พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 552 ได้ยินได้เห็น
เสียงของอาชาไนยจำ นวนหนึ่งดังระงมอยู่ตรงด้านหน้าศาลา
พักม้า
“นายใหญ่เฉิง ท่านลองดูม้าพวกนี้สิ เป็นเช่นไรบ้าง ใช้ได้
หรือไม่” ผู้ดูแลศาลาพักม้าเอ่ยถาม
นายใหญ่เฉิงชายตามองแค่แวบเดียว
“นี่คือม้าที่ดีที่สุดสำ หรับใช้ลากรถใช่ไหม” เขาเอ่ยถาม
ผู้ดูแลพยักหน้าให้เขายกใหญ่
“แน่อยู่แล้วท่าน ข้าเลือกเองกับมือเลยล่ะ” เขาเอ่ย
“ข้าเชื่อสายตาของเจ้า” นายใหญ่เฉิงหัวเราะ แล้วโยนถุงเงิน
ออกไป “ลำบากเจ้านัก เอาเงินนี่ไปซื้อน้ำชามาดื่มให้ชื่นใจเสีย”
ผู้ดูแลรับถุงเงินมา แล้วฉีกยิ้มให้
“เกรงใจกันเกินไปแล้วนายใหญ่เฉิง” ผู้ดูแลเรียกคนขายม้า
ส่วนนายใหญ่เฉิงก็ให้ลูกน้องไปจ่ายเงิน“…นายใหญ่เฉิงผู้นี้กระเป๋าหนักเหลือเกิน…ดูม้าที่พวกเขาใช้สิ
วิ่งได้ไม่เท่าไหร่ก็ซื้อตัวใหม่มาอีกแล้ว…”
“…ไม่มีการต่อราคาเสียด้วย แถมยังให้ค่าเหนื่อยอีก…ถ้า
ศาลาพักม้าของพวกเรามีคนแบบนี้มาพักเยอะๆ ก็คงดีไม่น้อย…”
“…ข้าได้ข่าวมาว่าเขาต้องรีบใช้ม้าเพื่อกลับไปยังบ้านเกิด ว่า
กันว่านายหญิงใหญ่ของตระกูลเจ็บป่วยร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เลย
ต้องรีบร้อนกลับไป”
“นี่มันลูกกตัญญูชัดๆ…”
ผู้คนที่ยืนพูดคุยกันอยู่ด้านนอกหน้าต่างนั้นแยกย้ายกันไป
หมดแล้ว กระนั้นฮูหยินรองเฉิงยังคงมองไปทางด้านนอกและทำ
หน้าบูดบึ้ง
ดูสิดู ขนาดนายใหญ่เฉิงยังถูกคนเขาพูดถึงว่าเป็นคน
กระเป๋าหนัก เขาเป็นคนแบบนั้นเสียที่ไหนกันล่ะ! ตอนอยู่บ้านนะ
เอาแต่ซื้อชาแพงๆ ที่ตัวเองชอบเท่านั้นแหละ พอคนอื่นจะขอดื่มที
นะก็ทำมาเป็นเสียดายราวกับจะโดนขูดเลือดขูดเนื้อยังไงยังงั้นไม่ว่าใครก็กระเป๋าหนักกันทั้งนั้นแหละ ทั้งพ่อบ้านเฉา ทั้งปั้น
ฉิน รวมถึงนายใหญ่เฉิงด้วย มันน่าประหลาดใจตรงไหนกัน ก็แค่ใช่
เงินตัวเองซื้อของก็เท่านั้นเอง
นางนั่นก็โง่แท้ หากเงินนั้นเป็นของข้า ข้าจะไม่เอามาใช้
สุรุ่ยสุร่ายแบบนี้หรอก!
