พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 537 ได้นกสองตัว
ข้าอย่างนั้นรึ
ท่านชายเกาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ฝ่าบาท พูดอะไรน่ะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย “ข้าไม่ชอบนางแพศยา
นั่นเสียหน่อย”
เพราะประโยคนี้ผิงอ๋องกลับยิ่งคิดว่าไม่เลว
“ข้าเคยเห็นนางแพศยานั่นมาก่อน หน้าตาก็ไม่เลว” เขาเอ่ย
“ฝ่าบาท นี่มิใช่ปัญหาของหน้าตาว่าเป็นอย่างไร” ท่านชายเกา
ส่ายหน้าเอ่ยบอก “เป็นไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ผิงอ๋องหลุดหัวเราะ
“เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้” เขาเอ่ย “ตระกูลนางเป็นใคร ตระกูล
เจ้าเป็นใคร คนตั้งกี่คนที่เยื้อแย่งกันจะแต่งกับเจ้า”
“ฝ่าบาท ยามนี้พวกเราเป็นศัตรูกันนะพ่ะย่ะค่ะ” ท่านชายเกา
เอ่ย“ก็เพราะเป็นศัตรูกันนะสิ จึงต้องแต่งกับนาง” ผิงอ๋องเอ่ย
สีหน้าแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น “แต่งนางมา นางก็จะเป็นคนของเจ้า
เห็นสามีเป็นดั่งสวรรค์ หากนางไม่เชื่อฟัง เจ้าก็จัดการนางเสีย”
พูดถึงคำว่าจัดการ มือของผิงอ๋องที่วางอยู่บนเข่าก็กำแน่น
อย่างห้ามไม่อยู่
“ใครบอกกันว่าถูกใจจึงแต่งงานด้วย ศัตรูสิที่เหมาะจะแต่ง
ด้วยที่สุด แต่งกลับไป อยากจะแก้แค้นอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
ใช้รองเท้าหนังทุบตีนาง ใช้เข็มทิ่มแทงนาง ให้นางหิวโซ ย่ำยีนาง…”
ใบหน้าผิงอ๋องเริ่มแดงก่ำขึ้นตามวาจาที่เอ่ย ลมหายใจก็หอ
บแรงขึ้นเช่นกัน
ขันทีที่ยืนรับใช้อยู่ด้านข้างรีบเอ่ยขึ้นทันที
“ฝ่าบาท เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานไม่อาจทำเป็นเล่นได้ ให้
ท่านชายเกาตัดสินใจเองเถิด” เขาบอก
“แล้วเหตุใดข้าจึงไม่อาจตัดสินใจได้!”
ผิงอ๋องที่โดนขัดความคิดขึ้นก็เดือดดาลโดยพลัน
“แผ่นดินนี้ล้วนเป็นคนของข้า ข้าจะตัดสินใจให้ไม่ได้เลยรึ”ท่านชายเการีบขานรับ ขันทีคนนั้นกลับไม่ได้พูดอะไรอีก เห็น
ผิงอ๋องอารมณ์สงบลง เขาจึงได้ถอนหายใจแล้วออกไป
“ฝ่าบาทพูดถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ท่านชายเกาเอ่ยขึ้น “แต่ว่า
แม่นางเฉิงนั่นไม่เหมือนหญิงปกติทั่วไป อยากจะแต่งงานกับนาง
เกรงว่าจะไม่ง่ายดายนัก”
ผิงอ๋องแย้มยิ้มอย่างเหยียดหยาม
“เมื่อก่อนมีแต่คนบอกว่าเจ้าโอหังมุทะลุดุดัน ยามนี้ดูท่าแล้วก็
ไม่เท่าใดนัก ยังไม่กำเริบเสิบสานโอหังเท่าแม่นางเฉิงนั่นเลย” เขา
