พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 536 พูด
ข่าวคราวเหตุจลาจลที่เม่าผิงสงบลงแล้วได้แพร่สะพัดไป
พร้อมกับการเลิกประชุมเช้าอย่างรวดเร็ว
ทุกคนภายในวังหลวงย่อมรู้ข่าวคราวกันหมด เพราะจิ้นอัน
จวิ้นอ๋องได้ฝากของขวัญมากับคนแจ้งข่าวดีให้ถวายให้ไทเฮาและ
ฮ่องเต้ด้วย
“เจ้าเด็กสวะนั่น!”
ภายในตำหนัก กุ้ยเฟยเกรี้ยวกราดอยู่นาน ถ้วยชาที่โยนแตก
บนพื้นถูกเก็บกวาดจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว ทว่าทุกคนต่างยังคง
ตื่นตระหนกกันอยู่
“นึกไม่ถึงว่าของขวัญที่ส่งมาจะไม่มีของข้า”
ขันทีเดินวนไปมาตามนางด้วยสีหน้าจนใจ
“กุ้ยเฟย นั่นเป็นแค่จี้ห้อยขึ้นชื่อของท้องถิ่นนั่น…”
“ของเล็กน้อย แต่น้ำใจใหญ่ยิ่ง” กุ้ยเฟยเลิกคิ้วเอ่ย “เจ้าเด็กนั่น
รู้จักวางตัวตั้งแต่เด็ก เอาอกเอาใจทุกคนให้ชื่นชอบ ขนาดชิ่งอ๋องได้รับบาดเจ็บมาหลายปี เขายังไม่เคยขาดน้ำใจให้ข้าเลย เหตุใดครา
นี้จึงดันมาลืมของข้าได้เล่า”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ ไม่ควรเลย จิ้นอันจวิ้นอ๋องพิถีพิถันเรื่อง
มารยาทน้ำใจเพียงนั้น หรือคนแจ้งข่าวจะลืมพ่ะย่ะค่ะ” ขันที
ขมวดคิ้วเอ่ย
เรื่องนี้แปลกประหลาดนัก ตามหลักการแล้วจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
ไม่มีทางเป็นเช่นนี้
“แปลกหรือ ไม่แปลกหรอก” กุ้ยเฟยยิ้มเย็นพลางเอ่ย
“เมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้ ยามนี้เป็นไปแล้ว เพราะเขาปีกกล้าขาแข็ง
แล้ว พอได้ออกไป และสามารถจัดการงานราชการได้แล้ว ซ้ำ ยัง
สามารถพาทหารไปด้วยได้ ทั้งยังชนะศึกอีก มีความสามารถกว่า
เดิมแล้ว ที่สำ คัญคือ…”
นางพูดถึงตรงนี้ฝีเท้าก็หยุดลง
“มีชื่อเสียงดีงามแล้ว”
“กุ้ยเฟย นี่เรียกว่าชื่อเสียงดีงามอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ” ขันทียิ้มเอ่ย“จะไม่เรียกได้หรือ” กุ้ยเฟยเลิกคิ้วเอ่ย “เช่นนี้ต้องเรียกได้
อยู่แล้ว! ทุกคนต่างรู้ว่าเด็กเก็บมาเลี้ยงคนนี้ ไม่ใช่แค่สามารถให้บุตร
ได้เท่านั้น ยังสามารถออกรบได้ด้วย และยังสามารถทำงานให้ได้
ด้วย!”
