พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 553 เกิดเรื่อง
เฉินเซ่าที่กำลังเดินออกจากห้องทำงานสังเกตเห็นคนประมาณ
สี่ห้าคนตรงทางเดินกำลังยืนพูดคุยอะไรกันอยู่ ใบหน้าของพวกเขา
มองไปทางตำหนักด้านใน
เฉินเซ่าไม่รอช้า รีบย่ำเท้าเดินเข้าไปหา
“ทำอะไรกันน่ะ” เฉินเซ่าขมวดคิ้วเอ่ยถาม
พวกเขามีท่าทีลังเล แต่แล้วก็มีคนหนึ่งในนั้นเอ่ยตอบเขา
“ดูเหมือนในวังมีเรื่องเกิดขึ้นขอรับ” เขาเอ่ย
เฉินเซ่าทำหน้าครุ่นคิด
มีเรื่องเกิดขึ้นในวังงั้นรึ มีเรื่องอะไรที่เขายังไม่รู้อีกหรือนี่
“มีพระชายานางหนึ่งหกล้มขอรับ” หนึ่งในนั้นเอ่ยต่อ
เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!
เฉินเซ่าที่กำลังจะเอ่ยตอบ จู่ๆ ก็ถูกขัดจังหวะด้วยคนกลุ่มหนึ่ง
ที่กำลังวิ่งผ่านไป เขาจึงยกมือโบกเรียกพวกเขา“ข้ารู้เรื่องที่พระสนมอันหกล้มแล้ว” หนึ่งในกลุ่มที่วิ่งอยู่นั้น
ตะโกนออกมา
เจ้าของเสียงตะโกนสังเกตเห็นเฉินเซ่าพอดี เลยรู้สึกผิดที่
ตะโกนออกไปอย่างนั้น
เฉินเซ่าไม่ได้ตำหนิเขาแต่อย่างใด กลับเอ่ยถามด้วย
ความประหลาดใจ
“พระสนมอันงั้นรึ” เฉินเซ่าเอ่ยถาม
ชายคนนั้นถอนหายใจโล่งอก แล้วพยักหน้า
“ขอรับ เป็นพระสนมอัน ได้ยินมาว่าเดินไม่ระวังเลยตกบันได
ลงมาน่ะขอรับ” เขาเอ่ย
“แล้วครรภ์นางล่ะ…” เฉินเซ่าเอ่ยถาม
บรรยากาศในตำหนักไทเฮาเต็มไปด้วยความตึงเครียด เสียง
ร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย
ตรงทางเดิน เหล่าพระชายารวมตัวกันยืนก้มหัว พลางมอง
เข้าไปด้านในตำหนักเป็นระยะ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา จะมีก็แค่หันมามองสบตากันบ้าง สีหน้าของพวกนางช่างดูแปลกประหลาด
ยิ่งนัก
ทั้ง
ฮ่องเต้ ฮองเฮา และไทเฮาต่างก็อยู่ด้านในตำหนัก
ไทเฮากำลังนั่งหน้าซีดบ่นพึมพำอะไรบางอย่าง ส่วนฮองเฮาก็
ดูมีท่าทีกังวลไม่น้อย มือที่กุมไว้ด้านหน้าบีบรัดแน่นอันเป็นท่าทีที่
แสดงถึงความตึงเครียดและพะวง
ส่วนฮ่องเต้ก็เดินวนไปวนมา ฟังเสียงกรีดร้องโอดครวญดัง
มาจากด้านใน
“พวกเจ้ายังไหวอยู่หรือไม่” เขาตะโกนถาม ครั้งจะเดินเข้าไปดู
ให้แน่ชัด แต่กลับถูกเหล่านางสนมห้ามเอาไว้
ฮ่องเต้เลยได้แต่ทำบึ้งตึงหันกลับไปเดินวนต่อ
“ฝ่าบาท เรียกแม่นางเฉิงมาเถอะเพคะ”
ฮองเฮาเอ่ยขึ้น
แม่นางเฉิงงั้นรึ
ฮ่องเต้หันไปหาฮองเฮาที่กำลังนั่งอยู่ เดิมทีร่างกายนางก็
