พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 54 จัดแจง
หมั่นโถวไท่ผิงอย่างนั้นหรือ
สาวใช้เหม่อไปสักครู่แล้วหัวเราะออกมา หัวเราะจนนั่งไม่อยู่แล้วทรุดตัวลงไปบนพื้น
“ได้สิเจ้าคะนายหญิง ข้าวเย็นวันนี้เรากินหมั่นโถวไท่ผิงกันเถอะเจ้าค่ะ ข้าให้ท่านเซียนหญิงช่วยข้าซื้อพวกตับแกะให้นะเจ้าคะ” นางกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงตกลง
เจ้าอาวาสซุนเข้ามาจากนอกเรือน มองดูหญิงสาวเสื้อคลุมผ้าแพรสีดำ ปล่อยผมดำสยายนั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ใต้ต้นไหวโบราณ พร้อมกับสาวใช้ชุดลายเรียบนั่งคุกเข่าอยู่ข้างล่างหัวเราะเบิกบาน ราวกับภาพวาดของหญิงในวังกำลังชมทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าใบไม้เขียวขจีและสาวใช้เสื้อผ้าสีสันที่ยิ้มแย้มสดใสนั้นไม่ใช่จุดเด่นของภาพ แต่กลับเป็นหญิงสาวที่สีหน้าเรียบเฉยเหม่อลอยไม่ร่าเริง
นางใจลอยมองเหม่ออยู่พักใหญ่ เหตุใดตระกูลเฉิงถึงไม่สนใจไยดีหญิงผู้นี้
“อู๋เลี่ยงเทียนจุน” นางกล่าวพลางคำนับ
เฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้มองมาแล้วพยักหน้าเป็นการคำนับนางกลับ
“นายหญิง อีกไม่กี่วันทางนั้นก็จะเสร็จแล้ว นายหญิงลองไปดูสักหน่อย ว่ายังมีอะไรอยากซ่อมแซมอีกหรือไม่” เจ้าอาวาสซุนกล่าว
“ได้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้พยุงนางแล้วเดินไปกับเจ้าอาวาสซุน วัดเสวียนเมี่ยวน้อยที่ผ่านการบูรณะแล้วราวกับเปลี่ยนโฉมใหม่ โถงเรือนหน้าดูทางการน่าเกรงขาม ที่พักเรือนหลังก็เงียบสงบ
เมื่อยืนอยู่หน้าประตูเรือน สาวใช้ก็รู้สึกสับสนมึนงง ในค่ำคืนที่ฝนกระหน่ำลงไม่นานมานี้ นางปีนขึ้นหลังคาจากบันไดเรือนด้านนอกด้วยเนื้อตัวสั่นเทาท่ามกลางพายุ ขณะที่นางคลานเข่าเดินบนหลังคาเรือนนั้นเหมือนกับว่าอีกไม่กี่อึดใจนางคงต้องตายจากโลกนี้ไป แต่ทว่าเมื่อฝนหยุดฟ้าสดใส นางก็ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนผู้คนและเรื่องราวที่ชวนให้นางฝันร้ายนั้นกลับหายไปในพริบตา
รอบศาลาแปดเหลี่ยมถูกถมดินใหม่ ส่วนต้นไผ่ก็ถูกย้ายมาปลูกเป็นแผงแนวยาว ยามลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมาก็มีเสียงใบไผ่กระทบกันดังขึ้น
คำพูดของเจ้าอาวาสซุนกับเฉิงเจียวเหนียงดังขึ้นข้างหู
“ท่านว่าแบบนี้พอได้อยู่หรือไม่ จะเพิ่มดอกไม้ต้นหญ้าอะไรอีกหรือไม่” เจ้าอาวาสซุนเอ่ยถามอย่างนบนอบ
“ได้แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้ดึงสติกลับมาแล้วพยุงเฉิงเจียวเหนียงเดินไป เด็กน้อยสองคนก็วิ่งออกมา หนึ่งในนั้นปูเบาะรองนั่งในศาลาให้อย่างนอบน้อม
“นายหญิงเชิญนั่งเจ้าค่ะ” นางกล่าวด้วยท่าทีว่านอนสอนง่าย
ตั้งแต่วัดเสวียนเมี่ยวน้อยเกิดเรื่อง เฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้ก็ย้ายไปอาศัยอยู่ที่เชิงเขา เด็กน้อยสองคนนี้ก็ตามไปด้วย ต่อมาเนื่องจากวัดเล็กจ้างคนมาบูรณะ เจ้าอาวาสซุนดูแลคนเดียวไม่ทั่วถึง สองคนนี้จึงอาสามาช่วยเหลือ
