราะแยกบ้านแยกครอบครัว
จัดเก็บทรัพย์สินของใครของมันนี่แหละ…เอ๊ะ” เขาเผลอพูดตามออก
ไปจึงได้รู้สึกตัวขึ้น ตกใจเงยหน้ามองนายใหญ่โจว
เขาว่าอย่างไรนะ
“จะไม่กล้าพูดว่าแยกบ้านแยกครอบครัวจัดเก็บทรัพย์สินของ
ใครของมันได้อย่างไร เพราะนี่มันคือการแยกบ้านแยกครอบครัว
จัดเก็บทรัพย์สินของใครของมันชัดๆ เลยด้วยซ้ำ ” นายใหญ่เอ่ยผู้พิพากษามองเขา
“นายใหญ่โจว แต่นั่นเป็นบิดาของแม่นางเฉิงนะขอรับ” เขา
บอก
“บิดาแล้วอย่างไร บิดาทำเรื่องพรรค์นี้ คนเป็นลูกเต้าต้อง
ปกปิดให้เขาอย่างนั้นรึ บิดาเป็นใหญ่ วงศ์ตระกูลสิที่ใหญ่กว่า
เจ้าอยากจะให้แม่นางเฉิงแบกรับข้อหาหลอกลวงปกปิดวงศ์ตระกูลรึ
แม่นางเฉิงเป็นคนเช่นนั้นหรือไร” นายใหญ่โจวพ่นออกมาเป็นชุด
ผู้พิพากษามองเขาแล้วพยักหน้าช้าๆ
“อ้อ ข้าเข้าใจแล้วขอรับ” เขาพูดเสียงเอื่อย “เช่นนั้นเรื่องนี้ก็
จัดการได้ง่ายแล้วขอรับ”
พอส่งนายใหญ่โจวกลับไป ผู้พิพากษาก็ตบโต๊ะ
“ใครก็ได้” เขาเอ่ยเรียก
ข้าหลวงหวังรีบเข้ามา เห็นผู้พิพากษาชูหนังสือคำร้องขึ้น ก็รีบ
ยื่นมือไปรับมา
“ใต้เท้าต้องการส่งไปศาลต้าหลี่หรือขอรับ ข้าน้อยจะไปส่งให้
เอง” เขาเอ่ยอย่างประจบเอาใจผู้พิพากษาส่งเสียงถุยใส่เขา
“เจ้าโง่ไปแล้วหรือ เรื่องดีๆ เช่นนี้จะส่งไปให้ศาลต้าหลี่ได้
อย่างไร” เขาบอก “ไปตามโจทก์กับจำ เลยมาที่ศาล ข้าจะตัดสินคดี”
เรื่องดีอย่างนั้นรึ
นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่กลัดกลุ้มทำเอาหนวดเคราผมเผ้ายุ่งเหยิง
จะกลายเป็นเรื่องที่ดีไปได้
ข้าหลวงหวังรับหนังสือคำร้องมาอย่างงุนงง
ในเมืองหลวงแห่งนี้มีแต่ความไม่แน่นอนจริงๆ
“นายท่าน!”
ฮูหยินรองเฉิงเห็นตราประทับบนหนังสือของทางการ ก็เสียใจ
น้ำตานองหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ หากไม่ได้แม่นมด้านหลังสองคนพยุง
ไว้ นางคงได้เป็นลมล้มลงไปกับพื้นแล้ว
“ลำบากแล้ว” นายใหญ่เฉิงยิ้มเอ่ยกับขุนนางชั้นผู้น้อย
ผู้ติดตามด้านข้างรีบส่งซองแดงให้
เหล่าขุนนางชั้นผู้น้อยไม่ได้ปฏิเสธ ยิ้มพลางรับมา“หนังสือเปลี่ยนแปลงแล้ว นายใหญ่เฉิงท่านเก็บไว้ให้ดี
พวกเราขอตัวก่อนแล้ว” พวกเขาบอก
นายใหญ่เฉิงยิ้มพลางส่งแขก
“เรือนนางฟ้าจัดการเรียบร้อยแล้ว เชิญทุกท่านลองไป
ใช้บริการดูเถิด” เขาบอก
ฟังสิ นี่เริ่มวางท่าวางทางของเจ้าของร้านแล้ว!
