พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 541 ฟังข่าว
ฝนตกโปรยปรายขึ้นในยามค่ำคืน เสียงปิดหน้าต่างทำให้บ่าว
ที่กำลังงีบหลับอยู่ในห้องตกใจสะดุ้ง
“ฝ่าบาท กระหม่อมสมควรตาย” บ่าวรีบเอ่ยขึ้น พลางก้าว
เข้ามา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องโบกมือเป็นนัยว่าไม่เป็นไร
“ฝนตกก็ดีแล้ว จะได้ช่วยบรรเทาเรื่องข้าวสารในช่วง
ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้” เขาเอ่ยขึ้นขณะนั่งฟังเสียงฝนที่กำลังตกอยู่
ภายนอก
บ่าวรีบขานรับขณะจ้องมองใบหน้าอดหลับอดนอนจนตา
แดงก่ำของชายหนุ่มผู้นั้น
“ฝ่าบาท รีบพักผ่อนเถิด จะอดนอนอีกไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันหลังเดินกลับไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะ
“ไม่เป็นไร ข้ารู้ตัวเองดี” เขาเอ่ย พลางหยิบสาส์นส่งข่าวขึ้น
มาอีกครั้งบ่าวไม่กล้ารบเร้าต่อ จึงเดินไปปรับไฟให้สว่างขึ้น พลางเต็ม
ชาร้อนลงไปในกาที่วางอยู่ข้างๆ
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นจากด้านนอก เสียงซุบซิบถามไถ่ลอยมา
ทันใดนั้นก็มีคนเปิดม่านเดินเข้ามา
“ฝ่าบาท คนจากเมืองหลวงกลับมาแล้ว”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องแววตาเป็นประกาย พลันวางหลังสือในมือลง
“รีบส่งข่าว” เขาเอ่ยขึ้น
การจัดแจงข้าวของภายในห้อง พาให้บรรยากาศท่ามกลาง
สายฝนคึกคักขึ้นมา
“นี่เป็นเสื้อผ้าที่ไทเฮาส่งมาให้”
ผู้มาเยือนเอ่ยขึ้น
“เสื้อผ้าข้าก็มีอยู่แล้ว ไทเฮษจะลำบากส่งมาตั้งไกลทำไม” จิ้น
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางหัวเราะ
“มิใช่เพียงเสื้อผ้าเท่านั้น” ผู้ติดตามเอ่ยพลางหัวเราะ พลัน
ชี้นิ้วไปที่ห่อของชิ้นหนึ่ง “นี่เป็นรองเท้าที่ฮองเฮาส่งมาให้”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันไปมอง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กน้อย“ฮองเฮาบอกว่า นี่เป็นรองเท้าที่สั่งให้คนทำขึ้นเพื่อจวิ้นอ๋อง
เป็นพิเศษ เมื่อมีรองเท้าที่เหมาะสมแล้ว ถึงจะสามารถออกเดินได้
อย่างมั่นคง” ผู้ติดตามเอ่ยต่อ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันมองห่อรองเท้าที่กำลังถูกเปิดออก เป็น
รองเท้าสีดำ ด้านบนปักคำว่า ‘สมหวัง’ ด้วยไหมสีทอง
“ใช่ ขอบพระทัยฮ่องเฮา กระหม่อมจะต้องออกเดินอย่างมั่นคง
ให้ได้” เขาเอ่ย
ผู้ติดตามเก็บข้าวของแล้วจึงถอยหลังไป ภายในห้องกลับ
สู่ความสงบอีกครั้ง
“ของขวัญที่ส่งไป ถึงผู้รับหรือยัง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยถาม
ผู้ติดตามพยักหน้า
“แม่นางเฉิงสบายดีใช่ไหม” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยถาม
ผู้ติดตามสีหน้าลังเล
“ทั้งดี และไม่ดี” เขาเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้นมองเขา“นายหญิงเฉิงแย่งชิงนางโลมกับท่านชายเกาที่หอเต๋อเชิ่ง”
ผู้ติดตามเอ่ย
เมื่อได้ยินดังนั้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ถึงกับตะลึง ก่อนจะหัวเราะร่า
ขึ้น
“ยังมีคนกล้าแย่งกับนางอีกหรือ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ “แข่ง
อะไรกับนาง แข่งเรื่องความกล้า หรือแข่งเรื่องเงิน”
ผู้ติดตามหัวเราะตาม
“สุดท้ายนางต้องเป็นฝ่ายชนะได้ตัวสาวงามไปเป็นแน่” จิ้นอัน
จวิ้นอ๋องเอ่ยพลางหัวเราะ
ผู้ติดตามพยักหน้า
