พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 542 ผิดปกติ
“เด็กบ้าแห่งเจียงโจว!”
เสียงเพล้งดังกังวานขึ้น ไทเฮาคว้างถ้วยชาในมือลงพื้นจนแตก
สีหน้าเกรี้ยวกราด พลันหันมองขันที
“พวกคนข้างนอกพูดอะไรอีก”
ขันทีก้มหน้า
“พูด…พูดว่าท่านชายเกาลามกสกปรก…พูดว่าไทเฮา…ไทเฮา
…”
“หุบปาก!”
กุ้ยเฟยซึ่งนั่งอยู่ข้างกันตะโกนขึ้น
“คำพูดไร้สาระของคนข้างนอกจะมาพูดให้ไทเฮาฟังทำไม”
ขันทีก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยต่อ ไทเฮาแค่นหัวเราะ
“พูดมาสิ ทำไมจะพูดไม่ได้” ไทเฮาเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด
“พวกเขาพูดได้ ข้าก็ต้องฟังได้”
กุ้ยเฟยรีบเข้ามารบเร้า“ไทเฮาก็คงพูดแค่ว่าไทเฮาใช้อำนาจกดขี่คนเท่านั้น จะมีอะไร
ได้อีก” นางเอ่ย พลางหันไปโบกมือไล่ขันที
ขันทีรีบถอยออกไป
“ข้าใช้อำนาจกดขี่คนหรือ หากนางไม่ก่อเรื่องจนเสื่อม
เสียชื่อเสียงตระกูลเกา ข้าจะคิดหาทางออกแบบนี้หรือ” ไทเฮา
ตะโกนขึ้นอย่างโกรธเคืองพลางใช้มือตบโต๊ะ “นางกล้ารังแก
ท่านชายเกาของข้า แต่บัดนี้กลายเป็นคนที่ตัดพ้อว่าตนเองถูกรังแก
!”
“อีกอย่าง หากนางมีคู่หมั้นอยู่แล้วจริงก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่มัน
เป็นเรื่องหลอกลวงชัดๆ หลอกไทเฮามิได้ จึงต้องใช้วิธีโวยวายแบบนี้
” กุ้ยเฟยถอนหายใจส่ายหน้า “ช่างหยิ่งผยองสิ้นดี”
ใช่แล้ว หยิ่งผยอง!
หยิ่งผยองมาโดยตลอด!
หยิ่งผยองแบบไม่รู้จักกฎระเบียบไม่เห็นหัวใคร
“ฮ่องเต้นั่นแหละที่ตามใจนางจนเหลิง!” ไทเฮาตะโกนขึ้นอย่าง
โกรธเคือง พลันสั่งให้คนไปเชิญฮ่องเต้มา“คราวนี้ไทเฮารู้ถึงความลำบากของข้าแล้วใช่ไหม”
ฮ่องเต้เอ่ยพลางหัวเราะขึ้นเมื่อได้ยินข่าว
“ไทเฮาเพียงต้องเผชิญหน้ากับหญิงสาวหนึ่งคน แต่ข้าต้อง
เผชิญกับเหล่าขุนนางที่ทั้งดื้อทั้งหยิ่งผยองและจ้องจะเล่นงานข้า
ทุกวัน”
ขันทีหัวเราะตาม แต่ไม่กล้าเอ่ยอะไร
“เดิมทีก็เป็นเรื่องไร้สาระอยู่แล้ว ก่อเรื่องแบบนี้ก็ยิ่งไร้สาระ
เข้าไปใหญ่” ฮ่องเต้เอ่ยพลางส่ายหัว “ใครใช้ให้ตระกูลเกาไปหาเรื่อง
นางเล่า ข้าเองยังหนีห่างจากนางให้ไกลเลย”
…
“ฝ่าบาทว่าอย่างนั้นจริงหรือ”
กุ้ยเฟยเอ่ยถาม
ตอนฮ่องเต้เสด็จมา นางได้หลบออกจากตำหนักไทเฮาไปแล้ว
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทว่าเช่นนั้น” ขันทีก้มหน้าเอ่ยขึ้น “ไทเฮาขอให้
ฝ่าบาทลงโทษแม่นางเฉิง แต่ฝ่าบาทกลับบอกว่า ท่านเคยบอกไว้