อ่อนแออยู่แล้ว ผมก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสี น้ำเสียงสั่นเครือ“ฝ่าบาท หม่อมฉัน…” ฮองเฮามองหน้าฮ่องเต้ ความรู้สึกที่ถูก
กดทับไว้บัดนี้ไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป ดวงตาของฮองเฮาเริ่ม
มีน้ำตาไหลลงมา “หม่อมฉันรับเรื่องนี้ไม่ไหวแล้วเพคะ รีบเชิญ
แม่นางเฉิงให้เข้ามาเถิด นางสามารถชุบชีวิตคนตายได้มิใช่หรือ
เพคะ”
“ฮองเฮา อย่าพูดจาเลอะเทอะ!” เสียงตะโกนของไทเฮาที่อยู่
ด้านข้างดังขึ้น พลางถลึงตาใส่
ฮ่องเต้รู้สึกสะเทือนใจ เมื่อได้เห็นท่าทางของฮองเฮา
เขากลัว…
กลัวเหลือเกิน…
สภาพการณ์ตอนนี้ องค์รัชทายาทของเขาไม่ต่างอะไรกันกับ
เม็ดทรายในกำมือ ยิ่งคว้ายิ่งปลิวร่วงหายไป
“เรียกแม่นางเฉิงมา…” ฮ่องเต้ออกคำสั่ง
ยังไม่ทันเอ่ยจบ เสียงร้องของพระสนมอันจู่ๆ ก็เงียบไป
ทั้ง
ฮ่องเต้ ฮองเฮา และไทเฮาต่างตกใจจนลืมหายใจ พลาง
มองไปด้านในตำหนักก็เห็นหมอหลวงหลี่เดินออกมา
“หมอหลวงหลี่ มีโอกาสรอดหรือไม่” ฮ่องเต้เอ่ยถามอย่าง
ตรงไปตรงมา
หากไม่รอดล่ะก็ คงต้องรีบเชิญตัวแม่นางเฉิงมาที่นี่
หมอหลวงหลี่เข้าใจสิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการสื่อออกมา อยาก
จะทำทีเป็นหัวเราะชอบใจตอบกลับ แต่เวลานี้คงไม่เหมาะสมนัก เขา
เองก็หัวเราะไม่ออกเช่นกัน
“ทูลฝ่าบาท คงไม่มีโอกาสรอดแล้ว อีกทั้ง ไม่จำ เป็นต้องเชิญ
แม่นางเฉิงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเอ่ย
พยาบาลหลวงที่ยืนอยู่เบื้องหลังหมอหลวงก้มหน้าพลางคุกเข่า
“ฝ่าบาท พระสนมอันรอดแล้วก็จริง แต่ว่า…แท้งครรภ์เจ้าค่ะ”
พยาบาลหลวงเอ่ย
ความมืดในยามค่ำคืนได้ปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนัก ถึงแม้จะจุด
ตะเกียงไว้รอบด้าน แต่เนื่องจากในวังแห่งนี้มีตำหนักจำ นวนมาก ดู
แล้วน่าวังเวงยิ่ง ลมฤดูร้อนพัดโชยเสียงดัง ราวกับเสียงร้องไห้ระงมของคน และยิ่งช่วงเวลาแบบนี้ เสียงลมที่พัดพาเข้ามาในตำหนักยิ่ง
เพิ่มความน่าขนหัวลุกเข้าไปอีก
พระสนมอันที่เคยถูกดูแลเอาใจใส่อย่างดี จากเหตุการณ์ที่นาง
ล้ม ส่งผลให้พระสนมอันได้สูญเสียหนึ่งชีวิตที่อยู่ในครรภ์ หนึ่งชีวิตที่
ฮ่องเต้ตั้งหน้าตั้งตารอมานานแสนนาน
พระสนมอันที่เพิ่งตื่นก็ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย หนำซ้ำ ยัง
ไม่ยอมกินยา ไม่ยอมกินข้าว เอาแต่คิดจะปลิดชีวิตตนเองลูกเดียว
จนต้องให้คนหลายคนมาเฝ้าอาการ
บัดนี้ฮ่องเต้มิได้เข้าไปดูแลนางอย่างเช่นเคยแล้ว ตั้งแต่ที่เขา
