พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 545 สงสัย
เมื่อโจวฝูและฉินหูกลับถึงบ้าน ก็พบกับเฉิงเจียวเหนียงกำลัง
เดินออกมาพอดี
“เจ้าจะไปไหนหรือ” โจวฝูขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“ไปตำหนักชิ่งอ๋อง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยตอบ
โจวฝูไม่ได้สนใจอะไร ก้าวเท้าเดินเข้าไป แต่ฉินหูกลับหยุดนิ่ง
“แม่นางเฉิง” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงหยุดฝีเท้าหันมองเขา
“ข้าสงสัยมานานแล้ว ว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องโน้มน้าวให้เจ้า
ช่วยดูแลชิ่งอ๋องได้อย่างไร” ฉินหูเอ่ยถามพลางหัวเราะ
“เพราะเขาขอ และข้าก็ทำได้” เฉิงเจียงเหนียวเอ่ยตอบ
ฉินหูหัวเราะขึ้น
“ที่แท้ก็ขอแม่นางได้ง่ายๆ แบบนี้เองหรือ” เขาเอ่ยพลาง
หัวเราะ
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มขึ้น พลันหันมาคำนับและเดินไปนั่งบนรถ“ทำอะไรของเจ้าน่ะ” โจวฝูถลึงตาพลันใช้ข้อศอกกระแทกฉินหู
“ก็ข้าสงสัย” ฉินหูเอ่ยตอบ พลางก้าวเท้าเข้าประตูไป
สองคนเดินเข้ามานั่งในบริเวณใต้ระเบียง สาวใช้ยกเครื่องชา
มาให้ ฉินหูถลกแขนเสื้อขึ้นชงชา
“มีอะไรน่าสงสัยหรือ” โจวฝูเอ่ยถาม
“สงสัยว่าสรุปนางจะแต่งงานกับใคร” ฉินหูเอ่ยพลางหัวเราะ
หลังจากโจวฝูไปก่อเหตุที่หอเต๋อเชิ่ง ตระกูลเกาก็เละไม่เป็นท่า
แต่กลับไม่ได้ย้อนมาก่อเรื่องเอาคืน กลายเป็นเงียบกริบ
ไม่มีความเคลื่อนไหวใดต่อ
“สงสัยคราวนี้ใต้เท้าเกาจะเป็นคนออกโรงเอง” ฉินหูเอ่ยขึ้น
“เมื่อวานเห็นว่ามีแม่สื่อไปที่บ้านตระกูลเฉิง” โจวฝูกัดฟันเอ่ย
ขึ้น “พวกเขาช่างหน้าด้านเสียจริง”
โจวฝูรับชามาดื่มจนหมดแก้ว
“แล้ว…พวกเราควรทำอย่างไร” เขาเอ่ยถาม
ให้ข้าหน้าด้านด้วยงั้นหรือฉินหูเงยหน้าขึ้นมองเขา แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องให้เห็นใบ
หน้าที่ออกจะหยาบกระด้างของชายหนุ่มแดงกำขึ้นมา ไม่รู้ว่าถูก
แดดแผดเผาจนร้อนหรือเป็นเพราะเพิ่งดื่มชาร้อนๆ เข้าไปกันแน่
“ข้าก็เลยสงสัย” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ พลันยกถ้วยชาขึ้นดื่มจน
หมดแก้ว
……
“ต่อไปจะทำอย่างไรดี”
นายใหญ่ตระกูลเฉิงซึ่งนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกบ้านตระกูลโจวใน
ขณะนี้เอ่ยขึ้น
เขามาพบเฉิงเจียวเหนียง แต่กลับคลาดกัน จึงได้แต่นั่งรอที่นี่
“ตระกูลเกาเชิญแม่สื่อมาจริงหรือ” นายใหญ่โจวถามขึ้นด้วย
ความประหม่า
นายใหญ่ตระกูลเฉิงพยักหน้า
เขาเองก็แอบโกรธอยู่ในใจเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้
แล้วยังจะเชิญแม่สื่อมา ตระกูลเกานี่ไม่ยอมรามือจริงๆ“พวกเขาส่งแม่สื่อมา พวกเราก็ให้เจียวเหนียงกับชายหก
แต่งงานกันไปเลยสิ” นายใหญ่โจวเอ่ยขึ้น
นายใหญ่ตระกูลเฉิงหันมองนายใหญ่โจว
“เช่นนั้นแล้ว ก็คงจะอยู่เมืองหลวงต่อไปไม่ได้” เขาเอ่ยขึ้นด้วย
สีหน้าจริงจัง
“ทำไมกัน แค่เรื่องไร้สาระแบบนี้ ฝ่าบาทจะไล่พวกเราไปได้
หรือ” นายใหญ่โจวหัวเราะขึ้น “นี่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระของลูกหลาน
คนวัยหนุ่มสาวก็ต้องมีเรื่องบาดหมางกันบ้าง ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัว
ไปเกี่ยวโยงกับราชสำ นัก ฝ่าบาทไม่ใช่คนแบบนั้น”
นายใหญ่ตระกูลเฉิงหัวเราะร่า
“ท่านคิดผิดแล้ว พวกเราไม่ได้พูดถึงฝ่าบาทอยู่” เขาเอ่ยขึ้น
“แต่กำลังพูดถึงผิงอ๋อง”
ผิงอ๋องหรือ
นายใหญ่โจวตกตะลึง
“เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าคนที่เป็นสื่อตอนแรก คนที่ก่อเรื่องขึ้น
คือใคร” นายใหญ่ตระกูลเฉิงเอ่ยคือผิงอ๋อง!
