พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 551 คิดคำนึงถึง (1)
‘ไม่สิ ข้ารู้จักกับเขาก่อนต่างหาก’
นางปฏิเสธเขา ครั้งแล้ว ครั้งเล่า
‘ไม่ใช่อย่างนั้น เขาไม่ได้เอาเรื่องพวกนั้นมาพูดกับข้าเสียหน่อย
’
‘ไม่ต้องจัดการอะไรทั้งนั้น นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ข้าตกลง
กับเขาเรียบร้อยแล้ว’
‘ไม่สิ ข้ารู้จักกับเขาก่อนต่างหาก’
ตั้ง
แต่ต้นจนจบ นางเอาแต่ปฏิเสธ แถมนางยังเอาแต่…เอ่ยถึง
จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
นางยอมรับจิ้นอันจวิ้นอ๋องเข้ามาในชีวิตของนางแล้วสินะ
ฉินหูมองดูหญิงสาวตรงหน้าที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ ตอนนี้เขาอยู่ใน
ห้องของเฉิงเจียวเหนียง ขนาดห้องนางนั้นดูจะเล็กกว่าห้องกลางไป
นิด แม้ว่านายใหญ่เฉิงและนายรองเฉิงจะกลับเจียงโจวไปแล้ว แต่คนที่เคร่งครัดเช่นนางก็ไม่ได้มีความคิดว่าจะไปยึดห้องที่ใหญ่กว่า
มาเป็นของตนเอง
ถึงแม้ห้องนี้จะเล็กจนถึงขั้นที่ว่าแค่เขาก้าวไม่กี่ก้าวก็สามารถ
ถึงตัวนางได้ แต่ในความเป็นจริง เขาไม่เคยเข้าถึงนางได้เลย
ไม่เคยเลย แม้แต่ครั้งเดียว
ฉินหูหัวเราะ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” เขาเอ่ย “ข้าไม่รู้มาก่อน เลยเผลอ
ปล่อยไก่ให้เจ้าเห็นเลย”
“ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเจ้าจะไม่รู้ ไม่เห็นจะน่าขันตรงไหน
เลย” เฉิงเจียวเหนียงตอบเขา
ฉินหูยังคงทำหน้าหัวเราะดังเดิม
ไม่น่าขันหรอกหรือ แต่เขาว่า ออกจะน่าขัน
ฉินหูหันหน้าไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอาย
ของฤดูร้อน เสียงอันคุ้นเคยของหญิงสาวก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง
‘…จริงๆ นะ ท่านชายฉิน เรื่องของนางก็เป็นเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ
…’‘…ฮูหยินของพวกเราเป็นคนตั้งชื่อให้แม่นางคนบ้าคนนั้น นาม
ว่า เจียวเหนียง…เจียวเจียวเหนียง…’
เจียวเจียวเหนียง หญิงสาวผู้เดินทางจากปิ้งโจวมายังเจียงโจว
ฉินหูที่กำลังเดินหมากบนกระดาน พลางนึกคิด
หญิงผู้นั้นจะเป็นคนแบบไหนกันนะ
‘ฝากหยิบสมุดของปั้นฉินที่ใช้แล้วมาให้ข้าที ตั้งชื่อสาวใช้คน
ใหม่ว่าปั้นฉินตามเดิมสิ’
เขามองไปยังดอกบัวที่อยู่เต็มพื้น
เจียวเจียวเหนียง คงเป็นคนที่ใจแคบและช่างเจ้าคิดเจ้าแค้น
น่าดูสินะ
‘นายหญิง ชายโบ๋เบ๋คนนั้นมาอีกแล้ว’
เขาเงยหน้าขึ้นท่ามกลางหมอกและหิมะที่กำลังลอยอยู่ใน
อากาศ มองไปยังหญิงสาวผมดำขลับในชุดกระโปรงยาวสีเข้ม
นั่นคือเจียวเจียวเหนียงเองหรือ ผู้ที่ถูกทิ้งให้อยู่ในวัดเต๋านาน