นายรองเฉิงที่อยู่ด้านหลังใบหน้าเขียวคล้ำ
ในหลายวันมานี้ที่ตนถือครองร้านรวงเหล่านี้ ล้วนไม่ได้คิดไว้
เลยว่าจะต้องไปที่นั่นเชิญคนมาเลี้ยงกินดื่มให้สำ ราญใจ! เพราะกลัว
ว่าจะสิ้นเปลือง
หากรู้แต่แรกจะประหยัดเงินนี้ไว้เพื่ออะไรเล่า! เพื่อเป็น
ชุดแต่งงานให้คนอื่นอย่างนั้นหรือ
พอส่งขุนนางชั้นผู้น้อยกลับไปแล้วนายใหญ่เฉิงก็หันหลังไป
เห็นนายรองเฉิง รอยยิ้มก็พลันหายไป
“พี่ใหญ่ ที่พี่ถือไว้อย่าให้มันลวกมือก็ไว้แล้วกัน” นายรอง
เฉิงกัดฟันบอก“ข้าถือความยุติธรรมไว้ หากเจ้าถือไว้คงได้ลวกมือแน่”
นายใหญ่เฉิงบอกด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “นี่ข้ากำลังเป็นห่วงเจ้า ครั้งนี้
หากข้าไม่รอบคอบ ป่านนี้เจ้าได้โดนส่งไปศาลต้าหลี่ กระทั่ง
ตำแหน่งขุนนางก็รักษาไว้ไม่ได้แล้ว”
“ท่านยังมาห่วงข้าอีกรึ นี่เป็นสิ่งที่ท่านห่วงข้ารึ” นายรอง
เฉิงตวาด ดวงตาแดงก่ำ “ข้า ข้า…”
เขาหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้าจะบอกท่านแม่…”
“บอกแม่เรื่องอะไร” นายใหญ่เฉิงยิ้มเย็น “บอกแม่ว่าเจ้าแย่ง
เอากิจการของลูกสาวเจ้ามา ไม่ให้ท่านแม่ กลับยังจะเอาไปให้
ภรรยาเก็บซ่อนไว้อย่างนั้นรึ”
“เจ้าไม่กลัวท่านแม่ไปฟ้องร้องเจ้าว่าเนรคุณหรือไร”
นึกไปถึงนิสัยของมารดา นายรองเฉิงก็ชะงักไปอย่างห้ามไม่อยู่
แม้ว่ามารดาจะภาคภูมิใจในตนมาโดยตลอด มั่นหมายอยาก
ได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์จากตน รักใคร่ตนที่สุด แต่หักใจให้ตนจากบ้านมาไม่ได้ สองสามีภรรยาเฒ่านี่เฝ้าท่านแม่ไว้ ไม่รู้ว่าเป่าหูใส่ร้าย
ตนไปตั้งเท่าใดแล้ว
หากโดนฟ้องร้องว่าเนรคุณเข้าจริง เมืองหลวงแห่งนี้ก็ไม่อาจ
อยู่ต่อได้แล้วจริงๆ
“เจ้าจัดการตัวเองให้ดีเถิด” นายใหญ่เฉิงมองนายรองเฉิงที่
เดือดดาลจนพูดไม่ออก เอ่ยเสียงเรียบแล้วก้าวเดินออกไป
“เป็นห่วง!”
นายรองเฉิงพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ก็หยุดฝีเท้าโวยวายขึ้น
มา
“พี่ใหญ่ ในร้านนั่นยังมีเงินของข้านะ ท่านต้องคืนให้ข้า”
นายใหญ่เฉิงหัวเราะหยัน
“เจ้าบอกว่ามีก็มีหรือ”
“พี่ใหญ่ นี่เรื่องจริงนะ นาง…เจียวเหนียงใช้เงินมาซื้อนางโลม
แล้ว ในร้านหมุนเวียนไม่ได้ เป็นข้าที่เอาสินสมรสมาโปะจึงได้ครบ”
นายรองเฉิงรีบบอก ก้าวตามนายใหญ่เฉิงไป “ทั้งยังแลกซื้อเป็น
เครื่องประดับอีกจำ นวนหนึ่งด้วย”นายใหญ่เฉิงฝีเท้าไม่หยุดลง
“ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าพูดเท่านั้น เจ้าบอกว่าเจ้าโปะเงินไปมากมาย
ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้าถือบัญชีไว้นานเพียงนี้ โลภเอาเข้าตัวไปตั้งเท่าใด”
เขาเอ่ย “ข้าไม่มาทวงเงินกับเจ้าก็ดีแค่ไหนแล้ว เจ้ายังจะมาทวงกับ
ข้าอีก”
สวรรค์! ใส่ร้ายกันเกินไปแล้ว!
“พี่ใหญ่! ฟ้าดินเป็นพยานข้ามีมโนธรรมพอ!”
นายรองเฉิงร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่ออกมาอีกระลอก พลางตบ
หน้าอกตนเอง
“ฟ้าดินเป็นพยาน! ฟ้าดินเป็นพยานว่าข้ามีคุณธรรม!”
เหตุใดคนจึงใจดำได้ถึงเพียงนี้! ยังมีความยุติธรรมอยู่หรือไม่!
เงินของข้า! เครื่องประดับของข้า! ไหนจะกำไรที่เพิ่มขึ้นในบัญชี
ที่เห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งนั่นอีก! อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น อีกแค่ไม่กี่
วันก็จะครบเดือนแล้ว นางก็จะได้มันมาแล้ว!
สวรรค์!
“อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว! ตายๆ ไปให้มันจบไปเสีย!”ภายในเรือนของกสกุลเฉิงเข้าสู่ความโกลาหลอีกครั้ง
ต้นเดือนสี่ ยามฟากฟ้าสว่างจ้า คลอเคล้ากับจังหวะเครื่องเป่า
และเครื่องตีของเหล่านักดนตรี ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์เลิก
ประชุมแล้วเสด็จกลับไป เฉินเซ่าและขุนนางคนสำ คัญคนอื่นๆ
ประชุมกันต่อที่ตำหนักฉินเจิ้ง ส่วนขุนนางด้านอักษรและการทหาร
คนอื่นๆ สามารถแยกย้ายกันไป
ข้างกายท่านชายเกาห้อมล้อมไว้ด้วยผู้คนมากมายหัวเราะ
พูดคุยกันเหมือนดังที่ผ่านมา
“ยังนึกว่าท่านชายเกาจะไม่มาร่วมประชุมเช้าเพราะอับอาย
เลยอ้างบอกว่าป่วยแล้วเสียอีก” ขุนนางคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกำลัง
มองมาหัวเราะพลางกระซิบ
ขุนนางอีกคนส่งเสียงอืมออกมา
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาบอก “ท่านชายเกาไม่ได้ป่วย
ไม่แกล้งป่วยลางาน ส่วนคนๆ นั้นที่บาดเจ็บจริงๆ ก็ไม่ได้ลาป่วย
ซ้ำ ยังมาร่วมประชุมด้วยนะ”พูดไปพลางเงยหน้าขึ้นไปมองอีกด้าน ขุนนางที่เอ่ยขึ้นมาก่อน
มองไปยังด้านนั้น เห็นทางด้านนั้นก็มีสองสามคนกำลังหัวเราะ
พูดคุยกันอยู่เช่นกัน
คนพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นบรรดาจิ้นซื่อหน้าใหม่ที่เพิ่งจะรับ
ตำแหน่ง[1]
“อ้อ เฉิงจิ้นซื่อคนนั้นนะรึ” เขายิ้มเอ่ย สายตามองไปยังมือของ
ท่านชายเฉิงสี่ “เสียดายก็แต่แขนเสื้อของชุดขุนนางยาวเกินไป”
