พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 544 ข่าวลือ
ช่วงปลายเดือนสี่ เหตุการณ์จลาจลที่เม่าผิงสงบลง ข่าวดีถูก
ส่งมา เสียงหัวเราะของฮ่องเต้ดังก้องพระราชวังอีกครั้ง
“ผู้คนมักบอกว่าองค์ชายในราชสำ นึกเติบโตขึ้นโดยการเลี้ยงดู
ของฮูหยินในวัง จึงไม่มีความสามารถในการออกรบสู้สงคราม แล้วดู
เหว่ยหลังของพวกเราสิ อีกหน่อยจะมีใครกล้าพูดแบบนี้อีก” เขาเอ่ย
พลางหัวเราะ
“ใช่พะยะค่ะ ผู้คนพากันพูดว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องมีความกล้าหาญ
เสมือนขุนพลผู้แกร่งกล้าในอดีต ถึงได้กล้าเข้าไปในถิ่นของศัตรูก่อน
” ขันทีเอ่ยพลางหัวเราะตาม
กุ้ยเฟยซึ่งนั่งอยู่ข้างกันแค่นหัวเราะขึ้นในใจ กล้าหาญเหมือน
ขุนพลอะไรกัน ก็แค่พวกโจรภูเขาทำมาเป็นเทียบกับโจรตะวันตก
เสียงหัวเราะฮ่องเต้ดังขึ้นอีกครั้ง
“เทียบกันไม่ได้หรอก เทียบกันไม่ได้” เขาส่ายหน้าเอ่ยขึ้นแต่กุ้ยเฟยกลับไม่เห็นว่าสีหน้าเขาจะบ่งบอกถึงความรู้สึกเทียบ
ไม่ได้ตรงไหน
“ข้าไม่สนหรอกว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร แล้วก็ไม่สนใจว่าเขา
กล้าหาญหรือไม่” ไทเฮาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เช็ดน้ำตาเอ่ยขึ้น “ไม่คิดบ้าง
หรือว่ามันอันตรายแค่ไหน ไม่ได้บอกว่าไปแค่เป็นพิธีหรือ เหตุใด
ถึงพาคนเข้าไปด้วยตัวเอง”
ถึงแม้ในจดหมายที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องเขียนกลับมารายงาน
จะเล่าเรื่องให้ดูเบาลงแล้ว แต่ทุกการกระทำที่เม่าผิงต่างไม่สามารถ
เล็ดลอดสายตาฮ่องเต้ไปได้ เมื่อรวบรวมข้อมูลจากทุกทาง ก็
สามารถรู้ชัดเหตุการณ์ก่อกบฏของผู้ประสบภัยที่นั่นได้
หมู่บ้านสือถังเป็นแรงผลักดันสำ คัญของการก่อกบฏครั้งนี้ จิ้น
อันจวิ้นอ๋องเข้าไปเยือนหมู่บ้านเพื่อเจรจาโน้มน้าวและอภัยโทษให้
พวกเขา เรื่องนี้ฟังดูน่ากลัว แต่ความจริงน่ากลัวยิ่งกว่า
ตอนนั้นมิได้มีเพียงจิ้นอันจวิ้นอ๋องเท่านั้นที่เข้าเยือนหมู่บ้าน
แต่เหล่ากบฏที่ถูกโจมตีจนพังพินาศก็เข้ามาโน้มน้าวเช่นกัน หัวหน้า
หมู่บ้านสือถังทั้งสองกำลังลังเล แต่บรรดากบฏที่เข้ามาโน้มน้าวคนนั้น
กลับแอบไปวางแผนจะฆ่าจิ้นอันจวิ้นอ๋อง เมื่อเป็นแบบนี้จึงทำให้
หัวหน้าสือถังมาถึงทางตัน จำ ต้องก่อจลาจลต่อไป
พวกเขาวางแผนกันมาอย่างดี และเกือบทำได้สำ เร็จ แต่
สุดท้ายเมื่อจิ้นอันจวิ้นอ๋องสามารถฆ่าหัวหน้าได้ ผู้คนในหมู่บ้านสือ
ถังก็พากันหวาดผวา หัวหน้าอีกสองคนจึงตัดสินใจยอมทำตาม
ราชสำ นัก รวมพลังกันล้อมฆ่าเหล่าผู้จลาจลที่เหลือ และต้อนรับ
เหล่าขุนนางและทหารขึ้นภูเขามา
“…ใช้ดอกไม้ไฟยิงพวกโจรจนตาย พวกเจ้าฟังดูสิ นี่มันเหมือน
ละครแค่ไหน!” ไทเฮาเอ่ยขึ้น
ใช่แล้ว ฮ่องเต้เองก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ฟังเรื่องนี้