ฮูหยินรองเฉิงกำลังจะหันตัวไปอีกทาง แต่ดันเสียการทรงตัว
จึงร้องตะโกนออกมาก่อนที่ร่างจะล้มลงไปกับพื้น โชคดีที่ตรงนั้นมี
แม่นมหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น นางมือเท้าไวจึงช่วยพยุงฮูหยินรอง
เฉิงไม่ให้ล้มลงไปได้ทัน
“ฮูหยินเจ้าคะ ระวังหน่อยสิ”
พอเอ่ยถึงเรื่องระวังแล้ว ฮูหยินรองเฉิงมองไปที่ขาของตัวเอง
อย่างภาคภูมิใจ
ถึงแม้อาการขาของนางจะไม่หนักถึงขั้นที่คนเอาไปพูดต่อๆ กัน
ว่าขาของนางหักแล้ว แต่เอาเข้าจริงก็เจ็บอยู่ไม่น้อย แถมกระดูกยัง
เคลื่อนด้วย วันก่อนรอยบวมเพิ่งจะหายไปหมาดๆ กลับได้รอยช้ำมาเพิ่มระหว่างที่กำลังเดินทาง ไม่รู้ว่าถ้ากลับไปถึงเจียงโจวแล้ว
ขานางจะยังอยู่รอดไหม หรือจะหักไปเสียก่อน
“กินข้าวเถิดเจ้าค่ะ ฮูหยิน”
แม่นมเดินถืออาหารเข้ามาด้านในพลางเรียกให้นางกินข้าว
“จะรีบไปทำไมกัน นี่เพิ่งจะกี่โมงกี่ยามเอง” ฮูหยินฉินหงุดหงิด
“ข้ากินไม่ลง”
“ทานก่อนเถอะเจ้าค่ะ เพราะตอนนี้เปลี่ยนม้าแล้ว เดี๋ยว
ไม่นานคงต้องออกเดินทางกันต่อแล้วเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าจะได้หยุดพักอีก
เมื่อใด” แม่นมอธิบาย
แค่คิดก็อยากจะบ้าตาย ฮูหยินรองเฉิงโมโหเสียจนเผลอเอามือ
ไปทึ้งหัวตัวเองแล้วกรีดร้องออกมาเสียงดัง ทำเอาบ่าวรับใช้ที่อยู่
ตรงนั้นรีบกรูกันเข้ามาเกลี้ยกล่อมนาง
ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องทำเช่นนี้บ่อยกว่าแต่ก่อนเสียอีก
เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็น
ว่า ณ ตอนนี้นายใหญ่เฉิงเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้น แม้แต่ขุนนางอย่าง
นายรองเฉิงก็มิอาจเทียบเคียงได้หากฮูหยินใหญ่เฉิงอาการหนักอย่างที่เขาว่าจริงๆ ละก็ การ
กลับไปครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้อยู่กับนาง และนายใหญ่
ทั้ง
สองคนก็คงต้องประสบเคราะห์กรรมในการสูญเสียผู้บังเกิดกล้า
ประจำ ตระกูลไป แล้วต้องออกจากการเป็นขุนนางเพื่อมาดูแลคนใน
บ้าน เป็นเวลาสามปี
สามปีต่อจากนี้จะเกิดอะไรต่อไป ไม่มีใครล่วงรู้ได้
แม่นมผู้นี้เป็นคนของฮูหยินรองเฉิงก็จริง แต่คนที่นางฟังคำสั่ง
คือนายใหญ่เฉิง แม่นมเอาแต่พูดชักจูงให้ฮูหยินรองเฉิงต้องกินข้าว
แต่กลับไม่เห็นจะมีคำสั่งออกมาว่าต้องรีบออกเดินทางต่อ
“จะออกเดินทางหรือยัง จะออกรึยัง ยังจะไปอยู่ไหม ถ้าไม่ไป
ตอนนี้เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน แล้วก็ต้องมาคอยแวะก่อไฟ
ระหว่างทางอีก” นายรองเฉิงเดินเข้าไปในห้องของนายใหญ่เฉิง
ถามอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วเห็นว่านายใหญ่เฉิงกำลังทำ
หน้านิ่วคิ้วขมวดถือซองจดหมายอะไรสักอย่าง
“จดหมายจากที่บ้านงั้นรึ” สีหน้าของนายใหญ่เฉิงทำเอานาย
รองเฉิงพะวงไปด้วย หรือว่าท่านแม่จะ…“จดหมายจากเจ้าสี่น่ะ”นายใหญ่เฉิงตอบ
หากเป็นข่าวร้ายของนังบ้านั่น คงเป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อย
นายรองเฉิงตื่นเต้นกับเนื้อหาในจดหมาย
“เขาเขียนมาว่าอย่างไรบ้าง”เขาเอ่ยเร่งถาม
“เรื่องการแต่งงานของเจียวเหนียงลงตัวแล้ว” นายใหญ่
เฉิงอ่านใจความในจดหมาย ท่าทีของเขาดูเหม่อลอย
ลงตัวแล้วงั้นรึ
“กับใครกัน” นายรองเฉิงตะโกนถาม พลางคิด นี่มัน
เรื่องไร้สาระอะไรกัน นางกำลังจะแต่งงานแล้ว แต่คนเป็นพ่ออย่าง
เขากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย!