“กุ้ยเฟย แล้วอย่างไรเล่า” ขันทีเอ่ยอย่างจนใจ
กุ้ยเฟยเริ่มจะวิตกกังวลได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะตอนที่
ได้ข่าวของจิ้นอันจวิ้นอ๋อง เดิมทีก็เป็นข่าวที่ธรรมดาทั่วไป แต่กลับ
ล้วนทำให้นางเสียสติได้
ดูท่าแล้วก่อนที่ใต้เท้าเกาจะไปได้บอกว่าให้ดูกุ้ยเฟยให้ดี คงจะ
ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ เสียแล้ว
กุ้ยเฟยมี…
“แล้วอย่างไรอย่างนั้นรึ”
กุ้ยเฟยหันหน้ากลับมามองเขา
แม้ว่าจะไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยแต่กุ้ยเฟยก็สามารถ
จินตนาการถึงความปรีดาของฮ่องเต้ได้ ราวกับข้างหูนางมี
เสียงหัวเราะยกใหญ่ของฮ่องเต้กึกก้องอยู่‘…เรารู้อยู่แล้วว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องจะไม่ทำให้เราผิดหวัง’
“ใต้เท้าเฉินโต้แย้งฝ่าบาทไป บอกว่าไม่ควรพูดเช่นนี้” ขันทีรีบ
เอ่ยขึ้น
กุ้ยเฟยหันมาถ่มน้ำลายใส่เขา
“แต่ฝ่าบาทยังคงตรัสว่า ไม่ว่าจะให้หรือไม่ให้พูด ฝ่าบาทก็ทรง
คิดเช่นนี้อยู่ดี” นางบอก
เหตุใดข้างกายจึงมีแต่คนโง่พวกนี้กันนะ
ขันทียิ้มแหย
“นี่ก็เดือนสี่เข้าไปแล้ว เหตุใดเรื่องแต่งตั้งรัชทยาทจึงยัง
ไม่ตัดสินพระทัยอีก” กุ้ยเฟยเอ่ย
“อ้อ เรื่องนี้เคยพูดถึงอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรีบบอก “ราชเลขาก็
แจ้งแล้ว ฝ่าบาทบอกว่าต้องการให้ความวุ่นวายที่เม่าผิงสงบลงก่อน
ค่อยว่ากันพ่ะย่ะค่ะ”
“ค่อยว่ากันรึ เหตุใดจึงต้องรอด้วย เรื่องนี้มีอันใดให้น่าหารือ
กัน” กุ้ยเฟยรีบเอ่ย“ฮองเฮาบอกว่าเดือนสี่เป็นวันคล้ายวันประสูติของไทเฮา
จะได้เฉลิมฉลองพร้อมกันพอดี” ขันทีบอก
“ฮองเฮารึ” กุ้ยเฟยเลิกคิ้ว “นางพูดเช่นนั้นรึ นางเริ่มมีปากมี
เสียงตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ขันทีหน้าเหยเก
“กุ้ยเฟย ดูเหมือนว่าร่างกายของฮองเฮาจะดีขึ้นมากแล้ว
วันก่อนยังเสด็จไปถวายพระพรไทเฮาอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ” เขาบอก
ทั้ง
ยังออกจากตำหนักมาได้อีกด้วยหรือ
“เหตุใดเรื่องนี้ข้าจึงไม่รู้” กุ้ยเฟยทั้งตกใจทั้งเดือดดาล
“เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้เหตุใดข้าจึงไม่รู้”
ในวังหลังแห่งนี้ ไม่ว่าเรื่องใดจะเกิดขึ้นก็อย่าได้นึกว่า
จะหลบเลี่ยงสายตานางไปได้
เป็นฮองเฮาอย่างนั้นหรือ นี่นางผู้นี้ได้ขึ้นมาควบคุมวังหลัง
อีกครั้งแล้วอย่างนั้นรึ
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่” ขันทีรีบปลอบ “กุ้ยเฟยวุ่นอยู่กับเรื่อง