กว่าสิบปี ผู้ที่เดินทางอย่างโดดเดี่ยว ผู้ที่มีท่าทีเฉยเมย ผู้ที่ลงมือทำ
ทุกอย่างเองกับมือ ผู้ที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครง่ายๆเจียวเจียวเหนียงผู้ที่ยังไม่เคยได้พบหน้าก็เป็นที่รู้จักไปทั่วแล้ว
ผู้ที่ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นกลับมาได้
‘ไม่สิ ข้ารู้จักกับเขาก่อนต่างหาก’
ฉินหูมองนาง พลางส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก จากนั้นก็หัวเราะ
ออกมา
จะเป็นไปได้ยังไง
ไม่สิ หรือว่า ที่แท้ก็ เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง…
ตอนนั้นที่นางตอบตกลงว่าจะรักษาขาให้กับเขา นางใช้ให้เขา
ทำนู่นทำนี่ตั้งมากมาย ทั้งรู้สึกถึงความสุขแล้วก็รู้สึกกังวลไปพร้อมๆ
กัน พอภายหลังเขารู้ว่าการกระทำทุกอย่างเป็นเพียงเพราะนางต้อง
การรักษาเขาให้หายก็เท่านั้น พอมาคิดๆ ดูแล้ว ช่วงเวลานั้นคือ
ตอนที่นางกับเขาได้พูดคุยกันมากที่สุด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีวัน
หวนกลับ…
ฉินหูส่ายหัว ตอนนั้น ที่นางเอ่ยว่าอยากลองชิมชาของวัดผู่ซิ่ว
ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีเล่นหมากเพื่อที่จะคว้าต้นชามาจากพระอาจารย์
หมิงไห่มาต้นชาต้นนั้นยามนี้อยู่ในสวนเล็กๆ ตรงสะพานอวี้ไต้ มันเติบ
โตมาอย่างดี และนี่คงเป็นของขวัญเพียงชิ้นเดียวที่เขาเคยมอบให้แก่
นาง
แค่ครั้งนั้น ครั้งเดียวจริงๆ
ตอนที่เขากำลังแบกต้นชามาให้นาง เขาเห็นโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า
นางมีถ้วยกาน้ำชาวางอยู่ อีกทั้งยังมีเบาะนั่งวางไว้ตรงพื้น บ่งบอก
ได้ว่านางเพิ่งรับแขกมา
ตอนนั้นเองนางยังไม่ค่อยมีคนรู้จักในเมืองหลวงมากเท่าใดนัก
แถมคนที่สนิทถึงขั้นที่ว่าเข้ามานั่งดื่มชากับนางได้ก็แทบจะไม่มี
ที่แท้…แขกผู้นั้น ก็คือจิ้นอันจวิ้นอ๋องเองนะหรือ…
‘เมื่อครู่แม่นางดื่มชารึ’
เขาถามนางอย่างอ้อมๆ
‘นี่ชาชนิดใดกัน’
‘ไม่ใช่ชาที่เจ้าทานก็แล้วกัน หากเจ้าไม่มีธุระอันใดแล้ว ก็ขอ
เชิญกลับไปเถิด’
ฉินหูยิ้มที่แท้ตอนนั้น ขณะตัวเขาที่ไม่ได้ถูกเชิญให้นั่ง แต่เขาผู้นั้นกลับ
ได้นั่งดื่มชาที่นางชงเองกับมือ
ถ้าพูดถึงเรื่องลำดับ คนที่มาช้ากว่าคงเป็นตัวเขาเองสินะ
จะเทียบคนที่มาก่อนได้อย่างไรกันล่ะ
ช่างน่าขันยิ่งนัก
“แม่นางเฉิง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าขอตัวกลับก่อน” ฉินหู
ยื่นมือพลางโค้งคำนับขอตัวลา
เฉิงเจียวเหนียงคำนับตอบ
“หากเจ้ามีอะไรให้ข้าช่วย บอกข้าได้เลยนะ” ฉินหูหัวเราะ
“เตรียมงานแต่งทั้งที คงจะยุ่งน่าดู”
เขาหัวเราะพลางมองไปที่สาวใช้สองคน