ทหารองค์รักษ์สี่นายถูกฆ่า พวกโจรอยู่สถานการณ์ที่ถอยไม่ได้
อีกแล้ว แต่จิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับฆ่าหัวหน้าพวกมันขณะที่ถูกล้อมอยู่
ได้ เมื่อถามว่าใช้อาวุธอะไรฆ่า กลับได้คำตอบว่าเป็นดอกไม้ไฟ
ดอกไม้ไฟจากร้านตระกูลหลี่
“ตอนข้าจากเมืองหลวงมา ได้พกดอกไม้ไฟมาด้วย คิดจะใช้
เป็นเครื่องมือส่งสัญญาณในยามดึก เดิมทีหลี่เม่าเห็นดอกไม้ไฟของแม่หญิงเฉิงลอยสูงได้เพียงนั้น พลันคิดว่าหากเป็นระยะในแนวนอน
จะเป็นอย่างไร จึงคิดค้นระเบิดออกมาในภายหลัง และจากนั้น
ดอกไม้ไฟจากร้านตระกูลหลี่ก็ใช้ดินปืนที่ดีขึ้น ทำให้สามารถลอย
สูงขึ้นได้ ตอนนั้นสถานการณ์ฉุกเฉิน และไม่มีอาวุธในมือ จึงทำได้
เพียงยิงดอกไม้ไฟออกไป คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะยิงถูกตัว”
นี่คือสิ่งที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องบอกเล่าเมื่อเหล่าทหารพากันขึ้นเขา
มา
เป็นเรื่องที่ใครฟังก็คงไม่อยากเชื่อ แต่ใบหน้าสามคนที่เสียชีวิต
ในที่เกิดเหตุก็ถูกเผาจนไหม้จริงๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นรอยจากดินปืน
คนพวกนั้นฆ่าทหารองค์รักษ์ตายในพริบตา เหลือไว้เพียงจวิ้น
อ๋องผู้ไม่มีอาวุธติดมือ เดิมคิดว่าต้องชนะเป็นแน่ นึกไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ
จะถูกดอกไม้ไฟยิงตาย เสียงดังกระหึ่ม น่ากลัวยิ่งนัก ที่จริงพวกเขาก็
มีแผนการตอบโต้ แต่ลุกลี้ลุกลนไปชั่วขณะ ทำให้จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
มีโอกาสหนีไปได้ เมื่อเรื่องแดง เหล่าหัวหน้าหมู่บ้านจึงจำ ต้อง
กลับลำมาไล่ฆ่าพวกเขาแทน
ช่าง…เป็นคนที่โชคดีเสียจริง…ฮ่องเต้ส่ายหน้าพลางถอนหายใจปนหัวเราะ
ความโชคดีเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีความกล้าเท่านั้น
“ได้ยินว่าตอนนั้นจิ้นอันจวิ้นอ๋องมีลำแสงเทพเซียนคุ้มครอง
ราวกับมีเทพลงมาช่วย ทำให้เหล่าคนในหมู่บ้านพากันก้มลง
กราบไหว้ หัวหน้าหมู่บ้านนึกว่านี่คือเทพจากสวรรค์ ไม่กล้าขัดขืน
จึงได้ตัดสินใจทำตามราชสำ นักโดยไม่ลังเล” กุ้ยเฟยเอ่ยพลาง
หัวเราะ
มาบอกว่าจวิ้นอ๋องเป็นเทพจากสวรรค์ จึงทำให้ผู้คนพากัน
หวาดกลัวใจสั่นไปหมด
ฮ่องเต้ยังคงพยักหน้าอย่างใจลอย
“ในยามค่ำคืนอันมืดมิดแบบนั้น อยู่ดีๆ ก็มีลูกไฟยิงออกมา
รอบด้าน โจรล้มลงบนนพื้น มันก็ดูน่ากลัวจนทำให้คนคิดได้ว่าเป็น
เทพจากสวรรค์” เขาเอ่ยพลางหัวเราะแผ่วเบา “อีกอย่าง เขา
เป็นตัวแทนของข้า ทำหน้าที่แทนข้า ก็เปรียบเสมือนเป็นคนจาก
ฟ้าจริงๆ ”
…“มันน่าโมโหเสียจริง ”
กุ้ยเฟยตะคอกขึ้นพร้อมพลิกโต๊ะตรงหน้าจนคว่ำ แต่ยังไม่พอ
นางยกเท้าขึ้นถีบซ้ำ จนโต๊ะกระเด็นออกไปไกล
“สรุปแล้วใครเป็นโอรสแท้ๆ กันแน่ คอยชื่นชมปกป้องทุก
ย่างก้าว แต่กับอีกคนกลับจับผิดตำหนิไปทั่ว ดุด่าทั้งวันยังไม่พอใจ!