เข้าพบผิงอ๋อง ทั้งยังได้โอกาสเสวยพร้อมหน้ากับผิงอ๋องซึ่งอย่างหาได้ยากยิ่ง กระหม่อมไม่กล้าเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มารบกวน
ท่าน อีกอย่างฮองเฮาก็แค่ไปนั่งครู่เดียวเท่านั้น ทรงนั่งเกี้ยวทั้งไป
และกลับ มีนางกำนัลพยุงไว้ทั้งยามเข้าออก ทำเอาไทเฮา
ตกอกตกใจยกใหญ่ นึกว่านางสีหน้ากลับมาดูสดใสก่อนที่จะตาย
เสียอีก”
กุ้ยเฟยหลุดหัวเราะออกมา แล้วรีบเลิกคิ้วตำหนิเขา
“พูดจาเหลวไหลอันใดของเจ้า!” นางเอ่ย “พูดเช่นนี้ออกมาได้
อย่างไร”
ขันทียิ้มตาหยี
“อยู่กับกุ้ยเฟยมีอะไรไม่อาจพูดได้บ้างพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยอย่าง
ประจบประแจง
กุ้ยเฟยถอนหายใจน้อยๆ สีหน้ายังคงกลัดกลุ้ม
“กุ้ยเฟย ท่านอย่ากังวลไปเลย ต่อให้ท่านไม่ทำอะไรเลย ผิง
อ๋องจะยังเป็นรัชทายาท เป็นว่าที่ฮ่องเต้อยู่ดี ต่อให้ฮองเฮาฟื้นตัว
กลับมาแข็งแรงดีแล้ว ในวังชั้นในนี้ก็มีแค่ชื่ออันทรงเกียรติที่ว่างเปล่าชื่อหนึ่งเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วก็ยังเป็นท่านที่สูงส่งที่สุดอยู่ดี”
ขันทีรีบยิ้มพลางเอ่ยปลอบอีกครั้ง
นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่า…
“ผิงอ๋องยังไม่ได้เป็นรัชทายาท ใจข้าก็ไม่อาจสงบได้เลยสักวัน”
กุ้ยเฟยบอก นางกุมมือไว้สองข้างมองไปนอกประตู
ใต้เท้าเกาพูดถูก กุ้ยเฟยมีปมในใจเข้าให้แล้ว
“บอกคนข้างนอกไปว่าข้าไม่อยากเห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับ
วังหลวงมาอีกแล้ว” กุ้ยเฟยเอ่ยอย่างเนิบช้า “และข้าก็ไม่อยากได้ยิน
ข่าวดีของจิ้นอันจวิ้นอ๋องอีกแล้วเช่นกัน”
นางเน้นหนักคำว่าดี
คำพูดน่าสยองเช่นนี้รวมถึงความนัยของมันกลับไม่ได้ทำให้
ขันทีตกใจเลยสักนิด เขาแค่ลังเลสงสัยเท่านั้น
“กุ้ยเฟย ใจร้อนเกินไปหรือไม่ สู้ค่อยๆ ทำจะดีกว่า…” เขา
กระซิบเสียงเบา
“ค่อยๆ อะไรอีก! ช้ามาสิบปีแล้ว ยังไม่พออีกรึ” กุ้ยเฟยเลิกคิ้ว
กัดฟันเอ่ยขันทีไม่กล้าพูดมากความรีบขานรับไปทันที
“ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ ข้าก็รู้ว่าพวกเจ้ากำลังคิดอะไรกันอยู่
ล้วนคิดกันอย่างรอบคอบ เชื่อถือได้ แต่บนโลกนี้มีเรื่องบางเรื่อง
ไม่อาจรอบคอบได้ หากพลาดไปก้าวหนึ่งแล้ว ก็จะพลาดไปทั้งหมด”
กุ้ยเฟยเอ่ยอย่างเชื่องช้า “พวกเจ้าคิดว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่มีค่าให้
พูดถึงใช่หรือไม่ บีบเขาให้ตายนั้นง่ายมากกระมัง”
“บ่าวไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรีบก้มหน้าบอก
กุ้ยเฟยแค่นเสียงหัวเราะ