“ห้าหมื่นต่อหนึ่งเดือน” เขาเอ่ย “คนในเมืองหลวงต่างพากัน
เลื่องลือ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะขึ้นอีกครั้ง
“แต่ว่าไทเฮาทรงพระราชทานให้นายหญิงเฉิงสมรสกับ
ท่านชายเกา” ผู้ติดตามลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น
เสียงหัวเราะของจิ้นอันจวิ้นอ๋องหยุดลงในทันใดสายฝนกลางค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิยังคงไม่หยุดตก ท้องฟ้าเริ่ม
สว่างขึ้น ขณะที่แสงไฟภายในห้องดูมืดสลัวลง
“…ข้าเคยบอกท่านแล้ว ว่าจะช่วยท่านหา ชายสิบสี่ไม่เหมาะ
จะสมรส…”
เขามองดูตัวหนังสือบนกระดาษ แต่สุดท้ายก็โยนพู่กันทิ้งอย่าง
หัวเสีย
“ไร้สาระ!” เขาสบถ พลางขยำกระดาษโยนทิ้ง
บัดนี้รอบโต๊ะมีกระดาษวางกองกระจัดกระจายไปทั่วแล้ว
“มีครั้งไหนบ้างที่นางได้ทำดั่งใจหมาย! นางไม่เคยได้แม้แต่
จะตัดสินใจเลยสักครั้ง ล้วนแต่เป็นผู้อื่นคิดแทนนางทั้งนั้น!” จิ้นอัน
จวิ้นอ๋องกัดฟันเอ่ยขึ้นพลางลุกขึ้นยืน “คำพูดปลอบใจคนพวกนั้น
ช่างไร้สาระและน่าขันสิ้นดี”
เขาสูกหายใจลึกสองสามครั้ง แล้วจึงเดินไปเปิดประตู
องครักษ์หน้าประตูรีบหันมา
“ไปบอกว่าใต้เท้าหลิว ว่าข้าต้องการเข้าพบพวกสือถัง” เขา
เอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินดังนี้ ทุกคนในบริเวณนั้นก็พากันตกตะลึง
พวกสือถังมีกันอยู่สองคน เป็นแกนนำของชาวเมืองที่ก่อ
จลาจลในครั้งนี้ เดิมเคยเป็นโจรป่าที่ภูเขาโต้วซาน บัดนี้ถือโอกาส
แทรกแซงเข้ามาในช่วงที่เกิดโกลาหล
หลังจากที่คนจากราชสำ นักเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยเพื่อคืน
ความสงบสันติ และให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องเป็นตัวแทนฮ่องเต้ลงมา
ปลอบขวัญชาวเมือง เหตุการณ์ก็เริ่มดีขึ้น บ้านเมืองจากเดิมที่
โกลาหลก็เริ่มกลับสู่ความสงบอีกครั้ง แต่ผู้คนที่เหลือพากันถอยไป
อาศัยอยู่ที่ภูเขาโต้วซาน อยู่เฝ้าที่นั่นไม่ห่างโดยอ้างความอันตราย
บนภูเขา พาลให้ราชสำ นักปวดหัวทั้งยังจนปัญญา
แต่ไม่กี่วันก่อนพวกเขากลับอ่อนข้อลงเล็กน้อย บอกว่าต้อง
การหารือเรื่องนิรโทษกรรม ผู้คนฝั่งนี้จึงกำลังปรึกษากันว่าจะเจรจา
อย่างไรและให้ใครไปเจรจา
บัดนี้เมื่อได้ยินว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องจะไปเอง ทุกคนจึงพากันตกใจ
“ฝ่าบาท แบบนี้ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง”“เหตุใดถึงไม่ควร พวกสือถังเรื่องมากสิ้นดี วันนี้บอกจะเจรจา
พรุ่งนี้กลับไม่ยอมเจรจา บอกต้องให้คนนี้ไป แล้วก็มาบอกใหม่ว่า
ไม่ให้คนนี้ไป เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ แปลว่ายังรู้สึกว่าราชสำ นัก
ไม่น่าเชื่อถืออยู่ดี” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “เมื่อเป็นแบบนั้นก็ให้ข้าไปเอง
เสียดีกว่า คราวนี้ คงถือว่าให้เกียรติพวกเขามากพอแล้ว”
“ฝ่าบาท มันอันตรายเกินไป” องครักษ์รีบเอ่ยขึ้น “พวกโจร
ภูเขาโต้วซานโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก แถมยังปลิ้นปล้อนชอบสับปรับ
อีก”
“พวกโจรน่ากลัว แล้วต้องทำอย่างไร ก็ต้องกลัวกันหมด และ
ปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยขึ้นพลางก้าวเท้าทำ
ท่าจะเดิน “ข้าไม่อยากให้เรื่องยืดเยื้ออีกแล้ว”
ข้าไม่อยากให้เรื่องยืดเยื้ออีกแล้ว ข้าต้องการกลับเมืองหลวง
…..