“ช่วงนี้เมี่ยวชุนกับเมี่ยวหลิงเป็นคนปัดกวาดเช็ดถูให้” เจ้าอาวาสซุนยิ้มเอ่ย
เด็กน้อยสองคนยืนก้มหน้าอย่างประหม่า
น่าสงสารนัก ถูกหญิงผู้นั้นเก็บมาเลี้ยงเหมือนแมวเหมือนหมา อารมณ์ดีก็ไม่สนใจ อารมณ์ไม่ดีก็ตบตีด่าว่า
อู๋เลี่ยงเทียนจุน ตัวปัญหานั่นตายไปเสียที เจ้าอาวาสซุนถอนหายใจ จากนี้ไปติดตามนายหญิงผู้นี้ก็คงจะได้มีชีวิตที่ดีแล้ว
“นายหญิง พวกนางเดิมทีเป็นคนของที่นี่ จะจัดแจงอย่างไรก็สุดแล้วแต่นายหญิงจะตัดสินใจแล้วกัน” นางกล่าว
แน่นอนว่าจากนี้ไปวัดเสวียนเมี่ยวน้อยแห่งนี้จะต้องกลายเป็นที่ของเฉิงเจียวเหนียง หากเหล่าเด็กน้อยอยากจะบำเพ็ญตนก็คงต้องลงเขาไปกับนาง แต่หากมีคนคอยรับใช้เฉิงเจียวเหนียงเพิ่มอีกสักหน่อยก็คงดี
เฉิงเจียวเหนียงมองดูเด็กน้อยสองคนนี้
“ได้ ข้าจัดการเอง” นางกล่าว
เด็กน้อยสองคนเงยหน้าเล็กน้อยแล้วมองตากัน มองเห็นความปิติยินดีของกันและกัน
“นายหญิง ขอบคุณนายหญิงที่ช่วยชีวิต” พวกนางกล่าวพลางคุกเข่าโขกหัวคำนับ
ได้ติดตามนายหญิงผู้นี้ จากนี้ไปได้มีชีวิตที่ดีสักที!
ในที่สุดพวกนางก็ได้มีชีวิตที่ดีสักที!
เจ้าอาวาสซุนยิ้มพลางพยักหน้า
“เจ้าอาวาสซุน” เฉิงเจียวเหนียงมองไปทางนาง “ท่านมีวัดเต๋าที่รู้จักกันไหม”
เจ้าอาวาสซุนอึ้งไป
“มีสิ” นางกล่าวพลางพยักหน้า
“ส่งพวกนางทั้งสองไปเถิด” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
อะไรนะ
เด็กน้อยทั้งสองเงยหน้าขึ้นด้วยความอึ้งตะลึง เจ้าอาวาสซุนและสาวใช้ก็ต่างตกใจอย่างมากเช่นกัน
ทำไมกัน
“นายหญิง นายหญิง พวกข้าทำผิดท่านก็เพียงแค่ลงโทษ อย่าไล่พวกข้าไปเลย อย่าไล่พวกข้าไปเลย” ทั้งสองต่างกล่าวพลางโขกหัวร้องไห้
“ที่จริงแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของพวกเจ้า” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว นางนั่งอยู่ในศาลาสีหน้าเหม่อลอยไร้อารมณ์ดังเดิม “มนุษย์ต่างก็คิดหาวิธีที่จะมีชีวิตอยู่ ต้องยอมเสี่ยง ยอมสู้เพื่อตน มดปลวกยังรักชีวิตของมัน ฉะนั้น เรื่องที่พวกเจ้าทำ ก็ไม่ถือว่าผิด”
หมายความว่าอย่างไรกัน
เจ้าอาวาสซุนยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่ อดไม่ได้ที่จะมองไปที่สาวใช้
แต่สาวใช้กลับสีหน้างงงวย
“นายหญิง นายหญิง พวกข้า พวกข้าทำอะไรหรือเจ้าคะ” เด็กน้อยคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมากล่าวพลางร้องไห้ สีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม “ตอนนั้นเจ้าอาวาสนั้นเก็บพวกข้ามาเลี้ยง พวกข้าก็ตัดสินใจอะไรเองไม่ได้ ติดตามนาง พวกข้าไม่เคยสบายใจเลยสักวัน ไม่กล้าเลียนแบบนิสัยใจคอนางหรอกเจ้าค่ะ นายหญิง ขอนายหญิงให้ความเป็นธรรมแก่พวกข้าด้วย”
ขณะที่พูดนั้นเหล่าเด็กหญิงไม่ได้มองเฉิงเจียวเหนียงแต่อย่างใด แต่กลับมองไปที่สาวใช้และเจ้าอาวาสซุน