“จิ้นอันจวิ้นอ๋อง” นายใหญ่เฉิงเอ่ย
จิ้นอัน! จวิ้นอ๋อง! อย่างนั้นรึ
ผิดคาด ไม่ใช่ท่านชายเกา แต่เป็นจิ้นอันจวิ้นอ๋อง!
นายรองเฉิงจู่ๆ ก็รู้สึกวิงเวียนไปหมด เกิดเรื่องดีๆ แบบนี้ขึ้น
มากะทันหันจนเขาเองแทบจะตั้งรับไม่ทัน“…เร็วเข้า รีบเตรียมรถเร็ว กลับไปยังเมืองหลวงกัน” เขา
ตะโกนบอก
เขาต้องรีบกลับเมืองหลวงเพื่อไปจัดการเรื่องงานแต่ง
ไม่อย่างนั้นหากท่านแม่ของเขาเกิดเป็นอะไรขึ้นมา คงได้กระทบ
งานแต่งแล้วต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างแน่นอน
นางกำลังจะแต่งงานกับราชนิกุล เขาควรต้องเตรียมตัว
อย่างไรดี มีร้อยแปดพันเก้าเรื่องที่ต้องทำ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว!
นายรองเฉิงตัวสั่นจนแทบจะยืนไม่อยู่ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็น
ว่านายใหญ่เฉิงกำลังนั่งเหม่ออยู่
“ท่านพี่ ทำอะไรอยู่น่ะ ยังไม่รีบลุกอีก”เขาตะโกน
นายใหญ่เฉิงส่ายหัว
ไปไม่ได้งั้นรึ
“ท่านพี่อย่าบอกนะว่าไปไม่ได้” นายรองเฉิงเอ่ยอย่างตกใจ
“นางกำลังจะแต่งงานนะ พวกเราในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ของตระกูล
จะไม่ไปเข้าร่วมได้อย่างไรกัน”นั่นสินะ หากนางกำลังจะแต่งงานจริงๆ ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่
ของตระกูล ไม่ไปเข้าร่วมก็กะไรอยู่ แต่เหตุใด นางถึงรีบให้พวกเขา
ออกจากเมืองหลวงกันนะ
คนอย่างนางเป็นคนมีแผนการอยู่แล้ว หากนางวางแผนไว้
แต่แรกว่าจะต้องมีงานแต่ง เหตุใดนางถึงให้พวกเขาออกจาก
เมืองหลวงด้วยล่ะ
หรือว่านี่เป็นเรื่องที่นางไม่ได้วางแผนไว้สินะ
แล้วพวกเขาควรกลับไปที่เมืองหลวงอยู่ไหม
นายใหญ่เฉิงก้มอ่านจดหมาย นี่เป็นจดหมายที่เฉิงสี่เขียนเอง
เป็นการบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เขาไม่ได้ขอให้พวกเขาต้อง
กลับมาที่เมืองหลวง อีกทั้งเฉิงเจียวเหนียงเองก็ไม่ได้ให้คน
ส่งจดหมายมาให้พวกเขาสักหน่อย
หรือเขาต้องฟังนาง เพราะนางบอกให้พวกเขารีบกลับไปที่เจียง
โจว แต่ไม่ได้ให้พวกเขาย้อนกลับมายังเมืองหลวง ถ้างั้นแล้ว…
นายใหญ่เฉิงพับจดหมายเก็บลงไป
“เตรียมรถ พร้อมออกเดินทาง” เขาเอ่ยขึ้นขณะที่นายรองเฉิงกำลังดีอกดีใจว่าจะได้กลับไปยังเมืองหลวง
ก็รีบพุ่งตัวออกไปก่อนคนแรก แต่พอขึ้นรถไปสักพักก็รู้สึกได้ว่า
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“เกิดอะไรขึ้น ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงหรอกรึ”
