พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 548 สมปรารถนา (1)
ประตูหน้าต่างตำหนักฉินเจิ้งถูกปิดสนิท เหล่าทหารคอยยืน
เฝ้ายาม ส่วนเหล่าขันทีที่อยู่ตรงทางเดินวังก็กำลังยืนพูดคุยกระซิบ
กันเรื่องความลับสุดยอด
จะเรียกว่าความลับสุดยอดก็คงจะไม่ถูก ควรจะเรียกว่า
ความลับส่วนตัวเสียมากกว่า เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในตระกูล
ฮ่องเต้ชายตามองจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
“คำขอของเจ้าครั้งนี้ ทำเอาเราประหลาดใจเลยเชียว” ฮ่องเต้
เปรย “จู่ๆ ก็เพิ่งนึกขึ้นได้อย่างนั้นรึ”
จวิ้นอ๋องส่ายหัว
“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท มิใช่เรื่องที่เพิ่งนึกขึ้นได้แต่อย่างใด”เขา
เอ่ย
ฮ่องเต้หัวเราะ
“เช่นนั้นที่ผ่านมา เจ้าเก็บเป็นความลับเสียแนบเนียนเชียวนะ”
ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเนิบ“เมื่อก่อนกระหม่อมก็ไม่ได้คิด” เขาทำท่าครุ่นคิด “แค่รู้สึกว่า
นางไม่เลวเลย อีกทั้งก็ไม่เคยคิดไปไกลขนาดนั้น”
พอเอ่ยถึงตรงก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“แต่พอรู้ว่านางจะแต่งงานกับชายอื่น ก็เลย…”
จวิ้นอ๋องเอ่ยถึงตรงนี้ ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก พลางดึงแขนเสื้อ
ตัวเองแก้เขิน
“พอได้รู้ว่านางจะแต่งงาน เจ้าก็เลยออกตัวเพื่อนาง..” ฮ่องเต้
หัวเราะ
ก็คงเหมือนกับพ่อหนุ่มตระกูลโจวคนนั้นสินะ
ที่ก็ออกตัวช่วยเหลือ เพื่อให้นางไม่ต้องตกระกำลำบาก
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่ายหัว
“ฝ่าบาท กระหม่อมทำเพื่อตัวเองต่างหากพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
ด้วยสายตาแน่วแน่ “และเพื่อชิ่งอ๋องด้วยขอรับ”
ฮ่องเต้แสดงท่าทีว่ารับรู้แล้ว
“หากนางแต่งกับเจ้า จะทำให้ชิ่งอ๋องอาการดีขึ้นอย่างนั้นรึ”
ฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างใจเย็น พลางหรี่ตามองเขาหรือว่า แม่นางผู้นั้นวางแผนไว้ก่อนหน้าแล้ว
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะ พลางยิ้มอย่างฝืนๆ
“ฝ่าบาท คนอย่างแม่นางเฉิงมิเคยพูดปดขอรับ อาการของ
ชิ่งอ๋องคงรักษาไม่หายหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วสงสัย
“แล้วเพราะเหตุใดกันล่ะ”
“กระหม่อมมีใจให้นาง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบ
ฮ่องเต้เมื่อได้ยินคำตอบเข้า ก็ตกใจเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะ
ออกมา
มีใจให้นางงั้นรึ…
แล้วเหตุผลที่ชอบล่ะ หน้าตา ความฉลาด ฝีมือ
“อีกทั้งกระหม่อมเองก็ไว้ใจนางด้วย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยต่อ
