พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 546 ถามนาง (2)
โจวฝูที่ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่ก็ไม่รู้
จะพูดออกมายังไง เขาจึงเอ่ยถามขึ้น
“ถ้า ถ้า ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องไปถามให้แน่ชัดสิ”
“มีอะไรน่าถามกัน ตอนนี้ก็แค่รอเวลามิใช่หรือ” นายใหญ่โจว
เอ่ย “รอเวลาไปเรื่อยๆ ก็ดีมิใช่รึ”
ท่านพ่อเองก็…กลัวเหมือนกันสินะ
พอลองวิเคราะห์จากเรื่องนายใหญ่เฉิงและผิงอ๋องที่ผ่านมา
แล้วนั้น หากสองบ้านนั้นจะต้องดองกันจริงๆ แล้วตระกูลโจวจะต้อง
พบเจอกับอะไรในภายภาคหน้า นายใหญ่โจวเองก็หวั่นใจไม่น้อย
และท่าทีของแม่นางเฉิงเองก็ใช่ว่าพอขาดตระกูลโจวแล้วจะอยู่
ไม่ได้เสียทีเดียว
ช่วงที่รอเวลาแบบนี้ ก็ดีเหมือนกัน…
โจวฝูทอดถอนใจพลางคิด ปล่อยให้ยืดเยื้อแบบนี้ได้อย่างไรกัน! เรื่องแบบนี้มัน
ต้องเด็ดขาดสิถึงจะถูก!
ถ้าท่านพ่อไม่ไปถาม เขาจะเป็นคนไปถามเอง
โจวฝูสูดหายใจลึก จากนั้นจึงโค้งตัวขอลา แล้วรีบเดินออกไป
ใช่แล้ว เขาจะเป็นคนไปถาม เรื่องแค่นี้เอง ทำไมจะถามมิได้!
ยิ่งคิดก็ยิ่งแน่ใจ ความคิดของเขาทำให้เขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
เขาจะเป็นคนถามนาง ถามนาง
โจวฝูที่กำลังออกจากเรือน ขณะเดียวกัน ฉินหูก็ได้ดื่มชาที่ปั้น
ฉินนำมาให้หมดไปแล้วครึ่งแก้ว
ในฤดูร้อน ห้องในเรือนเปิดกว้างรับลม ผ้าม่านทั้งหลายถูก
เปลี่ยนใหม่หมดเพื่อให้เข้ากับสีของดอกไม้ใบหญ้านอกหน้าต่าง อีก
ทั้ง
เสียงนกร้องจอแจตรงทางเดินในเรือน
“เรื่องนี้ต่อให้เจ้าจะใช้วิธียืดเยื้อแล้วก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้แปล
ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาแบบถอนรากถอนโคนนี่นา” ฉินหูเอ่ย
“ก็ไม่เห็นจำ เป็นเลยนี่” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ฉินหูหัวเราะ พลางยกชาขึ้นจิบ“ที่จริงแล้ว ข้าควรจะพูดกล่อมให้เจ้าแต่งงานกับท่านชายโจว
หกเสีย” เขาโพล่งออกมา
เฉิงเจียวเหนียงกลอกตามองเขา ปั้นฉินเองที่กำลังยืนโบกพัด
อยู่ข้างๆ ก็เช่นกัน
“แต่ข้าก็พูดไม่ออก” ฉินหูหัวเราะ “เพราะข้าคิดว่าครั้งนี้เจ้าคง
จริงจัง เจ้าคงจะได้แต่งงานแล้วจริงๆ ”
“ที่ไหนมีแต่งงานหลอกๆ ด้วยงั้นรึ” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
พลางเอ่ย
ฉินหูยิ้มแล้วขานรับ
“นั่นสินะ เรื่องแต่งงานนี่นา จะทำเล่นๆ ก็ไม่ได้” เขาเอ่ยต่อ
“แต่ข้ากลับอยากมองว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆ นะสิ”
ปั้น
ฉินหรี่ตามองเขาอย่างงุนงง
“เพราะถ้า…เป็นเช่นนั้น กฎที่เจ้าตั้งไว้ก็ถือว่าเป็นเรื่องล้อเล่น
เช่นกัน” ฉินหูหัวเราะเขินๆ พลางชายตาไปที่นาง
กฎอะไรหรือ ปั้นฉินยังไม่ทันตั้งสติดี ท่านชายฉินหูก็ดูเหมือน
จะพูดอะไรออกมาอีก“แม่นางเฉิง ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ทำไมไม่ลองปรับกฎของ
เจ้าดูเสียหน่อยล่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกับยศถาบรรดาศักดิ์
และอำนาจของคนโดยตรงเลยนะ ให้เจ้าแต่งเข้าเรือนของตระกูล
โจวอาจจะดูไม่เหมาะ แต่เจ้าแต่งเข้าเรือนข้าได้นะ ตระกูลข้า
จะจัดการให้อย่างดีเลย แถมเจ้าก็ไม่เสียหายด้วย”
ฉินสิบสามโพล่งคำพูดทั้งหมดออกมาพรวดเดียว จากนั้นจึง