“ปั้นฉินยุ่งขนาดนั้นแล้ว ถ้างั้นเจ้ามีสาวใช้เพียงพอไหม ให้ท่าน
แม่ของข้าช่วยเลือกมาให้ไหม”
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ได้ยุ่งอะไรมากมาย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
แล้วคำนับให้เขาอีกครั้ง“นั่นสินะ เรื่องภายในตระกูลนี่นา” เขายิ้มพลางพยักหน้า แล้ว
หันไปทางโจวฝู “เจ้ายังมีบ้านของลูกพี่ลูกน้องเจ้าอีก คนตั้ง
เยอะแยะ ยังไงก็ช่วยกันจัดงานให้ได้อยู่แล้ว”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าขานรับ
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัวก่อนล่ะ” ฉินหูเอ่ย สายตาจับจ้องไปที่นาง
เฉิงเจียวเหนียงคำนับให้เขาอีกครั้ง
ฉินหูที่กำลังก้าวเท้าออกไป จู่ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
จึงรีบหันกลับมา
“นี่” เขาหัวเราะ พลางยื่นมือไปที่นาง “เจ้ายังไม่ได้เอาของว่าง
ให้ข้าเลยนะ”
ของว่างงั้นรึ
โจวฝูมองเขา
“ได้สิ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย แล้วนางก็ให้สาวใช้จัดแจง
ใส่ของว่างลงในกล่องที่ทำจากไม้อย่างดิบดี
“ข้าไปก่อนนะ” ฉินหูยื่นมือไปหยิบกล่อง แล้วฉีกยิ้มให้นางเขาหันหลังเดินออกไปทางประตู จากที่ค่อยๆ เดินอย่าง
เชื่องช้า ก็เร่งฝีเท้าให้เดินเร็วขึ้น จนกระทั่งเงาของเขาลับสายตา
โจวฝูที่ยังยืนอยู่ในห้อง ก็มองดูฉินหูจนแน่ใจแล้วว่าเขาเดิน
ออกไปแล้วจริงๆ ท่าทีของเขาแลดูสับสนยิ่งนัก
กลับไปซะแล้ว ทำไมรีบนักเล่า
จากนั้นเขาก็หันมาทางเฉิงเจียวเหนียง ที่ดูเหมือนกำลัง
พินิจพิเคราะห์เขาอยู่
นัยต์ตาใสสีดำเข้ม ทั้งดูไร้เดียงสาแต่ขณะเดียวกันก็ยากเกิน
จะคาดเดา…
เขารีบหลบสายตา แล้วทำทีจะกลับเช่นกัน
“ท่านชายหก เดินทางปลอดภัยขอรับ”
บ่าวเฝ้าประตูที่กำลังยืนคุยกันอยู่ พอเห็นท่านชายโจวหกเดิน
มา ก็รีบก้มคำนับ
แต่เขาไม่ได้สนใจพลันเดินออกนอกประตูไป เขาพบว่าม้าของ
ฉินสิบสามไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว พอมองซ้ายมองขวา ก็เห็นเป็นเงา
ตะคุ่ม ตะคุ่ม เหมือนฝีเท้าและเงาของม้าที่เดินตามหลัง“สิบสาม” โจวฝูตะโกนเรียก
เหมือนฉินหูจะไม่ได้ยินเสียงของเขา ไม่เห็นจะหันกลับมาเลย
เงาที่มองไม่เห็นแขนของฉินหู ดูเหมือนเขากอดอะไรบางอย่าง
ไว้ด้านหน้า พอมองอย่างนี้แล้วเลยรู้สึกว่าเขาดูตัวเล็กลงไปทันที…
เขากำลังถืออะไรอยู่นั่น
อ่อ กล่องขนมนั่นเอง
“สิบสาม สิบสาม”
โจวฝูวิ่งตามเขา พลางคิด ทำไมเจ้านั่นถึงได้เดินเร็วขนาดนี้
จนโจวฝูต้องก้าวเท้ายาว ถึงจะวิ่งตามเขาทัน จากนั้นเขายื่นมือไป
แตะที่หัวไหล่ของฉินหู เขารีบวิ่งตามเสียจนแทบจะหยุดขาตัวเองไว้
ไม่ทันจนล้ำหน้าฉินหูไปสองก้าว