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฮ่องเต้แม้แต่น้อย เรื่องที่สองตระกูลจะเป็น
ทองแผ่นเดียวกันหรือจะแตกหักกัน ฮ่องเต้เพียงดูอยู่ห่างๆ เท่านั้น
ฮ่องเต้อายุมากแล้ว ต้องมีสักวันที่ลงจากตำแหน่ง
แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไทเฮา เพราะการแต่งงานครั้งนี้จะสำ เร็จ
หรือไม่ ก็ย่อมส่งผลต่อชื่อเสียงของไทเฮา ทว่าบัดนี้ไทเฮาก็
เสียชื่อเสียงไปมากแล้ว และถึงอย่างไรไทเฮาก็ยังเป็นเพียงไทเฮา
ท่านอายุมากแล้ว และท่านเป็นเพียงสตรีในวังหลัง เปลี่ยนแปลง
อะไรในราชสำ นักไม่ได้อยู่แล้ว
แต่หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผิงอ๋อง ชายหนุ่มซึ่งเป็น
มกุฎราชกุมารเพียงหนึ่งเดียว และอนาคตจะได้เป็นฮ่องเต้อีก
ยาวนาน ความพอใจของเขาก็จะส่งผลกระทบต่อราชสำ นักไปอีก
นาน และผลกระทบนี้ยังจะสาวยาวต่อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน…
“เช่นนี้แล้ว เรื่องนี้คงต้องแก้ไขให้ได้” นายใหญ่โจวพึมพำขึ้น
การแก้ไขนั้นไม่ยาก แต่สิ่งที่ต้องแลกไปคืออนาคตของตระกูล“มิน่าเจียวเจียวจึงบอกว่าจะยอมทำตามอำนาจและแต่งงาน
กับเขาไป” นายใหญ่โจวเอ่ยขึ้นพลางลูบเครา
นายใหญ่ตระกูลเฉิงเผยรอยยิ้มเหยียดหยามขึ้นมา
“ทำเป็นโอ้อวดใหญ่โตแต่กลับทำได้แค่นี้ พูดเสียดูน่าเกรงขาม
แต่กลับกลัวเรื่องแค่นี้” เขาเอ่ยขึ้น “ข้ารู้อยู่แล้วว่าคนนอกตระกูลนั้น
พึ่งไม่ได้”
คำด่าทอนี้ดูจะรุนแรงไป กระทั่งนายใหญ่โจวทนไม่ได้
“เจ้าคนแซ่เฉิง ว่าใครกลัวกัน ใครใช้ให้ลูกชายเจ้าก่อเรื่อง
แบบนี้ขึ้นก่อน! พาให้เจียวเจียวของข้าต้องลำบากด้วย! เจ้ายังมีหน้า
มาพูดหน้าตาเฉยแบบนี้อีก” เขาทำเสียงถุยปากพลางตะโกนขึ้น
อย่างไม่เกรงกลัว
ทะเลาะกันจนได้ บ่าวที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกถอนหายใจ นี่แหละ
วิถีการไปมาหาสู่ของตระกูลโจวและตระกูลเฉิง
“ทะเลาะอะไรกัน”
เสียงเฉิงเจียวเหนียงดังขึ้นขัดคนสองคนที่กำลังตีกันอยู่ในห้อง
“เจียวเจียว”นายใหญ่ตระกูลเฉิงและนายใหญ่โจวตะโกนขึ้นพร้อมกันเมื่อ
เห็นเฉิงเจียวเหนียงยืนอยู่ที่ประตู นายใหญ่โจวรีบชิงก้าวออกไปยืน
ข้างเฉิงเจียวเหนียงก่อน
นายใหญ่ตระกูลเฉิงทำสายตาเหยียดหยามการกระทำนี้ จะดี
กับหญิงสาวคนนี้แค่ไหนต้องดูการกระทำไม่ใช่แค่ฟังเขาพูดพล่าม
เท่านั้น
“เรื่องงานแต่ง เจ้าว่าอย่างไรพวกเข้าก็ว่าตามนั้น” นายใหญ่
โจวแย่งพูดขึ้นก่อน