”
“คนจากฟ้า คนจากฟ้า! รอเขามาแทนที่ฮ่องเต้ก่อนเถอะ ดูกัน
ว่าใครจะยังหัวเราะได้! ”
เหล่าขันทีรีบยกมือขึ้นปิดหู สิ่งเดียวที่พวกเขาเกรงกลัวคือ
จานชามที่ตกแตกบนพื้นกระเด็ดมาโดนจนได้รับบาดเจ็บ
“กุ้ยเฟย ที่ฝ่าบาทเป็นแบบนี้ก็สมเหตุสมผลอยู่ ฝ่าบาททรงเก่ง
ด้านการรบตั้งแต่เด็ก จึงเห็นจวิ้นอ๋องเหมือนเห็นตนเอง ถึงได้ชื่นชม
เพียงนี้ มิได้หมายความว่าทรงสนับสนุนจวิ้นอ๋อง” ขันทีเอ่ยขึ้น
“กุ้ยเฟย อย่าคิดมากไปเลย”
“ข้าไม่คิดมาก แต่ข้าโมโหเหลือเกิน! ” กุ้ยเฟยตะคอกกลับ
พลันยื่นมือไปดึงม่านอย่างโกรธเคือง “คนไร้ประโยชน์ ไร้ประโยชน์สิ้นดี ทหารก็ตายไปหมดแล้ว โอกาสดีๆ แบบนี้ แต่กลับไม่ยอม
ฆ่าเขา แถมยังถูกเขาใช้ดอกไม้ไฟยิงตายอีก! ”
“พวกเจ้าหาคนไร้ประโยชน์แบบนี้มาทำไม คิดว่าให้มาเล่น
ละครงั้นหรือ”
ขันทีโบกมือไปมา สีหน้าซีดเซียว
“กุ้ยเฟย กุ้ยเฟย พูดเช่นนั้นไม่ได้ พูดเช่นนั้นไม่ได้” เขารีบ
กระซิบขึ้น
กุ้ยเฟยดึงม่านอย่างโกรธเคืองอีกครั้ง พลันหันไปถีบโต๊ะออก
ไปอีก แต่กลับรู้สึกเจ็บเท้า จึงร้องเสียงดังและจำ ต้องนั่งลง
“กุ้ยเฟย กุ้ยเฟย กุ้ยเฟย ไม่ได้การแล้ว”
นางกำนัลด้านนอกตะโกนขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน เมื่อเห็นสภาพ
กุ้ยเฟยภายในห้องก็ถึงกับตะลึงจนหยุดฝีเท้า
“มีเรื่องอะไรไม่ดีอีก พูดมา พูดมาพร้อมกันให้หมด จะได้
ไม่ต้องมาทำให้ข้าอารมณ์เสียรายวัน” กุ้ยเฟยเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น
นางกำนัลดูหวาดผวาไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินเข้ามาคุกเข่าข้างๆ
กุ้ยเฟย“กุ้ยเฟย ยังจำ ข่าวลือที่บอกว่าพระสนมอันฝันเห็น
ดาวพระศุกร์เข้ามาจุติในร่างได้หรือไม่” นางกระซิบขึ้น
กุ้ยเฟยหัวเราะร่า
“อะไรกัน มีอะไรมาเข้าร่างนางอีกหรือ” นางเอ่ยขึ้น
“กุ้ยเฟย ข่าวลือนี้มิได้ไม่มีที่มาที่ไป” นางกำนัลกระซิบต่อ
กุ้ยเฟยเลิกคิ้วหันมองนาง พลันทำเสียงถุยปาก
“กุ้ยเฟย พระสนมอันฝันเห็นจริงไหมเราไม่รู้ แต่ดาวพระศุกร์
เคยปรากฏตัวจริงเพคะ” นางกำนัลกระซิบบอกด้วยความ
กระวนกระวาย “ตอนก่อนเกิดจันทรุปราคา ได้เกิดปรากฏการณ์
ดาวพระศุกร์จรัสฟ้าขึ้น”
ดาวพระศุกร์จรัสฟ้าขึ้น!