เอ่ย
ท่านชายเกาแย้มยิ้มอย่างละอายเหมือนแมวแสนเชื่อง
“ฝ่าบาทล้อเล่นแล้ว นั่นล้วนเป็นคนนอกที่ริษยาอำนาจของ
ท่านพ่อข้า จงใจให้ร้ายข้า ข้าอยู่ที่เรือนเป็นอย่างไรฝ่าบาทไม่ทราบ
อีกหรือ ท่านพ่อสั่งสอนอบรมเข้มงวดกับพวกเราพี่น้องยิ่ง” เขายิ้ม
ขื่นพลางเอ่ย “มิฉะนั้นแล้วทะเลาะเบาะแว้งกับท่านชายเฉิงสี่นั่นที่หอ
เต๋อเซิ่งในครานี้ ข้าจะอเนจอนาถเช่นนี้ได้อยางไร ซ้ำ ยังกลัวท่านพ่อ
รู้เข้าแล้วจะลงโทษข้าอีก”ผิงอ๋องหัวเราะ
“อเนจอนาถจริงๆ นั่นแหละ ตอนนั้นเจ้าน่าจะต่อยพวกเขาไป
สักยก ยามนี้โดนเอาเปรียบไปเสียเปล่า ซ้ำ ยังโดนหัวเราะเยาะอีก”
เขาเอ่ย
“ขายหน้ายิ่งนัก ฝ่าบาทอย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย หากพูดถึงต่อไป
ข้าได้ไม่มีหน้าไปพบใครแน่” ท่านชายเกาโบกมือเอ่ยอย่างละอาย
“หากไม่จัดการแม่นางเฉิงนั่นให้เรียบร้อย ชาตินี้ทั้งชาติเจ้าได้
ไม่มีหน้าไปพบใครเขาแน่” ผิงอ๋องเอ่ย “เรื่องแต่งงานแต่งการ
มีพ่อแม่เป็นคนตัดสินใจ มีแม่สื่อเป็นคนจัดการ แม่นางเฉิงนั่น
จะมาตัดสินใจเองได้หรือ”
ท่านชายเกาแย้มยิ้ม
“ฝ่าบาทยังเด็กอยู่ จะเป็นพ่อสื่อแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
คำหยอกล้อนี้ทำให้ผิงอ๋องรู้สึกอับอายขายหน้า
“ข้าเป็นพ่อสื่อไม่ได้หรอก แต่ไทเฮาคงเป็นได้กระมัง” เขา
เลิกคิ้วเอ่ย“ไทเฮาหรือ” ท่านชายเกาทั้งตกใจทั้งตระหนก รีบโบกมือทันที
“เรื่องพรรค์นี้จะรบกวนไทเฮาได้อย่างไร เช่นนั้นจะไม่กลายเป็น
สมรสพระราชทานของราชสำ นักไปหรอกหรือ”
สมรสพระราชทานของราชสำ นัก!
ผิงอ๋องดวงตาเป็นประกาย เขานั่งหลังตั้งตรง
“เช่นนั้นจะไม่ยิ่งดีเข้าไปใหญ่หรือไร” เขาเอ่ยด้วยความ
ลำพองใจ “พระราชโองการจากพระกรุณาของไทเฮา ข้าไม่เชื่อว่า
ตระกูลเฉิงจะปฏิเสธ”
ท่านชายเกายังคิดจะเอ่ยบางอย่าง แต่ผิงอ๋องกลับโบกมือ
อย่างรำคาญแฝงไปด้วยความนัยว่าห้ามปฏิเสธ
“เรื่องนี้ก็เอาอย่างนี้แหละ ข้าจะไปทูลไทเฮา เจ้าไม่ต้องใส่
ใจแล้ว” เขาเอ่ย “เจ้าฝืนทนแต่งกับแม่นางเฉิงนั่น ก็เรียกได้ว่า
ช่วยเหลือข้า ข้าเกลียดนางนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อยากให้นาง
ไปมาหาสู่กับจิ้นอันจวิ้นอ๋องอีก”
ท่านชายเการีบลุกขึ้นจากที่นั่งคำนับให้“กระหม่อมไม่บังอาจต้องฝืนทนหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
“กระหม่อมรบกวนฝ่าบาทเป็นธุระให้แล้ว”
เห็นท่านชายเกาเดินออกจากประตูใหญ่ของจวนไป หัวหน้า