เฉิงเจียวเหนียงขานรับ พลันหันไปคำนับขอบคุณ
“งานแต่งเป็นเรื่องเล็ก” นางเอ่ยพลันหันมองนายใหญ่ตระกูล
เฉิง “ท่านลุงมาได้เวลาพอดี ข้ากำลังจะกลับบ้านพอดี”
กลับบ้านหรือ
จะกลับบ้านเวลานี้หรือ
“อามิตตาพุทธ ในที่สุดก็จะไปเสียที”
ฮูหยินโจวเอ่ยขึ้นเมื่อได้ข่าว
“เหตุใดถึงจะไปแล้ว” แม่นมคนหนึ่งเอ่ยถามฮูหยินโจวไม่สนใจเรื่องนี้ ขอเพียงนางจากไป ไม่
มาขวางหูขวางตานางก็พอ
“นายรองเฉิงยังอยู่ที่บ้าน ถึงแม้จะถูกนายใหญ่ตระกูลเฉิงขังไว้
และต่อให้นายใหญ่ตระกูลเฉิงเป็นคนขัง แต่นางในฐานะลูกสาว
จะยอมฟังและทำตามหรือ” แม่นมอีกคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความ
สงสัยและไม่เข้าใจ
“ว่าแต่ คงไม่ได้กลับบ้านไปเพราะเรื่องงานแต่งหรอกกระมัง”
แม่นมคนหนึ่งนึกขึ้นได้ “เมื่อครู่ได้ยินนายใหญ่บอกว่าเรื่องนี้ต้อง
แก้ไขด้วยงานแต่งเท่านั้น”
“แล้วนางจะแต่งกับใคร” สาวใช้เอ่ยถามพร้อมกัน
ฮูหยินโจวเองก็รอฟังอยู่เช่นกัน
“ยังต้องถามอีกหรือ ก็ต้องเป็นท่านชายหกของพวกเราอยู่แล้ว
”
ให้ตายเถอะ! ลูกชายข้า! คงต้องให้เจ้าช่วยชดใช้กรรมนี้
ฮูหยินโจวยื่นมือหนึ่งมาจับหน้าอก อีกมือหนึ่งลูบขวดเหล้าบน
โต๊ะด้วยความเคยชิน มืออันสั่นไหวค่อยๆ งัดฝาขวดขึ้น พลันเงยหน้าดื่มไปอึกหนึ่ง
เมื่อสบายร่างกายแล้ว หัวใจที่เต้นรัวพลันสงบลงเช่นกัน
นี่คือเหล้าที่แม่นางผู้นั้นตั้งใจหมักให้นางเป็นพิเศษ
เหล้านี้ก็เป็นเหล้าที่ดี เพียงแต่ ถ้ามีแต่เหล้าอยู่ตรงหน้า คน
ไม่อยู่ ก็คงจะดีกว่านี้
“เจียวเหนียง เจ้าตัดสินใจหรือยัง”
นายใหญ่ตระกูลเฉิงรีบเอ่ยถามบ้าง
“ท่านลุงว่าอย่างไรเจ้าคะ แต่งกับใครดี”
ตาแก่ตระกูลโจวทำท่าตื่นตระหนก คงไม่กล้าพูดเรื่อง
งานแต่งงาน แต่ก็ไม่เป็นไร เขาไม่พูดก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเจียวเหนียง
พูด เขาก็จะทำให้คนแซ่โจวคนนั้นมาขอเจียวเหนียงแต่งงานให้ได้
นึกว่าตระกูลเฉิงถูกรังแกแล้วไม่มีปัญญาโต้กลับหรือ
เอาให้ตายกันไปเลย ดูกันว่าใครจะกลัวใคร
แต่ทว่า ถ้าหากนางจะแต่งกับตระกูลเกา ก็เป็นไปได้ จาก
มุมมองของแม่สื่อ ใต้เท้าเกาดูจริงใจมาก ยังบอกอีกว่ารอกลับมาแล้
วจะมาเข้าพบด้วยตนเอง ถึงเวลาค่อยคุยรายละเอียดกันหากตระกูลเกายอมก้มหน้าขอนางเป็นสะใภ้ ก็มีโอกาส
เป็นไปได้เช่นกัน แต่แน่นอนว่าต้องดูท่าทีของเจียวเหนียง ถ้านาง
ยินยอม เขาก็ไม่กลัวถูกคนหัวเราะเยาะ จะไปคุยเรื่องงานแต่งกับ
ตระกูลเกาด้วยความยินดี