ได้ทราบเรื่องจากหมอหลวงหลี่และพยาบาลนั้น ก็ไม่เข้าใกล้
พระสนมอันอีกเลย
ตำหนักฉินเจิ้งในยามวิกาลช่างดูวังเวงยิ่งนัก ประตูหน้าต่างทุก
บานถูกปิดลงในช่วงฤดูร้อน เหล่าขันทีที่ยืนอยู่ด้านนอกตรงทางเดิน
ทำหน้าตื่นตูม แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครกล้าเปิดประตูเข้าไป จนกระทั่ง
มีคนกลุ่มหนึ่งถือตะเกียงแล้วเดินเข้ามา
“ฮองเฮาเสด็จ”เหล่าขันทีเมื่อได้เห็นแล้วว่าใครเดินเข้ามา ก็รีบขานรับเสียง
เบา แล้วทำท่าต้อนรับ
ไม่รอช้า ฮองเฮาดันประตูจนถูกเปิดออก
ในตำหนักมีเพียงแค่ตะเกียงสองดวงที่ให้ความสว่าง ด้านในดู
สลัวๆ ฮ่องเต้หย่อนตัวนั่งลงบนแท่นพระที่นั่ง ได้ยินเสียงมีคนเปิด
ประตูเดินเข้ามา เขาไม่เงยหน้าขึ้นไปมองแต่อย่างใด กลับเอามือ
ป้องหน้าผากหลับตาราวกับว่ากำลังหลับอยู่
“ฮ่องเต้ กลับไปพักผ่อนเถิดเพคะ” ฮองเฮาเอ่ย
ฮ่องเต้เอ่ยตอบรับ
“เราขออ่านอีกหน่อย วันนี้อ่านเยอะ พรุ่งนี้จะได้อ่านน้อยกว่า
เดิมไง” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
เสียงของฮองเต้ดูหนักแน่น ทั้งยังดูชัดเจนอีกด้วย
ฮองเฮาเดินมาข้างลำตัวเขา จากนั้นคุกเข่าลง แล้วยื่นมือไปที่
มือของฮ่องเต้
“ฝ่าบาท งานราษฎร์งานหลวงพวกนี้ใช่ว่าวันนี้ทำเยอะ พรุ่งนี้
จะได้ทำน้อยลงเสียหน่อย” นางเอ่ย “หากวันนี้ท่านจัดการได้ในปริมาณที่เยอะ ต่อไปปริมาณจดหมายจะไม่มาเยอะกว่านี้งั้นหรือ”
ฮ่องเต้หัวเราะพลางเบิกตาโพลง
“ฮองเฮาหมายความว่า ให้เราดูงานน้อยลง แล้วงานพวกนี้ก็
จะน้อยลงตามไปเอง” เขาเอ่ย
ฮองเฮายิ้ม คว้ามือฮ่องเต้มากำแน่น
“หม่อมฉันหมายถึง ไม่อยากให้ฮ่องเต้รีบร้อนเกิน
ค่อยเป็นค่อยไปเพคะ”
ฮ่องเต้ตบเบาๆ ไปที่มือของนาง
“ไม่รีบไม่ได้แล้ว เวลาไม่รอใคร”
ฮองเฮาส่ายหัว
“ฝ่าบาท วันข้างหน้ายังมีโอกาสอีกมากนัก” ฮองเฮาเอ่ย “ดู
สิเนี่ย หม่อมฉันไม่สบายขนาดนี้ ยังดีขึ้นเลย เราสองคนจะต้องเดิน
ไปข้างหน้าด้วยกัน พวกเรายังอยู่ด้วยกันได้อีกนาน ฝ่าบาทมิต้อง
รีบร้อนอันใดทั้งนั้น อย่ากลัวไป หม่อมฉันอยู่นี่ทั้งคน หม่อมฉันจะอยู่
เคียงข้างฝ่าบาทเองเพคะ”
อย่างเขานะหรือจะอยู่ได้อีกนานเขาเองก็เคยคิดเช่นนั้น แต่ดูสิ นับวันทั้งโรคเล็กโรคใหญ่
เอาแต่คอยรุมล้อมทำร้ายร่างกายเขา กระนั้นแล้ว สวรรค์ก็ยังเห็นใจ
ประทานบุตรมาให้เขา
แต่สุดท้าย ก็ไม่ใช่
สุดท้าย ก็ว่างเปล่า…
ว่างเปล่า…
พออายุมากขึ้น การมีทายาทเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาเฝ้ารอคอย