“พวกเจ้าไม่กล้า” นางเอ่ย “แต่พวกเจ้าก็ไม่ได้คิดดูกันบ้าง นี่
มันสิบปีเข้าไปแล้ว หลายครั้งหลายครากลับมักจะชวดไปได้
พอดิบพอดีเช่นนั้น วางยาในอาหารก็มีหมอหลวงหลี่ผู้เลื่องชื่อรักษา
จนหาย ล่าสัตว์กลับมาก็มีผิงอ๋องร่วมทางจึงหมดหนโอกาสลงมือ
กว่าจะออกจากวังไปได้ ระหว่างทางสะดวกแต่ก็ดันเจอคนป่าคน
เถื่อนร่วมมือกันฆ่าหมาป่า… เขาจะโชคดีและดวงแข็งเกินไปแล้ว
กระมัง”
นางพูดถึงตรงนี้ก็หันกลับมามองขันที“เจ้านั่นดวงแข็งนัก และจะแข็งขึ้นเรื่อยๆ คิดจะบีบเขาให้ตาย
เกรงว่าจะไม่ง่ายเพียงนั้น และไม่ได้ง่ายดายอย่างที่พวกเจ้าคิดกัน”
ขันทีพยักหน้า ขานรับอย่างเคร่งขรึม
“กุ้ยเฟยรอบคอบยิ่ง” เขาเอ่ย “เดี๋ยวบ่าวจะรีบให้คนไปจัดการ
เลยพ่ะย่ะค่ะ”
พูดถึงตรงนี้ก็หยุดเว้นไปครู่หนึ่ง
“แล้วก็เรื่องรัชทายาท ก็ไม่อาจชักช้าต่อไปได้อีกแล้ว บ่าวจะ
ไปถามพวกใต้เท้าเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
กุ้ยเฟยพยักหน้า
“ไม่ใช่ว่าข้าใจร้อน เป็นพวกเจ้าที่ประมาทศัตรูเกินไป” นาง
บอก
ขันทีพยักหน้าขานรับ
“ข้าจะไปดูฮองเฮาเสียหน่อย” กุ้ยเฟยบอก “เรื่องดีเรื่องใหญ่
เพียงนี้ ข้าจะไม่ไปแสดงความยินดีได้อย่างไร”
ขันทีรีบเรียกคนให้มาช่วยผลัดผ้าเห็นกุ้ยเฟยถูกบรรดานางกำนัลและขันทีล้อมหน้าล้อมหลัง
ขันทีก็ยืนตัวตรง ส่ายหน้าไปมา
หากแต่ มันก็น่าแปลกอยู่จริงๆ นั่นแหละ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเสียมารยาทในครานี้ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จู่ๆ
ฮองเฮาก็ดีขึ้นหรือไม่
ความคิดแวบขึ้นมาในหัว ขันทีส่ายหน้ายิ้มๆ อีกครั้ง
จะเกี่ยวอะไรกันได้ อีกทั้งต่อให้เกี่ยวข้องกัน แล้วอย่างไรเล่า
ถึงแม้ฮองเฮาจะร่างกายแข็งแรงกว่านี้ ก็เป็นได้แค่ฮองเฮา จวิ้นอ๋อง
ทำให้ฮ่องเต้และไทเฮาทรงพอพระทัยกว่านี้ มีคุณูปการมากกว่านี้ ก็
เป็นได้แค่จวิ้นอ๋องอยู่ดี
นอกเสียจะเพิ่มความริษยาให้แก่ตัวเอง นอกจากจะทำให้
คนอื่นไม่ชอบแล้ว ก็ไม่มีข้อดีอีกเลย
คงเพราะใกล้จะถึงวันแต่งตั้งรัชทายาทเข้ามาเรื่อยๆ จึงอยาก
สร้างความประทับใจให้แก่ฮ่องเต้สุดชีวิต เพื่อในอนาคตจะได้
มีความมั่นคงเพิ่มขึ้นดูท่าแล้ว ก็เหมือนกับตั๊กแตนหลังฤดูใบไม้ร่วงที่กลับมาดูสดใส
ก่อนที่จะตาย
ขันทียิ้มพลางก้าวเดินไป
ขณะเดียวกันนั้นเองยังไม่ทันมืดค่ำในหอเต๋อเซิ่งก็มี
เสียงหัวเราะเบิกบานดังออกมาเป็นระลอก
ภายในห้องชั้นเลิศสุดหรูหรา คนเจ็ดแปดคนนั่งล้อมวงกัน
แน่นขนัด เบื้องหน้าของแต่ละคนมีนางโลมนั่งเคียงคู่ และหนึ่งในนั้น
คนที่ดึงดูดความสนใจที่สุดย่อมเป็นแม่นางจูที่อยู่ข้างกายท่านชาย