นานแล้ว ว่าเรื่องงานสมรสของลูกหลาน เป็นเรื่องส่วนตัว ท่านไม่ข้องเกี่ยวด้วย และขอให้ไทเฮาอย่าได้กังวลไป ให้พวกคนไร้สาระ
จัดการกับเรื่องไร้สาระนี้เองเสีย”
กุ้ยเฟยกำหมัดแน่น สีหน้าโกรธแค้น
“โอกาสดีแบบนี้ ฝ่าบาทยังไม่กล้าจัดการนาง แต่กลับ
หัวเราะเยาะตระกูลเกาพร้อมกับคนทั่วหล้า” นางเอ่ย
“กุ้ยเฟย ฝ่าบาทไม่มีทางจัดการแม่นางเฉิงหรอก” ขันทีกระซิบ
ขึ้น “เพราะถึงอย่างไรแม่นางเฉิงก็คนที่ชุบชีวิตคนได้”
ถึงแม้แม่นางเฉิงจะไม่เคยแสดงความสามารถนี้ให้เห็นอีก แต่
ทุกคนต่างพากันเลือกที่จะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง
ไม่ต่างอะไรกับจิ้นอันจวิ้นอ๋อง ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญ
หรือไม่ แต่เขาก็ยังถูกเลี้ยงดูขึ้นในวัง
กุ้ยเฟยกัดฟันกรอด
“เช่นนั้นก็ทำอะไรนางไม่ได้งั้นหรือ” นางเอ่ย
“กุ้ยเฟยใต้เท้าเกาจะกลับมาแล้ว อยู่ระหว่างเดินทาง ทั้งยังได้
ส่งจดหมายมาด้วย” ขันทีเอ่ย
กุ้ยเฟ้ยสีหน้ายิ้มแย้มขึ้นในทันใด“เขาว่าอย่างไร”
“ใต้เท้าเกาบอกว่า นี่เป็นเพียงเรื่องเล็ก ไม่ต้องตีโพยตีพายไป
ต้องอดทน ด้านบนมีไทเฮาเป็นสื่อกลาง ด้านล่างมีพ่อแม่ตระกูลเฉิง
ส่วนคนอื่นนั้น ก็ปล่อยให้เขาก่อเรื่องไป ทุกอย่างให้รอเขากลับมา
ค่อยว่ากัน” ขันทีเอ่ย
นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กหรือ
เมื่อก่อนบอกว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องเป็นเพียงเรื่องเล็ก บัดนี้มาบอก
อีกว่าแม่นางเฉิงเป็นเรื่องเล็ก ไม่รู้จริงๆ ว่าในใจเขาเรื่องแบบไหน
ถึงเป็นเรื่องใหญ่!
กุ้ยเฟยส่งเสียงตอบรับพลันถอนหายใจ
“แล้วฝ่าบาทเล่า ยังอยู่ที่ตำหนักไทเฮาหรือ” นางเอ่ยถาม
“ฝ่าบาททรงไปเดินเล่นเป็นเพื่อนพระสนมอันแล้วพะยะค่ะ”
ขันทีเอ่ยขึ้น พลันหยุดไปครู่หนึ่ง “เหมือนว่าฮองเฮาจะอยู่ด้วย”
กุ้ยเฟยขมวดคิ้ว
“ฮองเฮาอยู่ด้วยอีกแล้วหรือ” นางเอ่ยถาม พลันแค่นหัวเราะ
ครู่หนึ่ง “อย่าบอกนะว่าจะไปรับลิ่วเกอร์มาเลี้ยงอีก”กุ้ยเฟยตกใจกับประโยคที่ตัวเองเอ่ยขึ้น
พาลิ่วเกอร์มาเลี้ยง…
ฮ่องเต้ไม่ยอมลงโทษแม่นางเฉิง…
แม่นางเฉิงชุบชีวิตคนได้…
ฮ่องเต้สุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆ …
อยู่ดีๆ ฮ่องเต้ก็ดีขึ้น…
ฮ่องเต้ยอมเห็นคนหัวเราะเยาะตระกูลเกา…
ฮ่องเต้ตำหนิผิงอ๋องมากขึ้นเรื่อยๆ …
แถมฮ่องเต้ยังเลื่อนกำหนดวันตำแหน่งรัชทายาทอีก…
เรื่องมันผิดปกติ! ผิดปกติจริงๆ !