แต่ไม่ว่าจะคาดหวังไว้เท่าไหร่ สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว
พอมาคิดดูแล้ว ทั้งชีวิตของเขารับรู้แค่เพียงแต่ความรู้สึก
คาดหวังและความรู้สึกผิดหวังสองอย่างนี้เท่านั้น ตั้งแต่ต้นจนจบ
ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ในเมื่อสุดท้ายก็พบแต่ความผิดหวัง เหตุใดถึงยังทำใจให้ชิน
ไม่ลงนะ เหตุใดยังคงกล้าที่จะคาดหวังสิ่งใดอีก
“ฝ่าบาท พวกเรากลับไปพักผ่อนกันก่อนเถิดเพคะ”ฮองเฮาลุก
ยืน ยังคงคว้ามือของฮ่องเต้เอาไว้แน่น “ฝ่าบาทต้องพักผ่อนนะฝ่าบาทไม่ได้มีตัวคนเดียว ยังมีคนอีกมากมายหวังพึ่งฝ่าบาทนะ
เพคะ ไหนจะหม่อมฉัน ไหนจะลิ่วเกอร์ ไทเฮา…”
ลิ่วเกอร์…
ฮ่องเต้นึกภาพ
‘เสด็จพ่อ ข้ารู้แล้วว่าตรงคือแม่น้ำใหญ่..’
‘เสด็จพ่อ ถ้าโตแล้ว ข้าจะเดินทางตามแผนที่ เดินทางเผื่อ
เสด็จพ่อด้วย…’
ลิ่วเกอร์…ลิ่วเกอร์ของเขา…
นั่นสินะ เขาจะใจร้อนไม่ได้ แล้วจะไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น หาก
เขาไม่อยู่แล้ว ลิ่วเกอร์จะอยู่อย่างไร คนอื่นยังพอดูแลตัวเองได้ แต่
กับลิ่วเกอร์นั้น…
ลิ่วเกอร์ต้องมีคนคอยอยู่เคียงข้าง…
นัยน์ตาเขาเริ่มแห้ง จากนั้นลุกขึ้นยืน
“เอาละ ต้องพักผ่อนก่อน งานของพรุ่งนี้ให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้”
เขาหัวเราะ “ฮองเฮาพูดถูก”
นางยิ้มบางให้เขา“พูดถูกไม่พอ ต้องมีคนรับฟังด้วยเพคะ” นางเอ่ย
ฮ่องเต้หัวเราะ พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วก้าวเท้าเดิน
ออกไป
ฮองเฮาเดิมตามด้านหลัง เหล่าขันทีต่างพากันทำท่าโล่งใจ ถือ
โคมไฟนำทาง
ฮ่องเต้ที่เพิ่งจะก้าวเท้าออกจากประตูมาก็พลันหยุดชะงัก
“วันนี้ใครเป็นเวรเฝ้ายาม” เขาถาม
ขันทีนายหนึ่งรีบก้าวเท้าเสนอตัวออกมา
“ทูลฝ่าบาท เป็นของข้าน้อยเหอเจิ้งพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีตอบ
“เหอเจิ้งงั้นรึ” ฮ่องเต้หัวเราะ “ชื่อเจ้าไม่เลวเลยนะ”
เหอเจิ้งรีบโค้งคำนับขอบคุณ
“เอาละ เหอเจิ้ง วันนี้หน้าที่ของเจ้าคือสืบเรื่องพระสนมอัน
มาให้ได้” ฮ่องเต้มีรับสั่ง
สิ้นคำสั่งฮ่องเต้ ทุกคนเงียบกริบ แม้แต่เสียงลมที่พัดโชย
ยามค่ำคืนเองจู่ๆ ก็หายไป“ฝ่าบาท” ฮองเฮาเอ่ยเสียงแผ่วเบาพลางดึงแขนฮ่องเต้ “นี่มัน
เป็นอุบัติเหตุเท่านั้นเอง”
ฮ่องเต้คว้ามือฮองเฮา
“อะไร อะไร ก็อุบัติเหตุ มันไม่ควรเกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว”