เฉิงสี่
แม่นางจูผมเผ้าสยาย ปักแค่ปิ่นหยกชิ้นเดียว บนใบหน้าก็แต่ง
แต้มเพียงบางเบา เหมือนว่าไม่ทันได้แต่งตัวก็รีบมาอย่างไรอย่างนั้น
“แม่นางจูนี่รีบร้อนมาพบท่านชายสี่เสียจริง กระทั่งไม่สนใจ
จะแต่งองค์ทรงเครื่องให้มากมาย” เหล่าขุนนางข้างกายเอ่ยอย่าง
สนุกสนาน
แม่นางจูปิดปากยิ้ม ดวงตาสองข้างขยับไหว ในขณะที่
กลอกกลิ้งไปมานั้นสามารถล่อลวงให้จิตใจหลงใหลใฝ่หา แต่สายตานี้ตกอยู่บนร่างของท่านชายเฉิงสี่ไม่ไปไหนเลย ทำให้คนภายในห้อง
ทั้ง
อิจฉาทั้งทอดถอนใจ
“เดิมทีคิดว่าใต้เท้ายังไม่หายบาดเจ็บไม่ออกจากบ้าน บ่าว
เกียจคร้านเบื่อหน่ายอยู่นาน ใต้เท้ามาอย่างกะทันหันเกินไป บ่าว
จึง…” แม่นางจูเอ่ยด้วยแววตำหนิ เขย่าแขนท่านชายเฉิงสี่ไปพลาง
ยกมือปิดหน้าไปพลาง “บ่าวอายคนจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านชายสี่ให้บ่าว
ไปแต่งตัวอีกรอบนะเจ้าคะ”
ภายในห้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมายกใหญ่อีกครั้ง
ความจริงแล้วคำพูดเช่นนี้ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก เหล่านางโลม
พวกนี้ไหนเลยจะไม่แต่งตัวแต่งหน้ามาพบแขกได้ ก็แค่เห็นว่าแขก
เลือกให้แต่งตัวเท่านั้น
รู้ว่านางกำลังเล่นละครแล้วอย่างไรเล่า ทุกคนมาที่นี่เดิมทีก็
เพื่อมาชมนางโลมที่คิดหาวิธีการมากมายมาเล่นละครเอาอกเอาใจ
ตัวเองกันอยู่แล้ว รู้จักว่าอะไรควรไม่ควรเช่นนี้ จึงจะเป็นเรื่องน่า
อภิรมย์ของโลกเทียบกับเสียงหัวเราะเบิกบานของคนงามในหอเต๋อเซิ่งแล้ว
สีหน้าท่านชายเกาที่ตามผิงอ๋องกลับมายังตำหนักผิงอ๋องนั้นอึมครึม
มาตลอดทาง แม้ว่าเบื้องหน้าจะมีการร่ายรำขับร้องของนางโลมอัน
งดงามชดช้อยอยู่ก็ตาม
“ฝ่าบาท พ่อข้าบอกว่าไม่ให้เลี้ยงนางโลมร้องรำไม่ใช่หรือไร”
ท่านชายเกาได้สติขึ้นมาเล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้น
ผิงอ๋องยังไม่ทันจะได้พูด หัวหน้าผู้ดูแลตำหนักด้านข้างก็รีบ
คำนับให้
“ใต้เท้า นี่ไม่ได้เลี้ยงไว้ขอรับ นี่ตั้งใจเตรียมการร้องรำถวายแก่
ไทเฮาในงานฉลองวันเฉลิมพระชนม์ ฝ่าบาทรักษาตนให้พ้นจาก
ความยุ่งยาก ไม่สนใจผู้ใด พวกบ่าวไม่กล้ากำเริบเสิบสาน
ตามอำเภอใจหรอกขอรับ” เขาบอก
“เอาละ ข้าไหนเลยจะมีความคิดเช่นนี้ ข้าอ่านตำรายังอ่าน
ไม่ได้เลย” ผิงอ๋องเอ่ยอย่างรำคาญ “เจ้าอย่าได้เหมือนพ่อเจ้านักเลย
ที่มองว่าข้าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาหลงทางได้ง่าย”
ท่านชายเกาพลันยิ้มพลางขานรับ“ฝ่าบาทตั้งอกตั้งใจอ่านตำรายิ่ง เหล่าใต้เท้าในราชสำ นักล้วน