“นายใหญ่เฉิงบอกว่ามุ่งหน้าไปยังเจียงโจวขอรับนายรอง ท่าน
ไม่ได้บอกไว้ว่าจะไปเมืองหลวงขอรับ”
เจียงโจวงั้นรึ
ทำไมกลับเจียงโจวล่ะ
“ในเมื่อนางกำลังจะแต่งงาน ยังไงก็ต้องมีคนถามถึงพวกเรา
อยู่แล้ว พวกเราน่ะกลับไปตั้งหลักที่เจียงโจวก่อนจะดีกว่า”
นายรองเฉิงมองท่าทีอันเฉยเมยของนายใหญ่เฉิง พลางคิด
ทำไมถึงได้โง่อย่างนี้นะ
ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่โง่ ตัวเขาเองหรือท่านพี่นายใหญ่เฉิงผู้นี้
“เฉิงไหว! เจ้าบ้าไปแล้ว!”
…ดูเหมือนจะไร้วี่แววของผู้หลักผู้ใหญ่ทางฝ่ายหญิง ในขณะที่
ฝั่งของฝ่ายชายนั้นกลับมากันให้อุ่นหนาฝาคั่ง
“พวกเจ้าถือเป็นคู่แรกของคนรุ่นหนุ่มสาวเลยนะที่จัด
งานแต่งงานก่อนน่ะ” กุ้ยเฟยหัวเราะ
เหล่าพระชายาทั้งหลายกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
แม้แต่ไทเฮาเองก็ยังหัวเราะไม่หยุดปาก
“นั่นสินะ งานนี้ต้องจัดออกมาให้ดีเลยล่ะ” ไทเฮาเอ่ย พลาง
เอ่ยถามกุ้ยเฟยเรื่องตำหนักของซิ่วอ๋องว่าได้รับข่าวแล้วหรือยัง
กุ้ยเฟยหัวเราะพลางขานตอบ
“หม่อมฉันส่งข่าวไปแล้วเพคะ ใช้เวลาประมาณสามวันน่าจะ
ถึงมือซิ่วอ๋องเฟยเพคะ” กุ้ยเฟยตอบ
ไทเฮาแสดงท่าทีปลื้มอกปลื้มใจพลางพยักหน้า
“ถึงแม้ซิ่วอ๋องเฟยเป็นพ่อแม่บังเกิดเกล้าของจวิ้นอ๋องก็ตาม
แต่อย่างไรแล้วก็ถือว่าพวกเขาแขกบ้านแขกเมืองของพวกเรา ดังนั้น
เรื่องงานสมรสนี้พวกเราจะต้องเป็นฝ่ายจัดการ” ไทเฮาเอ่ย
กุ้ยเฟยขานรับ“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเพคะ” กุ้ยเฟยหัวเราะ “จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
เติบโตมาได้เพราะการบ่มเพาะเลี้ยงดูของไทเฮาเชียวนะเพคะ”
จู่ๆ ไทเฮาก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“จวิ้นอ๋องล่ะ” นางเอ่ยถามถึงเขา “ไม่ใช่ว่าเขาต้องมาวันนี้รึ”
“เรียนไทเฮา ท่านจวิ้นอ๋องอยู่ที่ตำหนักฮองเฮาเพคะ”
นางสนมเอ่ย
เดิมทีจิ้นอันจวิ้นอ๋องกับฮองเฮาไม่ได้สนิทสนมกันเท่าใดนัก
ตั้ง
แต่ครั้งนั้นที่เกิดเรื่องกับองค์ชายรอง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องจึงต้องทำหน้าที่แทนองค์ชายรอง
ฮ่องเต้เองก็เคยทอดถอนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
องค์ชายรองเป็นเด็กที่เชื่อฟังฮองเฮามากที่สุด ตอนที่เกิด
อุบัติเหตุขึ้น ก็เป็นเพราะเขารับคำสั่งฮองเฮาให้ไปเก็บดอกบ๊วย
นั่นเอง…
พอคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของไทเฮาก็เริ่มรื้นน้ำตา