ขณะเดียวกัน ณ เรือนตระกูลเฉิง วันนี้แสงไฟสว่างไสวกว่าวัน
อื่นๆ ที่ผ่านมา เป็นเพราะทุกคนกำลังเตรียมพร้อมสำ หรับงานแต่ง
ของเฉิงเจียวเหนียง ฟ่านเจียงหลินกับแม่นางหวงเองก็ย้ายสำ
มะโนครัวมานอนที่นี่ พอในเรือนมีคนเยอะ ทั้งเรือนเลยดูคึกคักขึ้น
มาทันตา
“ปั้นฉิน เจ้าอย่าได้อดหลับอดนอนอีกเลย ดูสิ ตาแดงหมดแล้ว
…”
“ไม่ได้ ไม่ได้ ข้าต้องตัดชุดงานแต่งของนายหญิงให้เสร็จทัน
ใช้…”
“เจ้านี่ก็ ไม่เห็นจะต้องให้มานั่งเย็บเองเลยนี่นา”
“ข้าต้องเป็นคนทำเอง ไม่เช่นนั้น ข้าไม่วางใจ”สาวใช้สองคนพูดคุยหัวเราะคิกคักสนุกสนาน ราวกับว่าแม้แต่
โคมไฟที่ประดับประดารอบกาย ยังส่งเสียงหัวเราะให้กับพวกนาง
นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่ได้มีเวลาครื้นเครงกันขนาดนี้
เหล่าสาวใช้รู้สึกใจหาย ตั้งแต่ที่พวกนางมาอยู่ที่เรือนแห่งนี้ ก็
ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งมากมาย พวกนางไม่ได้มีชีวิตแบบที่หญิง
สาวทั่วไปพึงมี
ช่วงเวลาความสุขเช่นนี้ ถึงแม้จะมาช้าไปนัก แต่ก็ดีกว่าไม่
มาเลย
ปั้น
ฉินเงยหน้ามองเฉิงเจียวเหนียงที่กำลังเดินตัวตรงนำอยู่
เบื้องหน้า จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าเพื่อให้เข้าใกล้นาง
“นายหญิง ส่งจดหมายไปหาพวกนายใหญ่เฉิงดีไหม” ปั้นฉิน
เอ่ยถาม
พอเอ่ยจบ เฉิงเจียวเหนียงพลันหยุดก้าว เงยหน้าขึ้นแล้วแหงน
ดูท้องฟ้า
“ไม่ต้องหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พลางชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ดูสิ ทั้งสถานที่และช่วงเวลาช่างเหมาะสมนัก”ท้องฟ้าเริ่มสว่าง เฉินเซ่าที่เดินออกมาสังเกตเห็นว่าอาหารเช้า
ถูกเตรียมไว้อย่างดีแล้ว
“ท่านจะไปหาแม่นางเฉิงหรือไม่” ฮูหยินเฉินถาม
“ข้าคงไม่ไปแล้วล่ะ ”เฉินเซ่าเอ่ย จากนั้นก็ค่อยๆ คว้าอาหาร
เข้าปาก “เอาของขวัญแต่งงานให้นางเยอะหน่อยแล้วกัน”
ฮูหยินเฉินหัวเราะ
“มันก็แน่อยู่แล้ว” ฮูหยินเอ่ย จากนั้นก็ปรึกษากับเฉินเซ่าว่า
จะมอบอะไรให้นางดี
ในขณะที่สามีภรรยาทั้งสองกำลังสนทนากัน บ่าวรับใช้ก็วิ่ง
เข้ามากระซิบส่งข่าวให้กับเฉินเซ่า พอเขาทราบเรื่องแล้ว พยักหน้า
แล้วบ่าวก็ถอยออกไป
เขาก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อ
“เรื่องของขวัญ ยังไม่ต้องรีบร้อนนักหรอก” เขาวางตะเกียบลง
แล้วเอ่ย