นั่นเป็นคนบ้า อารมณ์ไม่แน่นอน ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง แต่สาวใช้กับเจ้าอาวาสซุนรู้เรื่องนี่ ถึงแม้คนบ้านั่นเป็นนาย แต่สุดท้ายก็คงเป็นสองคนนี้เป็นคนตัดสินใจกระมัง
สาวใช้และเจ้าอาวาสเห็นพวกนางร้องไห้เช่นนี้ ในใจก็นึกสงสาร
นั่นสิ เด็กสองคนนี้ถึงแม้จะเป็นศิษย์ของหญิงผู้นั้น แต่อายุยังน้อย แล้วมิได้ทำเรื่องอันใดที่ให้อภัยไม่ได้ ถ้าหากจะรังเกียจพวกนางแล้วไล่พวกนางไปเพียงเพราะสาเหตุนี้ ก็น่าสงสารเสียจริง
เจ้าอาวาสซุนลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่
“วันนั้น พวกเจ้าเองที่เปิดประตูเรือนข้า แล้วชักนำชายผู้นั้นเข้ามาใช่หรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
เมื่อพูดคำนี้ออกมา เด็กน้อยสองคนนั้นก็ทรุดนั่งลงกับพื้น สีหน้าตื่นตกใจ
นางรู้ได้อย่างไร นางไม่ใช่คนบ้าหรอกหรือ
สาวใช้สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
นางจำได้ว่าวันนั้นปิดประตูดีแล้วจริงๆ ยังนึกว่าเจ้าโจรชั่วลามกนั่นบังอาจสามหาวมาเปิดประตูเอง ที่แท้ก็มีคนมาเปิดทางให้นี่เอง!
ถ้าหากประตูนั้นปิดไว้อยู่ คิดว่าโจรชั่วนั่นก็คงไม่คิดจะเดินเข้าไปเป็นแน่! เมื่อเห็นประตูเปิดอยู่ ความคิดที่อยากจะแอบมองก็บังเกิด ความคิดลาปามไปมากกว่านั้นก็กดไว้ไม่อยู่แล้ว เปรียบเหมือนเขื่อนที่มีรูรั่วเพียงเล็กน้อย สุดท้ายก็ทะลักท่วมท้นออกมา
คิดไม่ถึงว่าเลยว่าจะมีคนจงใจวางแผนนี้!
คิดไม่ถึงว่า ไม่ใช่หญิงชั่วใจดำผู้นั้น แต่กลับเป็นคนน่าสงสารสองคนนี้!
เป็นไปได้อย่างไร! เป็นไปได้อย่างไร! กล้าดีอย่างไร! กล้าดีอย่างไร!
“พวกเจ้า!” ปั้นฉินตะคอก นางโกรธจนเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด ก่อนจะชี้นิ้วไปที่เด็กทั้งสองแต่กลับพูดอะไรไม่ออก
เจ้าอาวาสซุนไม่กล้าพูดอะไร รู้ว่าตนได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยินเข้าเสียแล้ว แต่ก็ไม่เหมาะที่จะเดินเลี่ยงออกไป จึงได้แต่รีบก้มหน้าลง
เด็กน้อยสองคนก้มหน้าร้องไห้โฮอีกครั้ง โขกหัวให้เฉิงเจียวเหนียง
“นายหญิง นายหญิง พวกข้าไม่ใช่… ไม่ใช่นะเจ้าคะ พี่สาวข้าดูอยู่ตลอด แล้วก็รีบไปเรียกคนมาแล้ว ไม่ยอม…ไม่ยอมให้…” หนึ่งในนั้นกล่าวพลางร้องไห้
“ใช่ พวกเจ้าทำดีมาก ทั้งให้ชายผู้นั้นล่วงเกินข้าจะได้ให้บ้านตระกูลเฉิงยื่นมือมาช่วยลงโทษ ทั้งยังคอยระวังเรียกคนมาได้ทันเวลา ไม่ให้เรื่องบานปลาย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวแล้วพยักหน้า “พวกเจ้าคงจนปัญญาจึงต้องทำเช่นนั้น”
เด็กน้อยสองคนร้องไห้พลางโขกหัว สบายใจมากขึ้น
“ขอนายหญิงได้ให้ความเป็นธรรมแก่พวกเราด้วย ขอนายหญิงได้ให้ความเป็นธรรมแก่พวกเราด้วย” พวกนางกล่าวพลางร้องไห้
คำว่า ‘ความเป็นธรรม’ ครั้งนี้ พวกนางพูดอย่างจริงใจ
“ข้าต้องให้ความเป็นธรรมแน่นอน แต่ว่า…” เฉิงเจียวเหนียงมองดูพวกนาง แล้วพูดต่อ “ข้าเป็นคนใจแคบน่ะ”
เด็กน้อยสองคนเงยหน้าอึ้งงันอีกครั้ง มองดูหญิงสาวนั่งอย่างสงบในศาลาสีหน้าไร้อารมณ์ตรงหน้า
………………………………………………………………