สายตาที่กวาดมองไปยังแขนของท่านชายเฉิงสี่ไม่ได้มีเพียงแค่
เขาคนเดียว
ท่านชายเฉิงสี่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ยังคงหัวเราะพูดคุยกับ
เพื่อนร่วมงานอยู่ กระทั่งพอมีคนจงใจถามถึงแผลของเขาด้วย
เจตนาไม่ดี เขายังชูมือขึ้นเลิกแขนเสื้อขึ้นให้อย่างใจกว้าง
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แค่บาดแผลภายนอกเท่านั้น” เขายิ้มบอก
แผลภายนอกอย่างนั้นรึ
“ไม่ใช่ว่าขาดไปแล้วรึ” มีคนถามอย่างตกใจ
ท่านชายเฉิงสี่หัวเราะออกมายกใหญ่“จะขาดได้อย่างไร! โวยวายในงานเลี้ยงสุรา แค่การขัดแย้ง
ลงมือลงไม้ปะทะกันทางวาจากันเท่านั้นเอง ไหนเลยจะบาดเจ็บไป
ถึงเอ็นถึงกระดูกได้” เขายิ้มบอก “เจ้าพูดเช่นนี้ เห็นท่านชายเกาเป็น
คนเช่นไรกัน!”
ขุนนางคนนั้นไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ท่านชายเกาตามอำเภอใจ
ได้ยินเข้าก็รีบยิ้มตาม ไม่กล้าพูดอะไรมากความอีก
“ไป ไป ยากนักที่จะได้มารวมตัวกันเช่นนี้ ข้าเลี้ยงเอง”
ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มเอ่ย เรียกคนข้างกาย
คนที่สามารถใช้เงินห้าหมื่นตำลึงมาซื้อตัวนางโลมได้ การเลี้ยง
มื้อนี้คงต้องไม่ธรรมดาแน่ ทันใดนั้นก็มีคนไม่น้อยมาห้อมล้อม
“มีแม่นางจูมาร่วมด้วยได้หรือไม่” ยังมีคนยิ้มถามอย่าง
สนอกสนใจ
“แน่นอนว่าได้อยู่แล้ว”
เสียงหัวเราะกังวานของท่านชายเฉิงสี่ลอยมา แฝงไว้ด้วย
ความยิ้มแย้มเบิกบานอย่างยิ่ง
เสียงหัวเราะนี้เรียกคนที่อยู่รอบๆ ให้ต่างมองมาจิ้นซื่อสี่ร้อยกว่านายไม่สามารถทำให้ทุกคนต่างจดจำ กันได้
หมด แต่ท่านชายเฉิงสี่ที่มีลำดับท้ายๆ นี้กลับทำได้ แม้ว่าจะโด่งดัง
เพราะเรื่องแย่งชิงนางโลมของหอเต๋อเซิ่งก็ตาม
“สมกับเป็นวัยหนุ่มที่เข้มแข็งไร้ขีดจำ กัดเสียจริง” มีคนลูบเครา
ส่ายหน้าทอดถอนใจ ดูจากสีหน้าเหมือนจะไม่พอใจกับบรรดา
เด็กหนุ่ม แต่พอฟังที่พูดกลับคล้ายว่าอิจฉา
“คนเหลวไหลทำเรื่องเหลวไหล นึกไม่ถึงเลยว่าจะไม่ละอายใจ
เลยแม้แต่น้อย” แน่นอนว่าย่อมมีคนเอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจมาก
เช่นกัน “มีเช่นนี้ด้วยหรือไร”
ไม่ว่าพวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร พร้อมกันกับการ
จากไปของท่านชายเฉิงสี่ ในที่สุดเรื่องนี้ก็กลายเป็นแค่เรื่องที่
ว่ากล่าวเด็กหนุ่มเหลวไหลเท่านั้น แม้ว่าจะไม่มีเกียรติใด แต่อย่างไร
เสียก็เป็นเรื่องส่วนตัว อีกทั้งยังหนุ่มยังแน่น อย่างไรเสียก็ไม่ใช่
เรื่องใหญ่อะไร
พูดถึงเรื่องเหลวไหลไร้สาระที่กระทำตอนหนุ่มๆ ขึ้นมา ขุน
นางในราชสำ นักก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครไม่เคยทำท่านชายเกามองคนที่แยกย้ายกันไปรวมถึงคำวิจารณ์ที่ลอย
ผ่านหูมา รอยยิ้มบนสีหน้าก็ดูเหยเห
“เจ้าเด็กนี่หน้าใหญ่เสียจริง ยังวางท่าจากศัตรูกลายเป็นมิตร
กับกับท่าน ท่านบอกเมื่อใดกันหรือขอรับว่าไม่ถือสาหาความกับเรื่อง
นี้แล้ว” ผู้ติดตามกระซิบบอกด้วยสีหน้าเดือดดาล
“เหลวไหล!”