“ทำอะไรน่ะ” ฉินหูย่นคิ้วถาม
โจวฝูทำปากพะงาบ แต่ยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
เขาไม่รู้จะพูดอะไรดี เพราะตอนนี้ หัวสมองเขาว่างเปล่า
เหลือเกิน“เจ้าไม่ได้เอาของว่างมาหรอกรึ” ฉินหัวเราะ พลางซ่อนกล่อง
เอาไว้แนบลำตัว แล้วยื่นมือป้องไว้ “อย่ามาแย่งของข้าเชียว ถ้า
เจ้าอยากกิน เจ้าก็ไปหานางเองสิ กล่องนี้เป็นสินน้ำใจระหว่างนาง
กับข้า”
โจวฝูทำหน้ามึนงง แต่แล้วจู่ๆ ก็มีภาพจำ เหตุการณ์เก่าๆ
สะท้อนเข้ามาในหัวของเขา
เป็นภาพเหตุการณ์เรื่องสู่ขอเฉิงเจียวเหนียงเมื่อหลายปีก่อน
ตอนนั้นที่นางถูกคลุมถุงชน เขากับสิบสามพอได้ยินข่าวก็รีบกรูกัน
เข้ามาช่วยนางหาคนที่เหมาะสม แทบไม่ได้ต่างอะไรเลยกับตอนนี้
นึกถึงทีไรก็อดยิ้มไม่ได้
ตอนนั้นเขาใจร้อนทนแจบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว แต่นางกลับยื่น
กล่องของว่างมาให้เขาหนึ่งกล่อง
‘ข้ายังมีธุระต้องสะสางอีก พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด’
‘พวกเจ้าไปทำอย่างอื่นต่อเถอะ แล้วก็รับกล่องของว่างนี้ไว้
ด้วย ขอบคุณน้ำใจจากพวกเจ้าเป็นอย่างมากเลยนะ’ตอนนั้นช่างไม่ต่างอะไรเลยกับตอนนี้ เขาคิด พลางมองไปยัง
กล่องของว่างที่ฉินหูกำลังถือไว้อยู่
ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม…
“สิบสาม…” โจวฝูกำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่กลับรู้สึกระคาย
คอขึ้นมาเสียงั้น
“ข้าไปก่อนนะ ยังมีเรื่องต้องจัดการอีก” ฉินหูเอ่ยกับเขา แล้ว
เดินจากไป
โจวฝูไม่วิ่งตามเขาอีก มองดูชายหนุ่มถือกล่องของว่างค่อยๆ
เดินจากไป
“เอาละ ถึงแม้ในสายตาของนางเขาไม่ได้เป็นคนสำ คัญอะไร
ถึงแม้ความรู้สึกแบบนั้นมันจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม แต่กระนั้น เขา
เองก็ไม่ใช่เด็กน้อยที่จะต้องมาสร้างความรำคาญให้แก่นาง”
ที่จริงก็ไม่ได้รู้สึกห่วยแตกขนาดนั้นแต่อย่างใด เพียงแต่
ราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดเป็นเรื่องไม่จริง แท้จริงแล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกแย่
มีแต่ความว่างเปล่าเกิดขึ้นในความรู้สึกเสียด้วยซ้ำ …
“หลบไป!”“เจ้าบ้านี่ทำอะไรน่ะ ! เอาแต่ยืนเหม่ออยู่ได้ทั้งวัน!”
“เสียสติไปแล้วรึ หลบไป หลบสิ”
ทั้ง
เสียงคน เสียงม้า และเสียงรถเซ็งแซ่ไปทั่ว
หนวกหูจริงๆ !
เขาทำหน้าไม่สบอารมณ์พลางก้าวเท้าเดินต่ออย่างไม่สนใจ
ใคร
“ท่านชายหก ม้าของท่านเล่า”
“ท่านเดินกลับเรือนอย่างนั้นรึ”
“ท่านชาย ท่านชาย”
เขาเดินเชิดหน้าต่อ ไม่สนใจเสียงรอบข้าง จนกระทั่งมีมือๆ
หนึ่งมาคว้าแขนเขาเอาไว