บอกว่าหากฝ่าบาทเข้าร่วมสอบรับราชการในครั้งนี้ จะต้องได้สิบ
อันดับต้นมาแน่” เขายิ้มเอ่ย
นี่เป็นคำพูดที่ผิงอ๋องชอบฟังมาที่สุด ได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ดีขึ้น
มามาก
“ข้าได้ทำข้อสอบพวกนั้นจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรเหมือนกัน”
เขาบอก
ท่านชายเการีบชูจอกเหล้าขึ้น
“ข้าน้อยดื่มให้แก่จิ้นซื่อขอรับ” เขาบอก
ผิงอ๋องโดนหยอกจนหัวเราะออกมาแล้วส่งเสียงถุยไปคำหนึ่ง
“แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่สุราจิ้นซื่อของเรือนนางฟ้า” เขาก็ยิ้ม
ตามพลางเอ่ยขึ้นเช่นกัน
เอ่ยถึงเรือนนางฟ้าขึ้นมา รอยยิ้มของท่านชายเกาก็แข็งค้างใน
ทันใด
“เรือนนางฟ้า” เขากัดฟันเอ่ย ดื่มสุราหมดรวดเดียว “เรือนของ
นางฟ้าแท้ๆ ยังมีหน้ามาหลอกลวงคนได้”เรือนนางฟ้าเป็นของตระกูลเฉิง และเรื่องของท่านชายเกากับ
สกุลเฉิงในระยะนี้ ผิงอ๋องย่อมทราบอยู่แล้ว
“แม่นางเฉิงผู้นี้สอดมือมายาวเสียจริง” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“ขนาดจิ้นอันจวิ้นอ๋องยังแต่งตั้งนางให้เป็นทหาร ซ้ำ ยังให้ดูแล
ชิ่งอ๋องอีก เทียวเข้าออกตำหนักชิ่งอ๋องตามอำเภอใจ คนรับใช้ของ
ไทเฮาล้วนไม่กล้าถามมาก ถามไปคำหนึ่งกลับโดนนางตำหนิ”
ท่านชายเกาได้ยินก็เหมือนว่าจะระงับโทสะไว้ไม่อยู่ วางจอก
สุราลงบนโต๊ะอย่างแรง
“ฝ่าบาท นี่ล้วนเป็นเพราะราชสำ นักให้ท้ายนางเกินไป” เขา
บอก “เด็กสาวคนหนึ่ง แทบจะกลายเป็นตัวแทนเทพเซียนแล้ว ไม่แน่
ว่าอีกไม่นานได้โดนฮ่องเต้เชิญเข้าวังไปเล่นแร่แปรธาตุ
ขอความช่วยเหลือจากเต๋าจากเซียนแน่”
หญิงนางนี้สนิทกับจิ้นอันจวิ้นอ๋อง ทั้งยังได้ยินมาว่าสามารถ
รักษาชิ่งอ๋องสติไม่ดีคนนั้นได้อีก หากโดนฮ่องเต้ถูกใจอีกหนขึ้น
มาจริงๆ แล้วฟังคำนาง จิ้นอันจวิ้นอ๋องคนเดียวมาขัดแข้งขัดขาตนต่อหน้าฮ่องเต้ก็ยังพอทำเนา หากมีนางฟ้าเทพเซียนเพิ่มมาอีกคน
เช่นนั้นตนจะมีวันคืนอะไรได้อีก!
ผิงอ๋องขมวดคิ้ว ยากจะปกปิดความเกลียดชัง
“เด็กสาวคนเดียวไม่มีใครทำอะไรนางได้เลยหรือ”
ท่านชายเกาคล้ายเดือดดาลขึ้น
เด็กสาวคนเดียว…
ผิงอ๋องเงยหน้ามองท่านชายเกา ทันใดนั้นก็แย้มยิ้มออกมา
“เหตุใดจะไม่มีเล่า” เขาเอ่ย “เด็กสาวคนเดียว ก็ต้องมีสา
มีเป็นดั่งสวรรค์ หาสามีมาคุมนางสักคนก็เรียบร้อยแล้วนี่”
สามีรึ
ท่านชายเกาตกตะลึง เงยหน้ามองผิงอ๋อง
“ใครจะไปกล้าแต่งกับนาง ไม่ใช่ว่าไทเฮา…” เขาขมวดคิ้วเอ่ย
ผิงอ๋องมองท่านชายเกาอยู่ครู่หนึ่ง
“คนอื่นไม่กล้า แต่ใต้เท้า เจ้าก็ไม่กล้าไปอีกคนรึ” เขาเลิกคิ้ว
เอ่ยถาม