เมียงมองไปยังหญิงที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเขา แล้วเอ่ยต่อ
“เรื่องครั้งนี้ ให้ข้าออกหน้าเองเถอะ”
“ออกหน้าอะไรกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
คำถามเมื่อครู่ทำเอาฉินหูตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ
พลันสงสัยว่าหรือนางจะฟังเขาไม่ชัด เป็นไปได้รึ ถ้าอย่างนั้นเขา
จะพูดให้ชัดขึ้น
“ข้าเป็นหนี้บุญคุณชีวิตเจ้า เจ้ามาแต่งเข้าเรือนข้าเถิด ดูแล้ว
ยังไงก็สมเหตุสมผล ต่อให้ไทเฮาผิงอ๋องไม่พอใจ แต่สุดท้ายแล้วก็
ไม่ควรละเลยเรื่องน้ำใจ อีกทั้งเจ้ายังมีตระกูลของข้าคอย…” เขา
อธิบายให้นางฟังอย่างตั้งใจเขายังไม่ทันจะเอ่ยจบ เฉิงเจียวเหนียงก็ส่ายหัวให้เขา ถึง
แม้นางจะไม่ได้ขัดเขาด้วยวาจาของนาง แต่นั่นก็ทำให้ฉินหูต้องหยุด
เอ่ยต่อ
“เป็นเพราะเรื่องนี้เองสินะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางหัวเราะ
“ท่านไม่ต้องคิดเผื่อข้าหรอก อย่าได้สนใจกับเรื่องนี้เลย”
แล้วก็เป็นแบบนี้จนได้…
ฉินหูมองไปที่นาง
อากัปกิริยาของหญิงสาวที่นั่งตัวตรงอยู่เบื้องหน้าเขา ใช่ว่าเขา
เพิ่งพบเจอเป็นครั้งแรก ว่าไปแล้ว ก็เขานี่แหละที่เป็นผู้ที่ได้พูดคุย
ใกล้ชิดกับนางบ่อยที่สุด นั่งเรือด้วยกัน ชมไฟด้วยกัน ชมระบำ
ด้วยกัน ดูดอกไม้ด้วยกัน…
ถึงกระนั้นแล้ว ทั้งๆ ที่ดูสนิทกันขนาดนั้น แต่ในเวลาเดียวกันก็
รู้สึกราวกับเป็นคนแปลกหน้า โดยเฉพาะเวลาที่ได้มานั่งพูดคุยกัน
แบบนี้ ทุกๆ ครั้งมักจะเหมือนกับว่าเป็นบทสนทนาที่เพิ่งเกิดขึ้น
ครั้งแรก
จะว่าใกล้ก็ใกล้ แต่จะว่าไกล ก็ไกลเหลือเกิน“เอาล่ะ ถ้าแม่นางอยากให้ข้าคิดเผื่อเมื่อใดล่ะก็ ค่อยมาบอก
ข้าแล้วกัน” เขาหัวเราะ
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะพลางคำนับเพื่อแสดงความขอบคุณ
โจวฝูที่กำลังควบม้าให้หยุดตรงปากทางเข้า ก็เผอิญเจอกับฉิน
หูที่กำลังควบม้าออกไปจากหน้าประตูเรือนแล้ววิ่งผ่านเขาไป
ที่แท้ฉินหูก็มาที่นี่นี่เอง
หรือว่าเจ้านั่นจะคิดแผนการอะไรขึ้นมาได้แล้วนะ
แต่เมื่อกี้ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังใจลอยอยู่เลย…
พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็รีบควบม้าให้ไปข้างหน้า แต่พอไปได้สอง
ก้าวก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง โจวฝูทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าด้วย
ความประหลาดใจ
ที่ด้านหน้าเรือนตระกูลเฉิง ปรากฏชายหนุ่มที่กำลังลงจาก
อานม้า แม้เขาจะแต่งกายด้วยอาภรณ์เรียบง่าย แต่กลับดูโดดเด่น
ยากที่จะละสายตา
เขาเงยหน้าขึ้น แม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังไม่เผยให้เห็นชัด แต่
ท่าทีของเขาดูสบายๆ ไร้กังวล จากนั้นก็ยื่นมือเคาะประตูเรือนไม่นาน ประตูถูกเปิดออก ชายหนุ่มรูปงามก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน
เรือน…
เขามาได้อย่างไรกันนะ
ไม่สิ เขากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
โจวฝูกวาดสายตาไปทั่วท้องถนน พบว่าผู้คนต่างตะโกนร้อง
เป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นเขาจึงสังเกตได้ว่าผู้คนเหล่านั้นต่างพากัน
เข้ามาล้อมยังเรือนของตระกูลเฉิง
“จวิ้นอ๋อง!”