“เวลาช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน” ไทเฮารีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ตอนนั้นเขาเพิ่งจะสูงเท่าท่อนขาของเราเองนะ…แล้วดูตอนนี้สิแวบเดียว ตัวสูงขนาดนี้เลยหรือนี่”
ไทเฮาพูดพลางทำท่าให้ดู
“การจะเลี้ยงใครสักคนให้เติบใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
ขณะที่บทสนทนากำลังดำเนินอยู่นั้น เสียงประกาศการมา
ถึงของพระสนมอันก็ดังขึ้น
ณ ช่วงเวลานี้ พระสนมอันนับว่าเป็นบุคคลที่น่าอิจฉาที่สุดใน
บรรดาเหล่าพระชายาทั้งหลาย เพราะพระสนมอันคือคนที่ฮ่องเต้ไป
นอนด้วยทุกคืน แถมยังเอาใจนางเป็นที่สุด ทั้งเรื่องกินเรื่องดื่ม
เรื่องบันเทิง ฮ่องเต้ก็คอยเอาแต่ประคบประหงมนาง
ไทเฮายื่นมือเพื่อแสดงออกว่าไม่ต้องให้พระสนมอันโค้งคำนับ
ให้ เพราะนางกำลังอุ้มท้องอยู่
“อากาศร้อนขนาดนี้ เจ้ามาได้อย่างไรกัน” ไทเฮาเอ่ยถาม
“หมอหลวงบอกให้ข้าเดินเยอะๆ ข้าเลยเข้ามาดูว่ามีอะไรที่ข้า
พอจะช่วยเหลือได้บ้างเพคะ” พระสนมอันเอ่ย
สิ้นคำของพระสนมอัน ทำเอาทั้งตำหนักเต็มไปด้วย
เสียงหัวเราะ กุ้ยเฟยเองก็เช่นกัน เพียงแต่เสียงหัวเราะของกุ้ยเฟยสอดแทรกไปด้วยความเหยียดหยาม สายตาจับจ้องไปยังหน้าท้อง
โตของพระสนมอัน
“เจ้าจะช่วยอะไรได้เล่า แค่เจ้าอยู่ดีมีสุข ก็ช่วยได้เยอะแล้วล่ะ”
ไทเฮาหัวเราะ
เหล่าพระชายาพูดคุยหยอกล้อกันไปสักพัก ก็มีพระชายา
บางคนขอตัวกลับก่อน คนที่เหลือก็ค่อยๆ ทยอยกันกลับเช่นกัน
ไทเฮาที่เห็นว่าพระสนมอันทำท่ากำลังจะลุกยืนขึ้น ก็รีบสั่งให้ขันที
สองคนไปช่วยเหลือนาง แล้วพาส่งกลับตำหนัก
“กุ้ยเฟยเพคะ”
พระสนมอันตะโกนเรียกกุ้ยเฟยที่กำลังเดินนำหน้า
กุ้ยเฟยหยุดฝีเท้า แล้วหันไปหาต้นเสียง
“พระสนมอันน้องรัก มีเรื่องอันใดรึ” กุ้ยเฟยทำหน้ายิ้มแย้ม
พลางเอ่ยถาม
พระสนมอันค่อยๆ ก้าวเท้าไปด้านหน้า โดยมีนางสนมคอย
พยุงไว้อยู่ด้านข้าง
“ช่วงนี้ข้ากลัวร้อน ก็เลยอยากได้น้ำแข็งเพิ่ม” พระสนมอันเอ่ยกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลเรื่องสารทุกข์สุกดิบต่างๆ ของเหล่าพระชายา
ในวัง การใช้งานสิ่งของต่างๆ จะต้องมีกฎเกณฑ์ แต่อย่างที่เขาว่ากัน
กฎก็คือกฎ แต่คนกับคนนั้นถือว่าพอเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กันได้
“พระสนมอันน้องรัก เรื่องนี้เจ้ายังต้องมาเอ่ยปากขอข้าอีกงั้นรึ
” กุ้ยเฟยตอบ
พอได้ยินทั้งคู่กำลังคุยกัน ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างก็หลุดหัวเราะ