“จะแต่งกับใครไว้ก่อนว่ากัน บัดนี้ขอให้ท่านลุงพาท่านพ่อรีบ
กลับเจียงโจวให้เร็วที่สุดก่อน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น
กลับเจียงโจวหรือ
ความคิดของนายใหญ่ตระกูลเฉิงถูกขัดขึ้น เขาตกตะลึง
ตอนนี้เลยหรือ
“อยู่เมืองหลวงต่อไปคงไม่สะดวกนัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“กลับไปเจียงโจวเสียดีกว่า”
หากอยู่เมืองหลวง ใครจะแวะมาหาเพื่อคุยเรื่องงานแต่งก็
ทำได้ทันที จะให้ห้ามไม่ให้เข้าบ้านก็ทำไม่ได้ แต่หากกลับเจียงโจว
การเดินทางไปกลับก็จะยื้อเวลาได้หลายวันแล้ว
ใช่แล้ว ต้องยื้อเวลา วิธีง่ายๆ แค่นี้ เหตุใดถึงไม่เคยนึกถึง“เรื่องหนักทำให้เป็นเรื่องเบา” นายใหญ่ตระกูลเฉิงหัวเราะร่า
พลางเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงเพียงพยักหน้าเพื่อตอบรับคำชมและ
เสียงหัวเราะ แต่มิได้ถกเถียงเรื่องนี้ต่อ
“แต่ว่าท่านพ่อจะกลับไปได้อย่างไรคงต้องรบกวนท่านลุงด้วย”
นางเอ่ยขึ้น
นายใหญ่ตระกูลเฉิงหัวเราะร่า
“ง่ายนิดเดียว” เขาเอ่ย พลางยกมือขึ้นชี้นิ้วไปทางหนึ่ง “เรียนรู้
จากใต้เท้าเกาก็ได้แล้ว”
ปลายเดือนสี่ เฉิงต้งผู้พิพากษาแห่งศาลต้าหลี่ได้รับข่าวว่า
ท่านแม่ป่วยหนัก จึงขอกลับบ้านเกิดเป็นการพิเศษ
จะว่าไปตั้งแต่เฉิงต้งเข้ารับตำแหน่งที่ศาลต้าหลี่ ก็อยู่ที่นี่เพียง
ไม่กี่วันเท่านั้น แรกเริ่มก็หลบเลี่ยงคดีกรมขุนนาง จากนั้นก็หลบเลี่ยง
ที่ถูกพี่น้องฟ้องเรื่องแบ่งทรัพย์สิน เพิ่งจะฟ้องร้องกันเสร็จ ก็ดัน
ไม่สบายอยู่พักรักษาตัวที่บ้านไม่พบเจอผู้คน บัดนี้ก็มาขอลาพักกลับ
บ้านเกิดอีก“เดิมภรรยาขาหัก ถัดมาก็จะกลับบ้านเกิด นี่ยื้อจนติดใจแล้ว
สินะ” ขุนนางคนหนึ่งส่ายหัวเอ่ยขึ้นขณะอ่านสาส์น
“แล้วจะปล่อยหรือไม่ปล่อยให้ไป” ขุนนางอีกคนหนึ่งกระซิบ
ถาม “ต้องรู้ไว้ว่าเดิมทีเขาได้เข้าเมืองหลวงเพราะใต้เท้าเกาจัดการ
ให้ บัดนี้ใต้เท้าเกายังไม่บอกว่าให้ปล่อยเขาไป หากปล่อยไป
จะเหมาะสมหรือ”
ขุนนางคนแรกโยนสาส์นลงบนโต๊ะ
“แล้วจะทำอะไรได้ ท่านแม่เขาป่วยหนักจะไม่ให้กลับงั้นหรือ
ใต้เท้าเกายังกลับมาเพราะท่านแม่ป่วยหนักได้เลย แล้วเหตุใดเฉิงต้ง
จึงกลับไม่ได้ เราห้ามเขาไว้ไม่ได้หรอก” เขาเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง
อำมาตย์เฉินเองก็เห็นด้วยแล้ว”
ขุนนางอีกคนหนึ่งจึงหันไปมอง เห็นสาส์นที่วางอยู่บนโต๊ะมีต
ราสีแดงสดประทับอนุมัติ พร้อมมตราฝ่ายเสมียนกลาง