กุ้ยเฟยกำมือ ความคิดวุ่นวายวิ่งวุ่นในหัว นางหันมองรอบด้าน
อย่างสับสนโดยไม่รู้ตัว
หรือว่าฮ่องเต้รู้แล้ว หรือว่าฮ่องเต้รู้เรื่องที่ผิงอ่องทำร้าย
น้องชายแล้ว
เมื่อก่อนมีบุตรเพียงคนเดียวจึงอดทนไม่ถาม บัดนี้พระสนมอัน
กำลังจะมีบุตรชายก็เลย…ทุกคนพากันบอกลูกว่าในท้องของพระสนมอันเป็นบุคคลล้ำค่า
ว่ากันว่าเป็นเทพดาวพระศุกร์ลงมาเกิด
ใช่แล้ว ทั้งจิ้นอันจวิ้นอ๋อง และแม่นางเฉิง ต่างเป็นเรื่องเล็ก
ตำแหน่งมกุฏราชกุมารของผิงอ๋องลูกชายของนางต่างหาก ถึงเป็น
เรื่องใหญ่
“กุ้ยเฟย กุ้ยเฟย”
ใครบางคนใช้มือแตะที่ข้อศอกนาง
กุ้ยเฟยกรีดร้องตกใจพลันได้สติกลับมา หันมองขันทีที่คุกเข่า
อยู่ตรงหน้า
เมื่อเห็นกุ้ยเฟยเหม่อลอย ขันทีจึงสะกิดเตือนอย่างจนปัญญา
แต่ในฐานะคนรับใช้ก็ยังถือเป็นการเสียมารยาท จึงต้องคุกเข่าลงขอ
รับโทษ
“มีอะไร” กุ้ยเฟยตะคอกเสียงเบา
“กุ้ยเฟย” ขันทีผู้นั้นลุกขึ้นเดินเข้ามากระซิบขึ้นว่า “เรื่องนั้น
จัดการเรียบร้อยแล้ว เป็นช่วงนี้เลย”
เรื่องนั้น เรื่องไหนกันกุ้ยเฟยยังนึกไม่ออก
“เรื่องคนไกลถิ่นคนนั้น” ขันทีจำ ต้องเอ่ยเตือนอย่างระมัดระวัง
คนไกลถิ่นห้ามกลับมา…
กุ้ยเฟยนึกขึ้นได้ จึงหันไปถลึงตาใส่ขันที
“เรื่องเล็กแบบนี้ไม่ต้องพูดซ้ำ อีก” นางเอง
อ้าว นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงคอยตามมาตลอด
หรือ เหตุใดบัดนี้จึงไม่ต้องพูดถึงแล้ว
“กลับไปเถอะ” กุ้ยเฟยเอ่ยขึ้น หันหลังก้าวเท้าเดิน พลันหยุด
ฝีเท้าลงอีกครั้ง “ระวังพวกพระสนมอัน ไว้ด้วย”
ขันทีขานรับ
…
“พวกเขาอยากให้มันเป็นเรื่องน่ายินดี มันง่ายแบบนั้นเสีย
ที่ไหน ปล่อยให้มันกลายเป็นข่าวเสียหายของพวกเขาแบบนี้ไป มาดู
กันว่าพวกเขาจะยังมีหน้าเหลืออยู่ไหม”
ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางหัวเราะ
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะตาม“ขอบคุณท่านชาย” นางเอ่ยขึ้น
“แม่นางเข้าใจผิดแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้ทำเพื่อแม่นาง ข้าฉินสิบ
สามไม่กล้ารับคำขอบคุณหรอก” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยตอบอย่าง
นอบน้อม “ต่อให้ไม่มีแผนการนี้ของข้า แม่นางเองก็ไม่แย่หรอก
ดังนั้น เรื่องนี้ข้าเพียงทำไปเพราะทนดูไม่ได้จริงๆ เท่านั้น”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“นายหญิง รถพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” ปั้นฉินเอ่ยขึ้นขณะเดินเข้ามา
เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นยืน ท่านชายฉินสิบสามและท่านชายโจว
หกหันไปคำนับ พลางมองหญิงสาวเดินนำปั้นฉินออกไป
รอยยิ้มท่านชายฉินสิบสามหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
“ทำอย่างกับเรื่องใดก็เหมือนกันทั้งหมด” เขาเอ่ยขึ้น
“อะไรเหมือนกันทั้งหมด” ท่านชายโจวหกเอ่ยถามอย่าง
ไม่เข้าใจ
“เรื่องไร้สาระ เรื่องดี เรื่องร้าย ต่างเหมือนกันทั้งหมดใน
สายตาของนาง” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
เหมือนกันหมดหรือท่านชายโจวหกแค่นหัวเราะ
“ข้าบอกแล้ว ต่อให้นางต้องแต่งงานกับหมาก็คงไม่โกรธอะไร”
ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างกลุ้มใจ มือที่ปล่อยทิ้งอยู่ข้างลำตัวกำหมัด
แน่น
นางไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าคนนั้นจะเป็น
ใคร
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะพลางสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ
“แต่ว่า พวกเราก็ยังยินดีที่จะเป็นคนคนนั้น” เขาเอ่ย พลันหัน
มองท่านชายโจวหก “เจ้าไม่ยินดีหรือ”
ท่านชายโจวหกหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย
แค้นที่ถูกแย่งภรรยา!
นางเป็นภรรยาของข้า!
ประโยคที่ตะโกนออกไปยังคงวนเวียนอยู่ข้างหูเขา ทำให้ใบหู
เขาร้อนผ่าว
ท่านชายโจวหกรีบหันไปมอง“ดังนั้นเจ้าถึงได้วางใจให้ข้าช่วยเล่นละคนฉากนี้หรือ” เขาเอ่ย
ถาม
ท่านชายฉินสิบสามสีหน้าตะลึง
“เจ้าจะมาโกรธอะไรข้า” เขาหัวเราะขึ้นอีกครั้งพลางเอ่ยขึ้น
ที่น่าแปลกคือครั้งนี้ท่านชายโจวหกมิได้อารมณ์เสียแล้วสะบัด
หนีไป แต่กลับหันมองเขา
“ข่าวน่ายินดีหรือข่าวเสียหายก็เหมือนกันหมดสำ หรับนาง แต่
สำ หรับเจ้าแล้ว มันไม่เหมือนกัน สำ หรับตระกูลเจ้าแล้ว ก็
ไม่เหมือนกัน” ท่านชายโจวหกเอ่ยขึ้น
รอยยิ้มของท่านชายฉินสิบสามแข็งทื่อในทันใด
“ชายหก เจ้ากับข้าไม่ใช่แค่เจ้ากับข้าอีกต่อไปแล้วหรือ ต้องเริ่ม
พูดโยงถึงตระกูลเจ้าตระกูลข้าแล้วหรือ” เขาเผยยิ้มบางพลางเอ่ย
ถาม
เริ่ม…
ที่จริงนี่ไม่ใช่การเริ่มต้น เพราะมันเริ่มมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่
วินาทีที่เขารักษาขาหายเป็นต้นมาเขาไม่ใช่เจ้าเป๋ตระกูลฉินอีกต่อไป…
คำพูดของท่านพ่อดังก้องขึ้นที่ข้างหู
ตระกูลฉิน…
ที่แท้เขาก็เป็นคนตระกูลฉิน ตระกูลฉินในเครือญาติของ
ราชวงศ์ เขาคือท่านชายฉินสิบสาม เขาคือขุนนางตระกูลฉินผู้
ปกป้องราชสำ นัก เขาคือฉินหู
ไม่เหมือนตระกูลโจวของเขา และไม่เหมือนเขา ที่ได้
เปลี่ยนแปลงโชคชะตาเพราะนาง และยินยอมถูกนางเปลี่ยนแปลง
โชคชะตาเช่นกัน
“แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรคนเราก็
ไม่ได้ตัวคนเดียว ข้าเป็นลูกหลานตระกูลฉิน ดังนั้นจึงไม่ใช่ตัวข้าแค่
คนเดียว” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยขึ้นแกมหัวเราะ “ใช่แล้ว สำ หรับ