ไว้ใจงั้นหรือ
ฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้น
“ถึงแม้อาการของชิ่งอ๋องจะรักษาไม่หายแล้วก็ตาม ทว่านาง
มีวิชาแพทย์ ไม่สิ ไม่ว่าจะแขนงไหนก็ตาม จำ ได้หรือไม่ตอนนั้นที่นางเคยชงชาให้เขา พอชิ่งอ๋องได้ดื่มอาการวิตกกังวลของเขาก็หาย
ไป และสามารถนอนหลับได้อย่างปกติ ฝีมือบรรเลงเพลงของนางก็
เช่นกัน ชิ่งอ๋องก็เคยได้ฟังเพลงของนาง” จวิ้นอ๋องอธิบายต่อ “และ
เรื่องที่สำ คัญที่สุด คือนางฟื้นคืนชีพคนตายได้”
พอเขาเอ่ยถึงตรงนี้ ก็เงยหน้าขึ้นไปมองฮ่องเต้
ฮ่องเต้เองก็สบตากับเขา
ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ
“เหว่ยหลัง” ฮ่องเต้เริ่มเอ่ยก่อน “ถ้าเช่นนั้นเจ้าไม่ไว้ใจใคร
อย่างนั้นรึ”
บรรยากาศในห้องเริ่มอึมครึมอีกครั้ง
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เชื่อใจกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
เอ่ย
ฮ่องเต้สีหน้าราบเรียบไร้อาการใดๆ ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด
“และกระหม่อมเองก็ไม้ไว้ใจผิงอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยต่อ
เสียงตบโต๊ะดังขึ้น
เป็นฮ่องเต้ที่ใช้มือตบลงไปบนโต๊ะ“จิ้นอัน! เจ้าหมายความอันใดกัน นี่เจ้ากล่าวหาผิงอ๋องงั้นรึ
”ฮ่องเต้ย่นคิ้วบันดาลโทสะตะคอกเสียง
ทว่าท่าทีของจิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับมิได้ดูเกรงกลัวหรือหวาดผวา
แต่อย่างใด แต่เขากลับลุกขึ้นโค้งคำนับ
“ฝ่าบาท” เขาเอ่ย “กระหม่อมมิบังอาจ”
“เจ้ามิบังอาจงั้นรึ เจ้ากล้าพูดแต่มิกล้ารับอย่างนั้นรึ” ฮ่องเต้
ถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องได้แต่โค้งคำนับให้ฮ่องเต้
ฮ่องเต้เมื่อรู้ตัวว่าตนกำลังโกรธจนยากจะระงับอารมณ์ ก็
ลุกขึ้นเดินวนไปวนมา เผื่อจะช่วยบรรเทาได้บ้าง
“ที่แท้ในหัวของเจ้าก็คิดเช่นนี้” ฮ่องเต้เอ่ย “ที่แท้เจ้าก็เห็น
คนในตระกูลเราเป็นแค่คนนอก แถมยังมีจิตมุ่งร้ายอีกด้วยอย่างนั้นรึ
!”
“จิ้นอัน ข้าผิดหวังในตัวเจ้าเหลือเกิน!”
“ฝ่าบาท ข้ามิได้คิดเช่นนั้นเลยขอรับ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเงยหน้า
ตะโกน “ข้าก็แค่อดคิดสงสัยมิได้ขอรับ”“กล้าที่จะอดคิดไม่ได้งั้นรึ! จู่ๆ ก็มีเหตุผลอ้างทันทีเลยนะ! ทั้งที่
เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าคิดไม่ดี!” ฮ่องเต้ตะคอกอีกครั้ง
“ฝ่าบาท กระหม่อมกลัวพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยต่อ
จากนั้นคลานเข่ามาใกล้ฮ่องเต้ แล้วเงยหน้ามองเขา “ฝ่าบาท หาก
ฝ่าบาทไม่อยู่แล้ว ไทเฮาไม่อยู่แล้ว ชิ่งอ๋องจะเป็นอย่างไรล่ะขอรับ!