“เหลวไหล!”
เกาหลิงปอในสภาพชุดนอนที่ถูกปลุกขึ้นมาจากความฝัน
ตะคอกใส่ผู้ติดตามที่ยืนอยู่ด้านหน้า เขาฟาดจดหมายในมือลงบนโต๊ะอย่างโกรธเคือง
ผู้ติดตามฝุ่นเกาะเต็มร่าง เห็นได้ชัดว่ารีบเดินทางมา เมื่อ
ได้ยินดังนั้นพลันก้มหน้าลง
“เหลวไหล!”
เกาหลิงปอตะคอกอีกครั้ง สีหน้าโกรธเคือง พลันลุกขึ้นเดินวน
ไปมา
เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร
เขาเพิ่งจากมาได้ไม่ทันไร แม่นางเฉิงผู้นั้นก็กำลังจะกลายเป็น
ลูกสะใภ้เขาเสียแล้ว
ให้ตายสิ!
แต่จะโกรธไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร สิ่งที่เร่งด่วนและควร
ใส่ใจคือผลที่จะตามมา หากอยากรู้ผลที่จะตามมา ก็ต้องรู้ที่มาของ
เรื่องเสียก่อน
“เล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ” เกาห
ลิงปอตะคอกเสียงขรึมผู้ติดตามไม่กล้ารอช้า รีบตั้งใจเล่าให้เขาฟังโดยละเอียด
“แบบนี้ก็หมายความว่าเรื่องนี้ถูกวางแผนโดยนางโลมผู้นั้น
หรือ” เกาหลิงปอฟังจบเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้น
“เหมาซิ่วไฉคิดแบบนั้น และได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว
ไม่น่าจะมีใครแอบบงการอยู่ภายหลัง เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น”
ผู้ติดตามเอ่ยขึ้น
เกาหลิงปอเดินไปมาพลางวนเวียนคิดเรื่องนี้
“ฮ่องเต้เองก็มิได้คัดค้านหรือ” เขาหยุดฝีเท้าพลางเอ่ยถาม
ผู้ติดตามพยักหน้า
“ไทเอาทรงถามฮ่องเต้แล้ว แต่ฮ่องเต้เพียงตอบว่าจะไม่จัดการ
เรื่องงานสมรสของบุตรธิดา” เขาเอ่ยตอบ
เกาหลิงปอแค่นหัวเราะ
“ถ้าจะไม่จัดการจริงๆ อย่างน้อยก็ควรออกหน้ามาตำหนิ
เสียหน่อย” เขาเอ่ย
“ใต้เท้า เรื่องนี้ไม่ได้การเสียแล้วใช่ไหม” ผู้ติดตามเอ่ย
ถามอย่างร้อนใจเกาหลิงปอส่งเสียงหึ
“ตอนที่ดีๆ อยู่ กลับไม่นึกถึงชื่อข้าคนนี้ พอตอนที่ไม่ดีกลับนึก
ขึ้นได้ว่าข้าคนนี้ยังมีชีวิตอยู่สินะ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง
ผู้ติดตามก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยอะไร
เมื่อได้ยินว่าฮ่องเต้ไม่คัดค้านการสมรสครั้งนี้ แถมยังไม่ไถ่
ถามถึงเรื่องนี้อีก ก็เท่ากับฮ่องเต้ไม่รับรู้เรื่องนี้ จึงทำให้เหมาซิ่วไฉไม่
สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
เพียงแต่แม่นางเฉิงผู้นั้น ไม่ใช่หญิงอื่นใด แต่เป็นหญิงสาวที่
ได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ผู้เป็นเทพเซียน
เมื่อเกิดเรื่องผิดปกติจึงต้องเป็นเรื่องแย่แน่
ผู้ติดตามนึกถึงสีหน้าเงียบขรึมของเหมาซิ่วไฉตอนเขามาหา
พลันหันมองปฏิกิริยาของเกาหลิงปอในตอนนี้ ในใจรู้สึกร้อนรน
ยิ่งนัก
เขาใช้หางตามองดูเกาหลิงปอเดินวนไปมา
“เรื่องนี้ทุกคนต่างมีแผนการของตนเอง ตระกูลเกาของเราก็
มีแผนได้เช่นกัน”หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เกาหลิงปอจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ขอเพียงวางแผนรัดกุม เรื่องนี้ก็อาจไม่ใช่เรื่องแย่”
ที่จริงแล้วหากสามารถสู่ขอผู้หญิงอย่างแม่นางเฉิงได้สำ เร็จ ก็
ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร แต่เรื่องสำ คัญคือต้องทำอย่างไรถึงจะสู่ขอสำ เร็จ
ได้
เดิมทีเขาคงไม่คิดถึงเรื่องนี้ แต่ในเมื่อโชคชะตาพาให้เรื่องราว
กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ตอนนี้ก็คงต้องคิดถึงข้อดีของเรื่องนี้เสียแล้ว