กุ้ยเฟยรีบนั่งตัวตรง
“เจ้าว่าอะไรนะ” นางเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
จันทรุปราคาบรรจบกับดาวพระศุกร์ รัชทายาทอยู่ในอันตราย
…ข่าวกบฏเม่าผิงถูกแพร่ออกไปพร้อมกับม้าส่งข่าวที่วิ่งเข้า
เมืองหลวง
เมื่อเทียบกับชัยชนะจากการสู้รบกับโจรตะวันตกแล้ว ปกติเหตุ
กบฏของชาวมือก็มิได้สร้างความฮือฮาอะไรมากมาย แต่ครั้งนี้กลับ
ต่างออกไป
เพราะครังนี้มีเหตุการณ์น่าพิศวงเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่จิ้นอัน
จวิ้นอ๋องผู้แทนฮ่องเต้ทรงเข้าไปในหมู่บ้านสือถังตามลำพัง
“…พาทหารไปด้วยเพียงสี่คนเท่านั้น…”
“ไม่สิ ข้าได้ยินว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องเข้าไปคนเดียว เดินเข้าเขต
หมู่บ้านคนเดียวอย่างสง่างาม…”
เสียงพูดคุยถกเถียงดังขึ้นทั่วบริเวณ
“…ตอนนั้นมีแสงสีทองสว่างวาบขึ้น ท่านไท้เสียงเหล่ากุน
[1]ทรงแสดงอิทธิฤทธิ์ เอ่ยพึมพำคล้ายบทสวด มือสะบัดดาบแสง
ทำให้โจรล้มลงบนพื้นในทันใด จากนั้นจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็เดินออกมา
อย่างสง่างาม เขายืนลูบชายเสื้อพลันตะโกนเสียงดัง ส่วนพวกโจรที่
เหลือก็ไม่รอช้า รีบยอมทำตามราชสำ นักทันที!”เสียงตบโต๊ะดังขึ้น ผู้เล่าเรื่องถลกเสื้อขึ้นลุกขึ้นยืน ทันใดนั้น
เสียงตะโกนชื่นชมก็ดังขึ้นทั่วห้องโถง
ชายหนุ่มซึ่งนั่งมองห้องโถงจากชั้นสองเองก็ตบโต๊ะหัวเราะร่า
ขึ้น
“ชายหก มีอะไรน่าขันหรือ” ฉินหูขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
“เล่าได้น่าขันนัก” โจวฝูเอ่ยพลางหัวเราะ พลันหยิบผลไม้แห้ง
บนโต๊ะโยนใส่ปาก แล้วจึงหันไปพิงราวจับนั่งฟังต่อ
“…ต้องบอกว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ใช่คนธรรมดาแต่แรก เดิม
พระชายาซิ่วอ๋องเคยฝันเห็นพระโพธิสัตว์ยื่นน้ำเต้าให้ท่าน เมื่อตื่น
มาพลันพบว่าทรงตั้งครรภ์ ให้กำเนิดออกมาเป็นจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
เพราะเป็นบริวารของพระโพธิสัตว์ จึงเรียกเทพยดามาช่วยได้”
เมื่อได้ยินดังนี้ โจวฝูพลันเบ้ปากกำลังจะหัวเราะร่า แต่ฉินหู
กลับลุกขึ้นยืน และโยนเงินก้อนโตลงบนโต๊ะ
“ไปกันเถอะ เล่าเรื่องไร้สาระแบบนี้ ไม่รู้แค้นอะไรจิ้นอันจวิ้น
อ๋องหนักหนา” เขาขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
โจวฝูหัวเราะพลางเดินตาม“สนุกดีออก” เขาเอ่ย “จะว่าไปจวิ้นอ๋องก็มีเทพคุ้มครองจริงๆ
ดอกไม้ไฟยังใช้ไล่ศัตรูได้ คงไม่เคยมีใครเคยทำ และคงไม่มีใคร
ทำได้อีก”
“ใช้ดอกไม้ไฟไล่ศัตรู เจ้าเชื่องั้นหรือ” ฉินหูเอ่ยขึ้น