เวลาก็เพิ่งผ่านมาแค่เพียงสองสามปีเท่านั้น ฝ่าบาทยังไม่ชัดเจนอีก
หรือว่าสายตาที่ทุกคนมองชิ่งอ๋องนั้นเป็นเช่นไร”
“จะเป็นเช่นไรเล่า! ก็ให้ทุกคนคอยมาเฝ้ามาดูแลข้างกายของ
ชิ่งอ๋องมันจะไปยากอันใด ทำเช่นนั้นแล้วเจ้าถึงจะรู้สึกว่าพวกเขา
ใส่ใจชิ่งอ๋องจริงๆ อย่างนั้นรึ” ฮ่องเต้บันดาลโทสะ “จิ้นอัน เป็นเจ้า
เองมิใช่หรือที่อยากออกจากวัง ทำไมกันล่ะ หรือว่าตอนนั้นเจ้าแค่
ทำทีอยากออกจากวังเพียงเพราะอยากเรียกร้องความสนใจจาก
คนอื่นแล้วขอให้เจ้าอยู่ในวังต่ออย่างนั้นรึ แล้วดูตอนนี้สิ ยังมีหน้า
มาบ่นกะปอดกะแปด เจ้าไม่พอใจอะไรนักหนางั้นหรือ! เราเองก้มิได้
ขอร้องให้เจ้าต้องดูแลชิ่งอ๋องเสียหน่อย ข้าเคยบังคับเจ้างั้นหรือ ใน
เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าก็ไปตามทางของเจ้าเถอะ พอชิ่งอ๋องกลับมาที่วังอีกครั้ง เดี๋ยวเราจะแสดงให้เจ้าเห็นเองว่าคนอื่นจะมอง
ชิ่งอ๋องยังไงกัน!”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองดูฮ่องเต้ที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทั้งรู้สึก
สนุกแต่ก็รู้สึกเศร้าหมองในคราวเดียวกัน
ฮ่องเต้เล่นพูดออกมาเป็นชุด ทำเอาจวิ้นอ๋องถึงกับอ้ำอึ้งไม่พูด
อะไรต่อ
“เจ้าว่ามาสิ อะไรกัน กลัวแล้วงั้นรึ” ฮ่องเต้ตะโกนถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่ายหัว
“กระหม่อมกลัวแล้วขอรับ” เขาเอ่ย
ส่ายหัวปฏิเสธ แต่กลับตอบว่ากลัวเนี่ยนะ
“ฝ่าบาทดูแลชิ่งอ๋องดีขนาดนี้ ทำเอาข้ารู้สึกกลัวเลยขอรับ”
เขาเอ่ยต่อ “กระหม่อมแค่กลัวว่า วันหนึ่ง จะไม่มีใครปฏิบัติกับเขา
เช่นนี้อีก…”
ฮ่องเต้ถลึงตาใส่ แล้วรีบย่างเท้าเข้ามาใกล้เขา พลางชี้นิ้ว
เข้าให้“เจ้านี่มันใช้ไม่ได้เลยนะ นี่เจ้าตั้งใจจะมาด่าเราใช่ไหม เรายัง
ไม่ตายเสียหน่อย! จะทำหน้าเศร้าโศกไปเพื่อ!”ฮ่องเต้กัดฟันกรอด
ทันใดนั้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบคว้าท่อนขาของฮ่องเต้เข้ามากอด
“ก็กระหม่อมกลัวนี่พ่ะย่ะค่ะ!” เขาตะโกนร้อง “กระหม่อมกลัว
ยิ่งนัก! ใครใช้ให้ฝ่าบาททำดีกับชิ่งอ๋องและกระหม่อมเช่นนี้กันเล่า!
ใครใช้ให้ฝ่าบาททำดีกับชิ่งอ๋องและกระหม่อมเช่นนี้กันเล่า!
มีเพียงแค่ฝ่าบาทเท่านั้นแหละที่ดีกับกระหม่อมและชิ่งอ๋อง!
กระหม่อมกลัวเหลือเกิน!”
ฮ่องเต้รู้สึกไม่สบายตัวเท่าใดนักเมื่อถูกกอดขาเช่นนี้
“เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย!”ฮ่องเต้พยายามสลัดเขาออก
ทว่าจวิ้นอ๋องกลับยิ่งรัดขาเขาแน่นขึ้นไปอีก
“หากเราเรียกคนเข้ามา เจ้าก็จะถูกทหารองครักษ์ตัดหัวทิ้ง!”