ท่านชายเกาเลิกคิ้วถลึงตาใส่เขา
“เจ้าเป็นคนโง่หรือไร คิดว่าข้าไม่รู้รึ ยังจะมาพูดต่อหน้าข้าอีก
จงใจด่าข้าใช่หรือไม่”
ผู้ติดตามประจบประแจงรีบยอมรับผิดทันที
ท่านชายเกาไม่สนใจเขาอีก มองไปยังทิศทางที่ท่านชายเฉิงสี่
และคนอื่นๆ ออกไปอีกครั้ง
ช่างหัวมันเถิด!
ช่างหน้าไม่อาย! ช่างไร้ยางอายเสียจริง!
แต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าคนที่ไร้ยางอายจึงจะมีชีวิตอย่าง
อิสระเสรี เขาทำท่าทำทางโอ้อวดไปทั่วอย่างไม่แยแสเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าเดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร กับตนก็แค่ยิ้มให้
เรื่องราวบุญคุณความแค้นก็เลิกแล้วต่อกันไป
หากยามนี้ตนไม่ส่งยิ้มให้แล้วลืมบุญคุณความแค้นที่ผ่านมา
ไป จะกลายเป็นคนใจแคบ เจ้าคิดเจ้าแค้นได้ กระทั่งล้อเล่นก็ยัง
ล้อเล่นด้วยไม่ได้
“สารเลวเอ้ย!”
ท่านชายเกาแค่นคำสามคำนี้รอดไรฟันออกมา
“ถุย”
เสียงดังขึ้นจากด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าแฝงไว้ด้วยความ
เดือดดาล
นี่ถุยให้ใครกันน่ะ
ท่านชายเกาหันกลับไปด้วยแววตาเกรี้ยวกราด สีหน้าพลัน
เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
“ฝ่าบาทผิงอ๋อง” เขารีบเอ่ยเรียกพลางคำนับให้
ชินอ๋องหนุ่มน้อยในชุดราชสำ นักสีหน้าเคร่งขรึมเอามือ
ไพล่หลังเดินมาแค่นหัวเราะด้วยความเย่อหยิ่งนี่นับว่าไม่เลวแล้ว หากคนตรงหน้าไม่ใช่ท่านชายเกาล่ะก็
กระทั่งแค่นเสียงก็จะแค่นไม่ได้
“ฝ่าบาท เหตุใดจึงไม่เบิกบานเล่าพ่ะย่ะค่ะ” ท่านชายเกาเอ่ย
ถาม
“เบิกบานหรือ” ผิงอ๋องเอ่ยเสียงเรียบ “เหตุใดจึงไม่เบิกบาน
อย่างนั้นรึ เจ้าไม่รู้เรื่องที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องได้ชัยชนะยิ่งใหญ่จากเหตุไม่
สงบในเม่าผิงหรือไร”
[1] บรรดาจิ้นซื่อใหม่ที่รับตำแหน่งโดยปกติแล้วล้วนเป็นตัวเลือกที่
มีลำดับขั้นแปดลงไป ไม่มีสิทธิเข้าร่วมการประชุมใหญ่ ตรงนี้ผู้เขียน
นำมาใส่ไว้เพราะเนื้อเรื่องจำ เป็นต้องมี