ปั้น
ฉินที่ตอนแรกไม่เชื่อคำพูดของบ่าวว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องมาที่
เรือนจริงๆ พอได้เห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องยืนอยู่ในสนามในเรือนเท่านั้นก็
ตกใจเสียจนร้องตะโกนออกมา
“ฝ่าบาทมาได้อย่างไรเพคะ”
จวิ้นอ๋องที่เดินหลบแสงมายืนอยู่ใต้ร่มเงาไม้หันหน้ามายิ้มให้
ปั้น
ฉินแล้วเอ่ยตอยนาง
“ข้าเสร็จงานแล้ว เลยเดินทางกลับอย่างไรเล่า” เขาเอ่ยจะว่าไปแล้ว ฝ่าบาทเองก็เพิ่งจะเข้ามาในนี้เป็นครั้งแรก แต่
เหตุใดกันถึงได้รู้สึกราวกับว่าได้กลับมายังเรือนของตน ช่างน่าแปลก
เสียจริง
ไม่สิ ไม่สิ ต้องใช้คำว่าคุ้นเคยต่างหากถึงจะถูกต้อง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า พลางมองไปยังหญิงนางหนึ่งและ
สาวใช้อีกนาง
คงเป็นเพราะเจอคนคุ้นเคยกระมัง เลยพลอยรู้สึกคุ้นเคยกับ
สถานที่ไปด้วย
“ฝ่าบาทกลับจากราชการแล้ว เรื่องยิ่งใหญ่เช่นนี้ เหตุใดถึง
ไม่มีข่าวคราวมาถึงนี่เลยล่ะเจ้าคะ” ปั้นฉินถามด้วยความสงสัย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่ายหัว
“มีเรื่องน่าอายเกิดขึ้นตั้งมากมาย ยังจะต้องโพนทะนาให้รู้กัน
ทั่วอีกรึ ข้านี่แทบจะใช้วิธีมุดดินเข้าเมืองมาแล้ว” เขาเอ่ย
ปั้น
ฉินหัวเราะ
“เรื่องน่าอายอันใดหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม“เจ้านี่ร้ายนัก ดูเหมือนว่าเจ้าจะติดนิสัยพูดมากมาจากแม่นาง
ปั้น
ฉินแล้วสินะ จะให้ข้าเล่าหรือว่าข้าพยายามไปพูดเกลี้ยกล่อม
พวกโจรแต่กลับเกือบเอาชีวิตไม่รอดจนต้องใช้วิธีจุดพลุเพื่อ
เอาตัวรอดมาได้น่ะ เรื่องแบบนี้ให้ข้าป่าวประกาศได้งั้นหรือ” จิ้นอัน
จวิ้นอ๋องย่นคิ้ว
ปั้น
ฉินหัวเราะจนตัวงอ
เฉิงเจียวเหนียงเองก็หัวเราะเบาๆ ตาม
“ไม่เห็นน่าอายเลยสักนิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เรื่องโชค
เข้าข้างใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ท่านสมควรได้รับแล้ว”
คนอย่างเขาเคยได้รับคำชมมาแล้วนักต่อนัก แต่พอเฉิงเจียว
เหนียงเอ่ยชมเขาเท่านั้นแหละ ก็อดไม่ได้ที่ข้างในหัวใจของเขา
จะรู้สึกเบิกบานอย่างบอกไม่ถูกจนต้องเผลอยิ้มออกมา
“ที่ฝ่าบาทมาหาในวันนี้ เป็นเพราะฝ่าบาทต้องการให้แม่นาง
เฉิงของพวกเราแสดงความยินดีให้ใช่ไหมเพคะ” ปั้นฉินเอ่ยพลาง
หัวเราะคิกคัก พลางทำท่าทีเชื้อเชิญเขายังคงดีใจตัวลอยกับคำชมเมื่อครู่ แต่พอได้สติก็รีบดึง
สีหน้าท่าทางกลับมาเช่นเดิม
“ไม่ใช่อย่างนั้น” เขาเอ่ย “วันนี้ที่ข้ามาเพราะข้ามีเรื่องต้องคุย
กับเจ้าน่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงที่มุ่งหน้าไปยังทางเดินแล้วก็หันกลับมาหาเขา
“ที่ข้าต้องการจะถามเจ้าก็คือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้าวเท้าไปข้าง
หน้าหนึ่งก้าว แล้วจ้องเข้าไปที่ดวงตาของนาง “เฉิงฝั่ง เจ้าแต่งงาน
กับข้าดีไหม”
เอ่อ
เมื่อครู่เขาเอ่ยว่าอย่างไรนะ
สายตาของปั้นฉินเพ่งไปยังชายหนุ่มด้วยความมึนงง รู้สึก
ราวกับได้ยินอะไรบางอย่าง แต่ก็เหมือนกับว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย