พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 548 สมปรารถนา (2)
ตั้ง
แต่เด็ก จิ้นอันมักจะไม่อยู่ที่ตำหนัก ทั้งยังไม่คุ้นเคยกับ
คนในตระกูลเท่าใดนัก แถมในวังเองก็ไม่มีใครที่พอจะเป็นเพื่อนกับ
เขาได้ กล่าวคือ นอกจากตัวเขาเองแล้ว ก็ไม่มีใครที่เขาจะสามารถ
พึ่งพาได้อีกเลย ล่าสุดเหตุการณ์ที่เขาพบเจอภัยพิบัติที่เม่าผิงนั้น
แม้ว่าเขาจะบอกเองว่าไม่มีอะไร แต่แน่นอนว่าเรื่องที่เขาพบเจอ
ตอนนั้นก็หนักหนาสาหัสอยู่ไม่น้อย…
คงขวัญเสียน่าดู
ใครๆ ต่างก็ให้ความเคารพเขา คอยเอาใจเขา แต่ไม่เคยมีใคร
ที่เขาสามารถจะหวังพึ่งได้สักคน
ไหนจะชิ่งอ๋องอีก…
ชิ่งอ๋อง…
‘เวลาก็เพิ่งผ่านมาแค่เพียงสองสามปีเท่านั้น ฝ่าบาทยังไม่
ชัดเจนอีกหรือว่าสายตาที่ทุกคนมองชิ่งอ๋องนั้นเป็นเช่นไร’
พอนึกถึงประโยคที่จวิ้นอ๋องเอ่ยเมื่อครู่ ฮ่องเต้ก็ถอนหายใจทำไมเขาจะไม่ชัดเจนล่ะ
“รีบไสหัวไปเสีย” ฮ่องเต้ก้มหน้าพลางขมวดคิ้วแล้วตะโกน
ใส่เขา “ถ้าเจ้าแต่งงานแล้ว ก็รีบพากันจับมือออกไปจากเมืองหลวง
แห่งนี้เสีย อย่าให้เราเห็นหน้าเจ้าอีก”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีตกอกตกใจไม่น้อย
ราวกับว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ฮ่องเต้พูดมาเมื่อครู่ หลังจากที่เขาอ้ำอึ้ง
อยู่สักพัก ก็เริ่มคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นก็รีบปล่อยขาฮ่องเต้ออกแล้ว
กระเด้งตัวขึ้น
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เขาตะโกน จากนั้นก็ฉีกยิ้มหวานให้
“แต่ว่า ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะยังอยู่ในเมืองหลวงต่อไปขอรับ”
ฮ่องเต้มองหน้าเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ออกไป” ฮ่องเต้ไล่เขา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะคิกคักพลางรีบคำนับขอลา
หลังจากที่เขาเดินออกไปเพียงแค่สองก้าว ฮ่องเต้ก็
ตะโกนเรียกให้เขาหยุด
“เจ้าพูดกับไทเฮาเองนะ อย่าหวังว่าเราจะฟังคำด่าแทน”เขารีบขานรับฮ่องเต้ จากนั้นจึงคำนับขอตัวลาแล้วรีบเดินออก
ไป
และในตอนนั้นเอง ขันทีที่ยืนหลบอยู่ในมุมมืดก็ได้ปรากฏตัว
ขึ้น
“คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” ฮ่องเต้ส่ายหน้า
“ฝ่าบาท นี่อาจเป็นเรื่องดีก็ได้นะขอรับ” ขันทีอมยิ้ม
หากแม่นางเฉิงได้แต่งงานกับตระกูลเกาล่ะก็ คงมิใช่เรื่อง
น่ายินดีสำ หรับฮ่องเต้เท่าใดนัก เดิมทียังนึกว่ามีโอกาสห้าสิบห้าสิบที่
แม่นางเฉิงจะได้แต่งเข้าเรือนตระกูลเกา แต่พอเกาหลิงปอกลับมาได้
เท่านั้นแหละ โอกาสที่ว่านั้นก็ลดลงไปทันที
คนอย่างเกาหลิงปอ แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังต้องนับถือ เพราะคน
อย่างเขาไม่มีทางที่ใครจะเกลียดเขาลงได้ เพราะเกาหลิงปอเป็นคน
ที่เอาใจใส่คนอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องเอาใจใส่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แค่ตระกูลเกา
เองก็มีอิทธิพลแผ่กระจายไปทั่วมากพอยู่แล้ว หากเพิ่มคนใจเด็ดใจสู้อย่างแม่นางเฉิงเขาไปด้วยแล้วนั้น ฝ่ายตรงข้ามคงต้านไม่อยู่
แน่นอน แล้ววันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรล่ะนั่น
ไหนจะเรื่องทายาทสืบทอดอีก
หากแม่นางเฉิงแต่งเข้าเรือนตระกูลโจวเองก็คงจะไม่ได้การ
เช่นกัน เพราะยังมีไทเฮาอยู่ เรื่องความสัมพันธ์ตัดอย่างไรก็
ตัดไม่ขาดอยู่แล้ว ตระกูลโจวกับตระกูลเฉิงมีความเป็นไปได้ที่จะ
ย้ายออกนอกเมืองหลวง ถ้าเช่นนั้นแล้ว ก็กลายเป็นว่าตระกูลเกา
จะกลายเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลสุดในเมืองหลวง
พอตอนนี้มีตัวละครอย่างจิ้นอันจวิ้นอ๋องแล้วด้วย ไทเฮาคง
ไม่เอ่ยปากไล่เขาออกนอกเมืองอย่างแน่นอน เขาเองก็มิใช่คนที่จะ
ถูกใครไล่ส่งเดชออกไปได้ง่ายๆ นอกจากนี้ หากเขาได้แต่งงานกับ
แม่นางเฉิง ก็หมายความว่าพวกเขากำลังจะสร้างศัตรูกับตระกูลเกา
แม่นางเฉิงกับตระกูลเกาคงไม่มีทางได้เกี่ยวดองกันอีก ถ้าเช่นนั้น
แล้ว หากมองในมุมของทายาทที่จะมาสืบทอดต่อ นี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่ง
โอกาสอันดี
ใบหน้าฮ่องเต้เผยให้เห็นรอยยิ้มบางเจ้าเด็กนั่น หรือว่าที่เขาเข้ามาทำทีเป็นออเซาะไม่เอาไหน
ใส่เขาก็เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากเรื่องวุ่นวายกันนะ
ถ้าให้พูดถึงความเอาใจใส่ จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็นับว่าเป็นคนที่
ค่อนข้างเอาใจใส่ อีกทั้งยังเป็นคนละเอียดอ่อนทั้งกับเรื่องในวังและ
ผู้คน
ช่างเป็นชายหนุ่มที่เพรียบพร้อมยิ่งนัก…
เสียดายที่เขามิได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาก็เท่านั้น…
ดังนั้นแล้ว หากแม่นางเฉิงได้แต่งกับเขาก็คงเป็นเรื่องเหมาะ
สมอยู่ไม่น้อย กระนั้นพวกเขาคงได้ระหองระแหงกับตระกูลเกา
ซึ่งอาจเป็นเรื่องดีต่อทายาทพวกเขา
อย่างนี้สิถึงเรียกว่าการรักษาสมดุล
ฮ่องเต้หันหลังแล้วก้าวเท้าไปยังแท่นพระที่นั่ง
เขาเองก็เป็นคนเห็นอกเห็นใจคน แต่พอได้ขึ้นนั่งตรงที่นั่งแห่ง
นี้แล้ว จะมัวแต่เห็นใจคนอยู่ได้อย่างไร
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังย่างเท้าในตำหนัก ใบ้หน้าของเขามิได้
ยิ้มแย้มเหมือนก่อนหน้าแล้ว แต่กลับต้องวางมาดเคร่งขรึมตามเดิมแบบที่เคยเป็นมา
“กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขันที
ที่เดินตามหลังเอ่ยขึ้น “แผนการของฝ่าบาทสัมฤทธิ์ผลแล้วสินะ
ขอรับ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเผยอยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ทำหน้านิ่ง
ตามเดิม
“ในเมื่อข้างัดทุกวิถีทางออกมาแล้ว อย่างไรเสียก็ย่อมต้อง
สัมฤทธิ์ผลสิ” เขาเอ่ยตอบขันที
ผู้ใดก็ต้องงัดทุกวิถีทางออกมาทั้งนั้น
เกาหลิงปอเองก็เช่นกัน ตระกูลเฉิงก็เช่นกัน ตระกูลโจวก็
เช่นกัน ราชนิกุลก็เช่นกัน ทุกคนบนโลกนี้ก็เช่นกัน
ความต่างอยู่ตรงที่จะงัดออกมาใช้อย่างไรต่างหาก อีกทั้งเมื่อ
งัดออกมาใช้แล้ว จะยังคงรักษาความตั้งใจอันแรกเริ่มไว้ได้หรือไม่
นั่นเอง
ขันทีเดินติดสอยห้อยตามเขาต่อเบื้องหน้าเขามีกลุ่มขันทีกำลังเดินสวนมา พอพวกเขาเห็นจิ้น
อันจวิ้นอ๋องก็รีบโค้งคำนับยกใหญ่
“กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
มีขันทีนายหนึ่งเอ่ยพลางทำหน้าอมยิ้ม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหยุดฝีเท้าแล้วเอ่ยขึ้น
“แสดงความยินดีให้กับว่าที่ฮองเฮาด้วยขอรับ…” ขันทีผู้นั้น
เอ่ยขึ้นอีกครั้งพลางทำหน้าอมยิ้ม จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา แล้ว
แสดงท่าทีมีนัยยะแฝงออกมา “สมปรารถนาแล้วนะขอรับ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเมื่อได้ยินเข้าก็คลี่ยิ้มออกมา
“มิทราบว่าเพลาใดกระหม่อมถึงจะได้แสดงความยินดีต่อหน้า
ว่าที่ฮองเฮากันล่ะขอรับ” ขันทีก้มหัวแอบยิ้มแล้วเอ่ยถาม
“ไม่ช้านี้แหละ”เขาตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา พลางก้าวเท้าเดินไป
ข้างหน้าต่อ เหล่าขันทีโค้งคำนับส่งเขาที่กำลังเดินเท้าไปยังตำหนัก
ของไทเฮา“ไทเฮาจะเห็นด้วยหรือไม่นะ” ขันทีนายหนึ่งเอ่ยถามขึ้นด้วย
เสียงเบา
ขันทีที่ได้โต้ตอบกับจวิ้นอ๋องเมื่อครู่ก็รีบยืนตัวตรงแล้วทำ
หน้ายิ้มอ่อน
“แม้แต่ฮ่องเต้ฝ่าบาทยังเกลี้ยกล่อมมาได้ กับไทเฮาคงไม่ยาก
นัก” เขาเอ่ย “ขอเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น”
… “
เจ้ายังเคยบอกอยู่เลยมิใช่รึว่าจะไม่แต่งงานเพื่อชิ่งอ๋อง แล้วนี่
มันอะไรกัน เจ้าจงใจหลอกเรางั้นรึ”
“ไทเฮา! ที่กระหม่อมตัดสินใจเช่นนี้ก็เพื่อชิ่งอ๋องนะขอรับ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องคลานเข่าไปด้านหน้า
“ชีวิตนี้ข้าจะไม่มีวันทิ้งลิ่วเกอร์ไปเด็ดขาด ข้าจะอยู่กับลิ่วเกอร์
ไปตลอดชีวิตของข้า”
“ข้ามิอาจขอให้นางรักษาเขาจนหายดี ข้าต้องการแค่ใครสัก
คนที่ดูแลเอาใจใส่ลิ่วเกอร์เฉกเช่นข้า”“ไม่ว่าใครที่เข้ามาก็ล้วนแต่พากันหวาดกลัวลิ่วเกอร์ รังเกียจ
ลิ่วเกอร์ แม้ว่าบางคนจะพยายามทำทีเป็นไม่รังเกียจเขาก็ตาม แต่
คงทนทำต่อไปไม่ได้ตลอดรอดฝั่งหรอก”
“มีแค่นางเท่านั้นที่ไม่กลัวลิ่วเกอร์ นางไม่เคยรังเกียจลิ่วเกอร์
เพราะนางเองก็เคยเป็นคนสติไม่ดีมาก่อน บนโลกนี้ไม่มีใครเข้าใจ
หัวอกลิ่วเกอร์ได้ดีเท่านางแล้ว”
“ไทเฮา บนโลกนี้ไม่มีคนเช่นนางแล้วนะขอรับ”
นั่นสินะ คนที่เป็นบ้ามาสิบกว่าปี สุดท้ายก็รักษาหายขาดได้
คงจะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
ไทเฮารู้สึกกลัดกลุ้มใจ
นั่นสินะ จะมีใครอีกที่ไม่รังเกียจลิ่วเกอร์เช่นตัวนางเอง รวมถึง
ฮ่องเต้ด้วย
ถึงแม้ว่าตอนช่วงที่นางป่วยกายอาจไม่มีลูกกตัญญูคอยอยู่
เคียงข้าง อีกทั้งไม่มีใครที่เกี่ยวข้องกันทางเลือดเนื้อเชื้อไขก็ตาม
แต่ว่า นี่แหละใจมนุษย์ เรามิอาจจะบังคับใจใครให้ทำตามสิ่งที่เรา
ต้องการได้ คงไม่ต้องหลอกตัวเองอีกแล้ว“กระหม่อมจะมาขอให้ไทเฮาช่วยยอมรับเราสองคนด้วยนะ
ขอรับ”
ไทเฮามองชายหนุ่มที่เข้ามาคุกเข่าอ้อนวอนร้องขออยู่
เบื้องหน้านี้
ยอมรับเขา ก็เท่ากับยอมรับตนเอง เหตุใดคำว่ายอมรับนั้น
ถึงกลายเป็นเรื่องน่าลำบากใจสำ หรับคนแก่คนเฒ่าไปได้นะ
“ลุกขึ้นเถอะ เราจะถือซะว่าเจ้าหาพี่เลี้ยงให้กับลิ่วเกอร์
ก็แล้วกัน”
…………