โจวฝูหันมองหน้าเขา
“มีคนเห็นกับตาตั้งหลายคน นี่เจ้าคิดไร้สาระอะไรอยู่” เขาเอ่ย
พลางหัวเราะ
“เห็นกับตาไม่ได้แปลว่าต้องเป็นความจริง” ฉินหูเอ่ย “เชื่อใน
สิ่งที่เห็น แต่สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ความจริง”
“แล้วจะไปสนใจทำไมว่าจริงหรือไม่จริง ถึงอย่างไรเรื่องก็จบไป
แล้ว” โจวฝูเอ่ย
ฉินหูไม่เอ่ยอะไรต่อ หันกลับไปมองโรงชาแวบหนึ่ง
ภายในโรงชามีผู้คนรายล้อมมากมาย ผู้เล่าเรื่องคนนั้นยิ่งเล่า
ยิ่งสนุกขึ้นกว่าเดิม
“จวิ้นอ๋องมีเทพคุ้มครอง แล้วชินอ๋องควรทำอย่างไร” เขาเอ่ย
ขึ้นอย่างเย็นชาโจวฝูยื่นมือมาตบบ่าเขา
“จวิ้นอ๋องมีเทพคุ้มครอง อีกหน่อยที่โถงด้านข้างของวัดไท่
เมี่ยวก็คงมีของถวายวางล้นถึงชั้นบนสุด” เขาเอ่ย “ส่วนชินอ๋องถึง
แม้จะไม่มีเทพคุ้มครอง แต่อยู่ที่โถงหลักก็ยังมีตำแหน่งขั้นต่ำ จะเป็น
เจ้าสิบสาม จวิ้นอ๋อง ชินอ๋อง ก็ต่างกันเพียงนิดเดียว แบบนี้ก็ถือว่า
ฟ้าลิขิตที่จะคุ้มครองแล้ว”
“ในเมื่อรู้สิ่งที่ฟ้าลิขิต ก็ควรรักษาหน้าที่ของตัวเอง” ฉินหูเอ่ย
“แต่บัดนี้จวิ้นอ๋องได้ละทิ้งหน้าที่ไปแล้ว”
“ละทิ้งหน้าที่อย่างไรกัน เดิมทีฝ่าบาทสั่งให้คนของราชสำ นัก
ออกมาต้อนรับเขา แถมยังจะให้ผิงอ๋องให้เกียรติชนเหล้าแทนฮ่องเต้
แต่ก็ถูกปฏิเสธไม่ใช่หรือ แบบนี้ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีแล้ว” โจวฝูเอ่ย
ขึ้น สีหน้าภูมิใจ “ถือว่าพวกเขารู้หน้าที่ตัวเอง”
โจวฝูขยับเข้าใกล้ฉินหู กระซิบขึ้นว่า
“แค่ปราบกบฏร่วมกับชาวเมืองและรับมือกับโจรที่ก่อกวน
นิดหน่อย ก็ถือว่าเป็นผลงานชิ้นใหญ่ที่ควรได้รับการต้อนรับจากรัชทายาทแล้ว แบบนี้ผลงานของกองทหารตะวันตกเฉียงเหนือของ
พวกเราจะเป็นอย่างไร”
ฉินหูหลุดหัวเราะออกมา ใช้ศอกชนแขนเขาเข้าอย่างจัง
“เจ้าจะภูมิใจทำไม เขาได้รับในสิ่งที่ควรได้รับแล้ว มีชื่อเสียง
แล้ว แต่ยังถ่อมตัวต่อหน้าฮ่องเต้ รู้จักกาละเทศะแบบนี้ก็ถือว่าฉลาด
แล้ว” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ
โจวฝูหัวเราะเยาะ
“เจ้าไม่เหนื่อยหรือ คิดมากทุกวันแบบนี้ ความฉลาดของเจ้า
ไม่มีประโยชน์อะไรกับเรื่องนี้ สู้รีบไปคิดว่าเรื่องของนางจะทำอย่างไร
เสียดีกว่า” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
เรื่องของนาง…
ฉินหูหัวเราะขึ้น ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ พลันเดินจากไป
เรื่องของนางเป็นเรื่องที่ข้าอยากคิดมากที่สุด แต่นางกลับ
ไม่เคยต้องการให้ข้าคิดเลย[1] หนึ่งในเทพเจ้าในไซอิ๋ว