ออกมา
“แม่นางทั้งสอง เชิญพูดคุยกันต่อที่ตำหนักเย็นเถิดขอรับ
อากาศร้อนนขนาดนี้ ไม่ต้องลงไปที่ห้องใต้ดินหรอกขอรับ” เขาเอ่ย
โน้มน้าว
ตากแดดนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้ แสร้งทำเป็น…
กุ้ยเฟยแสยะยิ้มในใจ สายตาของนางจับจ้องไปที่ท้องของ
พระสนมอันอีกครั้ง นางอดไม่ได้ที่จะกุมมือของตนที่วางด้านหน้า
ลำตัวไว้แน่น
“ไม่เป็นไรหรอก ก็ไปตามที่กุ้ยเฟยพาไปเหมือนเดิม” พระสนม
อันหัวเราะ พลางผายมือให้กุ้ยเฟยเดินไปก่อนกุ้ยเฟยหัวเราะพลางเดินนำหน้าไปก่อน
“…เป็นเรื่องที่ข้าต้องมาขอกุ้ยเฟยด้วยตนเองเพคะ ข้าต้อง
รักษากฎเอาไว้สิ” พระสนมอันเอ่ยไปพลางยิ้มไป
ยังแหกกฎไม่พออีกรึ
กุ้ยเฟยคิดในใจพลันหัวเราะอย่างเยือกเย็น ก็ไปขอฮ่องเต้เองสิ
จะมาทำตัวเป็นคนดีอยู่ตรงนี้ทำไมกัน คิดว่านางโง่อย่างนั้นรึ
“คิดมากไปแล้ว น้องรัก” กุ้ยเฟยหัวเราะ พลางก้าวเท้าลง
บันได
พระสนมอันรีบเดินตามกุ้ยเฟยไป
“จะมิให้ข้าคิดมากได้อย่างไร ในเมื่อข้าก็กลัวกุ้ยเฟยคิดมาก
เช่นกันเพคะ” พระสนมอันหัวเราะ
ประโยคเมื่อครู่นี้ ช่างไม่เจียมตัวเลยนะพระสนมอัน!
กุ้ยเฟยค่อยๆ หยุดฝีเท้าลง แล้วหันไปหาพระสนมอัน สายตา
ของนางยังคงจับจ้องไปที่หน้าท้องโตของพระสนมอัน
พลางคิด เจ้าก็มีดีแค่ตรงนั้นแหละนะ…“น้องรัก พูดติดตลกอีกแล้วนะ” กุ้ยเฟยหันกลับไป แล้วก้าว
เท้าต่อ
พระสนมอันนิ่งไปชั่วครู่ พลางมองไปยังบันไดเบื้องหน้า มือ
ของนางโอบที่หน้าท้องไว้แน่น แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าลงบันได
“ท่านพี่ ฟังข้าอธิบายก่อน…” พระสนมอันเอ่ย พลางเอื้อมมือ
คว้าเข้าไปที่แขนของกุ้ยเฟย
กุ้ยเฟยตกใจที่จู่ๆ มีคนมาคว้าแขน เลยเผลอสะบัดออก
“นี่เจ้า…” กุ้ยเฟยตะโกนร้อง ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ ก็เห็นว่าร่าง
ของพระสนมอันไถลตกลงไปเบื้องล่างแล้ว จึงกรีดร้องสุดเสียง
เสียงร้องของกุ้ยเฟยดังไปทั่วทั้งตำหนัก
เหล่าพระชายาที่อยู่ห่างกันไม่มากก็รีบเข้ามาดู ส่วนคนที่อยู่
ห่างจากตรงนั้นเมื่อได้ยินเสียงร้องก็หยุดชะงักทุกอย่างในทันที
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ประจวบเหมาะมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีก็ทำ
หน้าตกตะลึง
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
“เหว่ยหลัง”ฮองเฮายิ้มอ่อนให้เขา
“นี่เป็นของขวัญแต่งงานที่ข้าจะมอบให้เจ้า เจ้าว่าอย่างไรบ้าง”