“ยื้อก็ยื้อไป ยื้อตอนนี้ได้ แล้วคิดว่าจะยื้อได้ทั้งชีวิตหรือ” เขา
ส่ายหัวเอ่ยขึ้น “ต่อให้เจียงโจวไกลแค่ไหน ก็ใช้ม้าเร็ววิ่งเพียงสิบวัน
เท่านั้น”…
ท่านชายเฉิงสี่ยืนมองรถม้าวิ่งไกลจากไป
“เจียวเจียว เจ้าเองก็ควรกลับไปพร้อมกัน กลับไปตอนนี้คงไม่
มีใครกล้าว่าอะไร”
เสียงนายใหญ่โจวดังขึ้นจากด้านหลัง
“จิ้นอันจวิ้นอ๋องยังไม่กลับมา เมื่อรับปากที่จะช่วยเหลือไว้แล้
วจะไม่รักษาคำพูดได้อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เนื่องจากเฉิงเจียวเหนียงมิได้เดินทางกลับ ท่านชายเฉิงสี่ซึ่งยัง
ต้องฝังเข็มรักษาบาดแผนที่ข้อมือจึงมิได้กลับไปด้วย
“เจียวเหนียง เรื่องนี้มันยากมากเลยใช่ไหม”
ท่านชายเฉิงสี่ซึ่งเงียบมาโดยตลอดเอ่ยขึ้นเมื่อก้าวเข้าประตู
บ้าน
ตั้ง
แต่ที่ข้อมือบาดเจ็บและได้ฟังที่นายใหญ่ตระกูลเฉิงเอ่ย เขา
ก็ทำตัวไม่ใส่ใจมาโดยตลอด และมิได้ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบัดนี้ แต่
ถึงอย่างไรเขาก็ยังวางเรื่องนี้ไม่ลงอยู่ดี
หากมิใช่เพราะตนเอง เหตุการณ์ก็คงไม่ยากลำบากเช่นบัดนี้เมื่อได้ยินดังนั้น เฉิงเจียวเหนียงจึงหันไปยิ้มให้เขา
“ที่จริงแล้ว ท่านพี่คิดมากไปจริงๆ ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจริงๆ”
เฉิงเจียวเหนียงมิได้พูดแบบนี้เป็นครั้งแรก หรือจะบอกว่านาง
เป็นแบบนี้มาตลอดก็ว่าได้
“แล้วในสายตาเจ้าเรื่องไหนจึงเป็นเรื่องใหญ่กัน” ท่านชายเฉิง
สี่เอ่ยถาม
“เรื่องที่ไม่มีคนพูดถึง แต่เป็นเรื่องที่มีอยู่ตลอด” เฉิงเจียว
เหนียงเอ่ย
เรื่องอะไรกัน
ท่านชายเฉิงสี่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“เรื่องปรากฏการณ์บนท้องฟ้า”
“สุริยุปราคา และจันทรุปราคางั้นหรือ” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยถาม
“แต่ทุกคนก็เคยพูดถึงเรื่องนี้กันมิใช่หรือ แถมเหตุกบฏและความ
แห้งแล้งตามที่ทำนายไว้ก็เกิดขึ้นหมดแล้ว”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า“ไม่ ปรากฏการณ์บนท้องฟ้ามิได้มีแค่นี้” นางเอ่ยตอบ
ท่านชายเฉิงสี่ตกตะลึง ไม่ได้มีแค่สุริยุปราคากับจันทรุปราคา
แล้วยังมีปรากฏการณ์อื่นอีกหรือ คืออะไรกัน เหตุใดเขาจึงไม่รู้
“ข้าถึงได้สงสัย” เฉิงเจียวเหนียงหันมองเขา “ว่ามีเรื่องหนึ่ง ที่
มีคนรู้อยู่แล้ว แต่กลับไม่เคยมีคนพูดถึง ราวกับเป็นเรื่องที่ไม่เคย
เกิดขึ้น หากเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ก็จะ…กลายเป็นเรื่องใหญ่”