ส่วนเรื่องข้อเสียคงมีหลายคนคิดแทนเขาแล้ว เพียงแต่จะเป็น
อย่างที่พวกเขาคิดไหมไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะกำหนดได้
เมื่อผู้ติดตามได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นด้วยความยินดี
“เก็บข้าวของเสีย ข้าจะกลับเมืองหลวง” เกาหลิงปอเอ่ย
ผู้ติดตามตกตะลึงในทันใด
ปกติขุนนางผู้รับตำแหน่งนอกเมืองหลวงจะไม่สามารถ
ออกจากเมืองที่ตนเองได้รับหน้าที่ได้ตามใจชอบ ไม่ต้องพูดถึงว่า
ครั้งนี้ไม่มีราชโองการเรียกให้กลับเมืองหลวงเสียด้วยซ้ำ ต่อให้บ้าน
เขาอยู่เมืองหลวงก็กลับไม่ได้“เหล่าฮูหยินร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมิใช่หรือ” เกาหลิงปอเอ่ย
ขึ้นอย่างเรียบเฉย
นี่แหละคือวิธีการหลบเลี่ยง การกตัญญูต่อพ่อแม่มักใช้เป็น
เหตุผลได้ ดังนั้นผู้ติดตามจึงขานรับ
แต่หัวใจเขายังคงเต้นแรงอย่างอดไม่ได้
ไม่ได้บอกว่าไม่เป็นไรหรือ แล้วเหตุใดนายท่านจึงไม่สน
กฎระเบียบ เหตุใดจึงเปิดโอกาสให้คนจู่โจมร้องเรียนด้วยการกลับ
เมืองหลวงเยี่ยงนี้
“นายท่าน เรื่องนี้มันไม่ดีจริงหรือ” เขาเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งอย่า
งอดไม่ได้
เกาหลิงปอส่ายหน้า
“ไม่ ไม่ เรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องไม่ดีก็ได้ ข้าจะกลับไปพบแม่นาง
เฉิงด้วยตนเองที่เมืองหลวง เพียงแต่…” เขาเอ่ยพลางลูบเครา พลัน
หันมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มด้านนอก “ข้ารู้สึกไม่วางใจเสียเท่าไหร่”
“ไม่วางใจหรือ” ผู้ติดตามเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“เพราะเหตุใด”“ข้าก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร” เกาหลิงปอส่ายหน้าขมวดคิ้ว
เอ่ยขึ้น “คงเป็นเพียงลางสังหรณ์ เรื่องแม่นางเฉิงนั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่
ข้ากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ”
“มีอะไรผิดปกติหรือ” ผู้ติดตามเอ่ยถาม
เกาหลิงปอส่ายหน้า
“ข้าอาจไม่ควรออกจากเมืองหลวงมา เดิมคิดว่าได้จัด
การวางแผนเรื่องคนไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เรื่องคนก็เป็นแบบนี้
บางครั้งก้าวพลาดหรือพูดคลาดเคลื่อนไปเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้
ได้ผลแตกต่างไปจากที่คาดการณ์ไว้ได้”
“ตอนนี้ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ”
…
ในหอเต๋อเชิ่ง เมื่อเห็นท่านชายเกาเดินเข้ามา คนภายในพลัน
คึกคักขึ้นในทันใด
“ท่านชายเกา! นึกว่าท่านจะไม่มาที่นี่อีกแล้วเสียอีก” แม่นาง
ม่อตะโกนด้วยความตื่นเต้นหึ นางแม่เล้า คิดว่าจะเหยียดหยามข้าได้หรือ ทำไมข้าจะมา
ไม่ได้ นี่ข้าต้องกลัวพวกพี่น้องตระกูลเฉิงแล้วหรือ
ที่ชายเฉิงสี่ผู้นั้นสามารถอยู่ข้างนอกอย่างสง่าผ่าเผยได้ แล้ว
มันหมายความว่าชายเกาสิบสี่อย่างข้าต้องหลบหน้าไม่เจอใครหรือ
ถึงแม้ในใจจะโกรธเคือง แต่ท่านชายเกายังคงสีหน้ายิ้มแย้ม
“ทำไมข้าจะไม่มาเล่า หอเต๋อเชิ่งออกจะดี” เขาเอ่ยพลาง
หัวเราะ
เรื่องที่ไทเฮาพระราชทานการสมรสให้ท่านชายเกากับแม่นาง
เฉิงนั้น ถูกลือไปทั่วหอเต๋อเชิ่งแล้ว ผู้คนรอบด้านจึงพากัน
แสดงความยินดี
ท่านชายเกาหัวเราะร่า
ใช่แล้ว แสดงความยินดีกันไปเถิด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนควร
ยินดี
“เกาสิบสี่!”
เสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านหลัง ดังกระหึ่มจนหอเต๋อเชิ่งแทบ
สะเทือนทุกคนพากันหันไปมอง เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งไม่รู้มายืนอยู่ตรง
ประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าเขาโกรธเกรี้ยว ในมือถือธนูคันหนึ่งอยู่
ใครกัน
ทุกคนคิดขึ้นในหัว
“ท่านชายโจวหก!”
เสียงใครบางคนดังขึ้นจากด้านนอก ไขข้อสงสัยของผู้คนใน
ทันใด
ท่านชายโจวหก!
ใครบางคนยื่นมือมาจับข้อศอกท่านชายโจวหกไว้ สีหน้า
ร้อนรนและเป็นกังวล
“เจ้าอย่าทำอะไรสิ้นคิด!” ท่านชายฉินสิบสามตะโกนขึ้น
“มีอะไรก็พูดกันดีๆ ”
“แค้นจากการถูกแย่งภรรยา จะมีอะไรต้องพูดกันอีก!”
ท่านชายโจวหกตะโกนขึ้น
แค้นจากการถูกแย่งภรรยาหรือทุกคนในห้องโถงหันมองชายหนุ่มผู้เกรี้ยวกราดอย่างควบคุม
ไม่ได้ผู้นี้ สีหน้าตกตะลึง
“เกาสิบสี่!”
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรที่ทำให้ทุกคนเข้าใจเรื่องราวเพิ่มขึ้นต่อ
แต่กลับสะบัดชายหนุ่มอีกคนที่รั้งแขนเขาไว้ออก พลันยกธนูขึ้นเล็ง
ไปที่ท่านชายเกา
“ขุนนางฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ เจ้าไปตายเสียเถิด!”
ท่านชายฉินสิบสามตกตะลึง รีบเข้าไปกระแทกข้อศอกเขา
โชคที่แรงกระแทกของเขาทำให้ลูกธนูของท่านชายโจวหกสั่น
ไหว เสียงตุ้บดังขึ้นพร้อมกับลูกธนูที่ปักลงบนเสาภายในหอเต๋อเชิ่ง
เสาต้นนี้ตั้งอยู่ข้างท่านชายเกา ขนนกที่ปลายธนูสั่นไหวไปมา
เมื่อยิงไม่โดน ท่านชายโจวหกจึงขว้างคันธนูลงบนพื้น พลัน
หยิบมีดโผวิ่งเข้าไป
ผู้คนที่ตกใจจนค้างนิ่งไปพลันได้สติกลับมา
“คนฆ่ากัน!”
ภายในหอเต๋อเชิ่งโกลาหลขึ้นในทันใดภายใต้ความโกลาหลนี้ ท่านชายฉินสิบสามก้าวถดถอยหลังไป
พลางยืนมองภาพเหตุการณ์จากมุมสูงบนบันได ใบหน้าเผยรอยยิ้ม
บาง
เรื่องไร้สาระก็ต้องจัดการด้วยวิธีไร้สาระเช่นนี้ เรื่องน่าขันจึง
จะกลายเป็นเรื่องดี และแน่นอนว่าเรื่องดีก็สามารถกลายเป็นเรื่อง
ร้ายได้ ขึ้นอยู่กับว่าใครกล้าพูด ใครพูดได้ดี และพูดได้น่าสนุก