นางก็เหมือนกันหมด แต่ในเมื่อเหมือนกันแล้ว เหตุใดจึงต้องยอมให้
ตระกูลเการังแก เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นการผูกแค้นพยาบาท เหตุใด
จึงให้คนอื่นเห็นว่าเป็นการผูกมิตร นางไม่พูดไม่ทำอะไร ตระกูลเกา
ก็ควรได้ดั่งใจต้องการหรือ”“ข้าไม่มีทางยอมให้ตระกูลเกาได้ดั่งใจต้องการหรอก ในเมื่อ
สำ หรับนางก็เหมือนกันทั้งหมด เช่นนั้นแล้ว ข้าก็อยากให้ตัวเอง
ไม่เหมือนใคร หากไม่ใช่เพราะนางมีกฎระเบียบมากมาย ข้าก็จะเป็น
คนยิงธนูเอง ข้ายินดีที่จะเป็นคนบ้าคนนั้น ชายหก หากเจ้าโกรธข้า
เพราะเรื่องนี้ ข้าต้องขอโทษด้วย”
พูดจบพลันโค้งตัวคำนับ
ท่านชายโจวหกงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเขาพูดถูก แต่ก็เหมือน
มีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“เจ้าไม่ต้องขอโทษหรอก ข้าเองก็ทนดูไม่ได้เช่นกัน ข้ายินดี
ที่จะร่วมแสดงละครฉากนี้ ก็เพื่อตัวข้าเองด้วยเช่นกัน” เขาเอ่ยอย่าง
กลัดกลุ้ม
พูดจบพลันยกเท้าขึ้นถีบท่านชายฉินสิบสาม
“ฉินหู” เขาตะโกนขึ้น
ฉินหู
“อยู่ต่อหน้าเจ้านานจนข้าลืมไปแล้วว่าตัวเองชื่อฉินหู”
ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางหัวเราะ พลันพยักหน้า “ว่ามาสิ โจวฝู”“ข้ารู้ว่าเจ้าเล่ห์เหลี่ยมเยอะ คราวหน้าถ้าไม่อธิบายให้ชัดเสีย
ก่อน ข้าจะทุบแขนเจ้าให้หักเสีย” โจวฝูเอ่ยขึ้น
ฉินหูหัวเราะร่า
“ข้าก็บอกชัดแล้วมิใช่หรือ เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร ข้า
ไม่อยากให้นางแต่งงานกับตระกูลเกา” เขาเอ่ยขึ้น สีหน้าจริงจัง
แล้วจึงเน้นย้ำอีกครั้ง “ข้าไม่อยาก นางไม่ได้คิดอะไร ก็ถือว่า
ไม่อยากเช่นกัน”
จะว่าไป เขาก็น่าสงสารยิ่งกว่าตนเสียอีก
“ไม่ว่าเจ้าจะอยากหรือไม่” โจวฝูเอ่ยพลางหัวเราะ “ถึงอย่างไร
นางก็ไม่แต่งกับเจ้าหรอก”
“แล้วนางจะอยากแต่งกับเจ้าหรือ” ฉินหูเอ่ยพลางหัวเราะ เน้น
ยำคำว่าอยาก
ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คิดอะไรอยู่!
โจวฝูอารมณ์เสีย พลันหันมองไปทางที่เฉิงเจียวเหนียงเดิน
จากไป“มัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องพิลึกพิลั่นทั้งวันทั้งคืน ไม่รู้จริงๆ ว่า
นางคิดอะไรอยู่” เขาพึมพำขึ้น “ล่วงเลยมาถึงขนาดนี้แล้ว ยัง
จะมานั่งหมักเหล้าอีก”
“จะครบรอบหนึ่งปีพี่ชายนางแล้ว” ฉินหูเอ่ยพลางหัวเราะ
เร็วขนาดนี้เชียวหรือ
“ปีหนึ่งแล้วหรือ” โจวฝูเอ่ยอย่างตกใจ
“ใช่ เร็วเสียจริง” ฉินหูโอบข้อศอกถอนหายใจ
ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนเขารู้สึกไร้เรี่ยวแรงจนคว้า
อะไรไว้ไม่ได้สักอย่าง
ความรู้สึกแบบนี้มันช่างน่าอึดอัดยิ่งนัก