ฮ่องเต้เอ่ยขู่
“อยากตัดก็ตัดไปเลย หากเป็นเช่นนั้นได้ กระหม่อมก็จะได้
วางใจไร้กังวล กระหม่อมเองใช่ว่าไม่เคยพบเจอความตายเสียที่ไหน
กัน ตอนที่กระหม่อมประจำ ที่ฐานทัพนั้น กระหม่อมเป็นคนไม่เกรงกลัวอันใดทั้งนั้น เพราะกระหม่อมรู้ว่า ต่อให้กระหม่อมตาย
ไป อย่างน้อยกระหม่อมก็วางใจได้เพราะฝ่าบาทยังอยู่” จิ้นอันจวิ้น
อ๋องเอ่ย มือของเขายังคงกอดเข่าของฮ่องเต้ไม่ไปไหน แถมยังรัด
แน่นกว่าเดิม
ฮ่องเต้ที่กำลังถูกจวิ้นอ๋องเกาะแข้งเกาะขาไม่รามืออยู่นั้น ครั้น
จะโกรธก็รู้สึกโกรธ แต่ขณะเดียวกัน…ก็รู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา
คนวัยเยาว์ในวังมีน้อยนัก ตอนที่เขาเพิ่งมีทายาทนั้น เขาเองก็
เริ่มอายุมากแล้ว ลูกหลานแต่ละคนของเขาก็ทั้งน่าทะนุถนอมและ
อ่อนแอในคราวเดียวกัน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่จะสัมผัสเขาเองก็ยังไม่กล้า
เพียงแค่ได้เจอหน้ากันพูดคุยกันก็ถือว่าเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์
ระหว่างพ่อและลูกแล้ว
ถึงแม้จิ้นอันจวิ้นอ๋องจะเป็นเด็กรุ่นแรกๆ ที่เข้ามาในวัง แล้วก็
เป็นเพราะว่าตอนนั้นเขายังเด็กนักจึงมักจะร้องไห้คิดถึงบ้าน ไทเฮา
เห็นเลยรู้สึกสงสาร จากเดิมที่เป็นเด็กขี้ระแวงและตื่นตระหนก พอ
โตขึ้นเริ่มเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง ถึงแม้ความหวาดกลัวจะหายไป
แล้ว แต่ก็ยังไม่คุ้นเคยเสียทีเดียว พอเติบใหญ่หน่อยเขาก็เริ่มรู้สึกคุ้นชินกับชีวิตในวังแล้ว ก็เริ่มแสดงด้านที่ตลกขบขันและใสซื่อ
ออกมา ทั้งยังกล้าหยอกล้อต่อหน้าเขา แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขา
ทำตัวไม่เอาไหน…
ครั้งนี้กระมังที่เขาเริ่มจะทำตัวไม่เอาไหนแล้วน่ะ
ความไม่เอาไหนของเขา คงหมายถึงความไว้วางใจและที่
พักพิงสินะ
เพียงแต่ จิ้นอันจวิ้นอ๋องเองก็มิใช่เด็กๆแล้ว
ฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะพ่นเสียงหัวเราะออกมา จากนั้นก็รีบ
วางมาดตามเดิม
“ใช้ได้ที่ไหนกัน!” ฮ่องเต้ตะโกนขึ้น “เจ้ากำลังจะได้เป็นเจ้าบ่าว
แล้วนะ ไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว ใช้ได้ที่ไหน!”
“เพราะว่ากระหม่อมยังคงเป็นเด็กน้อยในสายตาของฝ่าบาท
อยู่น่ะสิ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
ประโยคเมื่อครู่ทำเอาฮ่องเต้ทั้งอยากจะหัวเราะและร้องไห้ใน
เวลาเดียว