ผู้ดูแลที่ยืนส่งอยู่บนบันไดก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ใต้เท้า จะปล่อยให้เด็กคนนี้มาหลอกผิงอ๋องหรือขอรับ” ขันที
คนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
หัวหน้าผู้ดูแลแย้มยิ้มบาง
“นั่นต้องดูผลของการหลอกลวงแล้วล่ะ” เขาบอก “หากจัดการ
แม่นางเฉิงนั่นได้ ก็ไม่เป็นไร”
“เช่นนั้นจะให้ฝ่าบาทไปทูลขอสมรสพระราชทานจากไทเฮา
จริงๆ หรือขอรับ” ขันทีเอ่ยถาม
“ไปสิ ความคิดนี้ของฝ่าบาทไม่เลวเลย” หัวหน้าผู้ดูแลอมยิ้ม
พยักหน้า “เจ้าต้องรู้ว่าการกระทำของแม่นางเฉิงไม่เหมือนชาวบ้าน
ซ้ำ ยังสนิทชิดเชื้อกับจิ้นอันจวิ้นอ๋อง นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไรอยู่แล้ว แต่ง
เข้าตระกูลเกาไปเช่นนี้ ให้ตระกูลเกาควบคุมเอาไว้ ช่างดีเยี่ยมเสีย
ยิ่งกว่าดีเยี่ยมนัก”ขันทีส่งเสียงอ้อแล้วพยักหน้า สีหน้าผ่อนคลายลง
ส่วนทางด้านท่านชายเกาที่นั่งอยู่ก็หัวเราะออกมายกใหญ่
“นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะฉลาดเฉลียวเช่นนี้ ข้าพูดไม่กี่คำ
พระองค์ก็คิดถึงวิธีนี้ได้แล้ว” เขาเอ่ย
ผู้ติดตามที่อยู่ด้านข้างหัวเราะไปด้วย
“แล้วใต้เท้าคิดว่าวิธีนี้เป็นอย่างไรขอรับ” เขาเอ่ยถาม
ท่านชายเกาลูบคางสั้นท้วมไปมาพลางหรี่ตาลง นึกไปถึงชั่ว
ขณะที่เด็กสาวคนนั้นเดินเข้ามาในหอเต๋อเซิ่งจากด้านนอก
“นางแพศยานั่นหน้าตาไม่เลวจริงดังว่า” เขายิ้มบางเอ่ยขึ้น
งานเลี้ยงภายในหอเต๋อเซิ่งเลิกรา เหล่าขุนนางที่ดื่มกันเมามาย
หัวเราะพูดคุยขอตัวลาไป พลางห้ามท่านชายเฉิงสี่ที่จะลุกขึ้นเช่นกัน
เอาไว้
“พวกเจ้ามีคนรักก็อยู่พูดคุยเรื่องลับๆ ส่วนตัวกันไปก่อน”
บรรดาเพื่อนร่วมงานเอ่ยอย่างสนุกสนาน ปิดประตูให้เสร็จสรรพ
ภายในห้องเงียบงันลง ท่านชายเฉิงสี่ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก็
จางหายไป ทอดถอนใจด้วยความเหนื่อยล้าแม่นางจูลุกขึ้นเดินไปข้างหน้าต่างแล้วเปิดออก ลมวสันตฤดู
ค่อยๆ พัดพากลิ่นสุราภายในห้องออกไป
“ใต้เท้าเฉิง” นางรินชาร้อนถ้วยหนึ่งมาให้ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า
“เหนื่อยแล้วกระมัง”
ท่านชายเฉิงสี่นั่งหลังตรงรับมา
“ขอบใจมาก” เขาคำนับพลางเอ่ย ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าก็
เหนื่อยเช่นกัน”
ล้วนเล่นละครต่อหน้าผู้คน ล้วนเพื่อให้คนอื่นได้ดู
แม่นางจูส่ายหน้า แย้มยิ้มบาง
“บ่าวเหนื่อยไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ บ่าวต้องทำเช่นนี้” นางบอก
ท่านชายเฉิงสี่ถอนหายใจแผ่วเบา
“ไม่มีใครเกิดมาก็เป็นเช่นนี้หรอก” เขาบอก
ดังนั้น นี่คือโชคชะตา
“ท่านชายสี่ ท่านอย่าพูดเรื่องที่จะทำให้บ่าวเจ็บปวดเลย”
แม่นางจูยิ้มเอ่ย พลางยื่นมือไปพยุงแขนท่านชายเฉิงสี่ “บ่าวว่าควร
มีชีวิตอยู่เช่นนี้จึงจะถูก”คนงามผู้อ่อนโยนเข้ามาใกล้ ท่านชายเฉิงสี่ตื่นตระหนก
เล็กน้อย รีบเบี่ยงกายหลบ
แม่นางจูโผใส่ความว่างเปล่าจึงชะงักไป ก่อนจะปิดปาก
หัวเราะออกมา
“ท่านชาย ท่านหลบอะไรเจ้าคะ” นางเอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มแหย
“แม่นางจู เจ้าอย่าทำเช่นนี้” เขาบอก
แม่นางจูยิ้มอย่างฉงน
“ใต้เท้า เช่นนั้นข้าควรทำเช่นไร” นางบอก
“ทำเหมือนเดิมดังก่อนก็พอ” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ย หลบสายตา
แม่นางจู
แม่นางจูมองเขา ถอยไปเล็กน้อย คำนับให้อย่างเรียบร้อย
“ท่านชายเฉิง จูเหิงขออภัยท่านด้วยเจ้าค่ะ” นางบอกเสียงเบา
“ไม่ ไม่” ท่านชายเฉิงสี่รีบเอ่ยบอก “ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น เรื่อง
นั้น
ไม่เกี่ยวกับแม่นาง เป็นข้าเองที่ต้องการทำ”
“ท่านชายสี่ เกลียดจูเหิงหรือไม่เจ้าคะ” แม่นางจูก้มหน้าเอ่ย“ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้เกลียดเจ้า” ท่านชายเฉิงสี่ส่ายหน้าเอ่ย “หาก
จะเกลียดก็ต้องเกลียดตัวเองเท่านั้น อย่างไรเสียตอนนั้นแม่นางจูก็
ไม่ได้จงใจใช้ประโยชน์จากข้า กลับทำให้ข้าหลุดพ้นมาด้วยซ้ำ บอก
ให้ข้าออกไปเสีย ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพราะข้าเอง”
แม่นางจูเงยหน้ามองเขาแล้วแย้มยิ้มบาง
“อย่างนั้นหรือ” นางเอ่ย “จูเหิงก็เช่นกันเจ้าค่ะ เกลียดตัวเอง
เช่นเดียวกัน”
พูดถึงตรงนี้นางก็ยกถ้วยชาขึ้น
“บ่าวดื่มให้ท่านชาย”
ท่านชายเฉิงสี่รีบยกถ้วยชาขึ้น ทั้งสองมองหน้ากันก่อน
จะยกแก้วของตนขึ้นดื่ม
“ท่านชายเจ้าคะ”
แม่นางจูเห็นท่านชายเฉิงสี่ที่กำลังจะลุกขึ้นออกไปก็เอ่ยเรียก
เขาไว้
ท่านชายเฉิงสี่หันกลับมาอย่างฉงน
“ท่านชายสี่ เสียใจหรือไม่” แม่นางจูเอ่ยถามท่านชายเฉิงสี่แย้มยิ้ม
“น้องสาวข้าบอกว่าบนโลกนี้ไม่มีถ้าหาก ทำไปแล้วก็คือทำไป
แล้ว ต้องมองไปข้างหน้า” เขาเอ่ย กล่าวจบก็คำนับแล้วสาวเท้าออก
ไป
ประตูปิดลง ภายในห้องกลับมาเงียบงันอีกครั้ง แม่นางจูนั่ง
อยู่กับที่ไม่ขยับไหวอยู่เนิ่นนาน
“แต่ว่า ข้าเสียใจเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพึมพำ
ยามฟากฟ้ามืดมิด ท่านชายโจวหกก็ก้าวเข้ามาในลานบ้าน
ของเฉิงเจียวเหนียง
นางมองจี้ห้อยที่ถืออยู่ในมืออย่างอ้อยอิ้ง
“นี่คืออะไรรึ” ท่านชายโจวหกเอ่ยถาม
“ตั๊กแตน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยบอก
ตั๊กแตนอย่างนั้นรึ สิ่งนั้นถักจากไผ่เส้นเล็ก ดูมีชีวิตชีวา
คล่องแคล่วเสมือนจริง
“เอามาจากไหนหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ยถาม
“มีคนให้มา” เฉิงเจียวเหนียงตอบคงเป็นท่านชายฉินสิบสามให้มากระมัง ท่านชายโจวหกเบ้ปาก
อยากจะพูดอะไรก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี หญิงนางนี้
แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่พูดขึ้นก่อนอยู่แล้ว หากเจ้าเอ่ยถาม นางก็จะทำ
เพียงถามคำตอบคำเท่านั้น พูดตามมารยาทไม่เป็นและชวนคุย
ไม่เป็นเช่นกัน
ไม่รู้จริงๆ ว่าในความเงียบของนางนี้ในใจกำลังคิดอะไรอยู่บ้าง
นั่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยความกลัดกลุ้มเช่นนี้ ท่านชายโจวหกรีบ
ลุกขึ้นเดินออกมา เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมา เห็นหญิงสาวยังคง
เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย คล้ายว่ากำลังดูจี้ห้อยอยู่แต่ก็เหมือนไม่ได้มอง
“เจ้าทำอะไรอยู่รึ” ท่านชายโจวหกเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
“ดูดาว” เฉิงเจียวเหนียงตอบ สายตาไม่ได้เคลื่อนไปไหนเลย
แม้แต่น้อย
ดูดาวอย่างนั้นรึ
ท่านชายโจวหกเงยหน้ามองฟ้า ฟากฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดมิด
ท่ามกลางแสงดาวพราวพร่าง
ก็สวยดี แต่ว่ามันสนุกตรงไหนกันเขาเบ้ปากเดินออกไป
“นายหญิงเจ้าคะ” ปั้นฉินเข้าไปหาพร้อมคลุมเสื้อกันลมให้แก่
นาง พลางมองตามไปด้วย “คืนนี้จะดูจนดึกอีกหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า พลางยกมือขึ้นชี้บนฟากฟ้า
“เจ้าดูสิ ดาวดวงนั้นสว่างขึ้นเรื่อยๆ แล้ว แต่ว่า ยังไม่มากพอ”
นางเอ่ยขึ้น
ดาวดวงนั้นรึ ดวงไหนเล่า
ปั้น
ฉินเงยหน้ามอง แสงดาวเต็มฟ้าในสายตาล้วนไม่แตก
ต่างกันสักนิด แต่นายหญิงบอกว่าดวงหนึ่งสว่าง เช่นนั้นก็ต้องสว่าง
แน่แล้ว นางพยักหน้าอย่างจริงจัง
“แล้วเป็นเช่นไรจึงจะเรียกได้ว่าสว่างพอหรือเจ้าคะ” ปั้นฉิน
ถาม
“จังหวะเวลา สถานที่ และคนรวมกันเป็นหนึ่ง” ยามนี้จังหวะ
เวลา และสถานที่ได้มาถึงแล้ว ที่เหลือก็มีแค่คนแล้ว
…
“โถ สวรรค์ ลูกหลานข้า นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นพ่อสื่อเสียแล้ว”ภายในวังหลวง ไทเฮาส่งเสียงตกใจขึ้น มองผิงอ๋องที่คุกเข่าอยู่
เบื้องหน้าอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ไทเฮา นี่มิใช่พ่อสื่อ นี่คือเรื่องจริงจังพ่ะย่ะค่ะ” ผิงอ๋องเอ่ยด้วย
สีหน้าเรียบเฉย
ไทเฮายิ้มพลางมองกุ้ยเฟย
“เจ้าดูสิ เจ้าดู ควรให้ผิงอ๋องของพวกเราทำจริงจังของตนเอง
ก่อนหรือไม่” นางเอ่ย
กุ้ยเฟยทั้งยิ้มทั้งส่ายหน้า
“ซื่อเกอร์ เจ้าอย่าได้ทำเหลวไหล นี่มิใช่เรื่องที่เด็กอย่างเจ้า
สมควรจะพูด” นางบอก “อีกอย่าง แนะนำแม่นางเฉิงให้ท่านชายเกา
เป็นเรื่องน่าขันนัก”
“นั่นมิใช่เรื่องน่าขันนะพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นก็ให้เรื่องน่าขันกลาย
เป็นเรื่องที่ดีสิพ่ะย่ะค่ะ” ผิงอ๋องเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ให้เรื่องน่าขันกลายเป็นเรื่องที่ดีอย่างนั้นรึ
กุ้ยเฟยกับไทเฮาต่างนิ่งอึ้ง“ยามนี้ตระกูลเกากลายเป็นตัวตลกเพราะเรื่องที่ทะเลาะกับ
แม่นางเฉิงที่หอเต๋อเซิ่ง หากไม่คิดหาวิธีแก้ไข ชาตินี้ทั้งชาติตระกูล
เกาก็จะเป็นตัวตลกในสายตาของผู้คน แต่หากการทะเลาะนี้
กลายเป็นบุพเพ ไม่เคยทะเลาะกันก็จะไม่สนิทสนม การ
ทะเลาะเบาะแว้งกลายเป็นการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เช่นนั้นจะ
ไม่เป็นเรื่องดีหรือพ่ะย่ะค่ะ” ผิงอ๋องเอ่ย “หรือไทเฮาอยากจะให้
ตระกูลเกากลายเป็นตัวตลกไปจริงๆ เช่นนี้กัน ตราบใดที่แม่นางเฉิ
งมีชีวิตอยู่หนึ่งวัน ตระกูลเกาก็จะเป็นเรื่องน่าขันตลอดไป”
ไทเฮาและกุ้ยเฟยสบตากัน
พวกนางย่อมไม่อยากให้ตระกูลเกากลายเป็นตัวตลกอยู่แล้ว
เพราะเป็นเช่นนั้นแล้วจะไม่มีประโยชน์อะไรต่อพวกนาง
“หากพูดเช่นนี้” กุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นก่อน ดวงตาเป็นประกาย
“บุพเพนี้ก็ไม่เลว”
ตระกูลเกาไม่เป็นตัวตลกอีกต่อไป แม่นางเฉิงที่ผู้คนเกลียดชัง
ผลักไสก็จะกลายเป็นคนของตระกูลเกา กลายเป็นคนของตระกูลเกา
แล้ว ย่อมอยู่ในมือของตระกูลเกาอย่างพวกนาง และตระกูลเกาก็คือครอบครัวที่พวกนางไว้วางใจที่สุด นี่มันยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ชัดๆ
เห็นได้ชัดว่าไทเฮาก็คิดได้เช่นเดียวกัน นางพยักหน้าช้าๆ
“ไม่เลว เรื่องเหลวไหลเรื่องนี้ควรจะจัดการได้แล้ว” นางเอ่ย
เงยหน้ามองไปด้านนอก “ใครก็ได้ ไปเรียกตัวฮูหยินตระกูลเฉิงมา
ข้าจะเป็นแม่สื่อเสียหน่อย”