ฮูหยินเมื่อได้ยินเข้าก็รู้สึกตกใจและงุนงง“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ” นางเอ่ยถาม มือที่กำลังถือตะเกียบอยู่เริ่ม
สั่นเบาๆ
เรื่องราวของแม่นางเฉิงมีเยอะแยะไปหมด ทั้งเรื่องอุบัติเหตุ
เรื่องแปลกประหลาดเกินคาด หรือแม้แต่เรื่องเสี่ยงตาย นางผ่าน
มาหมด ตั้งแต่เขารู้ว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องขอนางแต่งงาน อีกทั้งได้รับ
ความเห็นชอบจากฮ่องเต้และไทเฮา ฮูหยินเฉิงได้แต่สวดภาวนาให้
ทุกอย่างราบรื่น อย่าได้มีปัญหาอีกเลย
แต่กระนั้นแล้ว เวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็มักจะอดคิด
ไม่ได้ว่า จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ งั้นหรือ
สุดท้าย ก็หนีไม่พ้น มีเรื่องเกิดขึ้นจนได้…
นางเองก็ไม่อยากจะคิดไปว่า เป็นไปตามคาด ได้แต่ตีปาก
ตัวเองเบาๆ ว่าอย่าคิดเรื่องไม่มงคล
“ไม่มีอะไรหรอก” เฉินเซ่าเอ่ย จากนั้นเขานิ่งไปชั่วครู่ “ทายาท
ในครรภ์ของพระสนมอันไม่อยู่แล้ว”
ไม่อยู่แล้วงั้นรึ
“เป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร” ฮูหยินเอ่ยถามด้วยความตกตะลึงฮ่องเต้เอาใจใส่ทายาทองค์นี้เป็นพิเศษ ใครๆ ต่างก็บอกว่านาง
ได้รับการดูแลอย่างดี แต่ไฉนถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้
“เมื่อไม่มีทายาทแล้ว” เฉินเซ่าเอ่ยต่อ “ก็ไม่มีเรื่องน่ายินดีแล้ว
”
เป็นที่รู้กันว่า กว่าจะได้ทายาทมาสักคนนั้นมีแต่อุปสรรค คนที่
สามารถเติบโตมาอย่างปลอดภัยได้ ตอนนี้ ก็เหลืออยู่คนเดียว
สำ หรับฮ่องเต้แล้ว นี่เป็นเรื่องใหญ่ก็จริง แต่สำ หรับเหล่าข้า
ราชสำ นักในวัง พวกเขาไม่สนใจว่าฮ่องเต้จะได้หรือเสียทายาทไปกี่
คน พวกเขาสนแค่ฮ่องเต้องค์เดียวก็เพียงพอ
ฮูหยินเฉินพยักหน้า
“แล้วเรื่องนี้ เกี่ยวอะไรกับแม่นางเฉิงอย่างนั้นรึ” นางรีบเอ่ย
ถามอย่างสงสัย
เฉินเซ่าขมวดคิ้ว
“เกี่ยวอะไรกับนางอย่างนั้นรึ” เขาถามย้อน
ฮูหยินตกใจ สีหน้าไร้รอยยิ้ม
นั่นสินะ เกี่ยวอะไรกับนางด้วยล่ะ!“ดูสิ ข้าตื่นเต้นออกนอกหน้าขนาดนี้เชียว” ฮูหยินหัวเราะ “ก็
ว่าจะมีอะไรเสียอีก”
เฉินเซ่าพยักหน้า พลางซดน้ำชา
“แต่ยังไงเสีย นางก็คงได้รับผลกระทบอยู่บ้าง” เขาเอ่ยต่อ
“ฮ่องเต้ช่วงนี้คงอารมณ์ไม่นิ่งไปพักใหญ่ เรื่องงานแต่งนี้คงมีอันต้อง
เลื่อน”
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
จากนั้นทั้งสองก็ได้พูดคุยเรื่องอื่นๆ กันต่อ
ขณะเดียวกัน ณ เรือนของตระกูลเฉิง ที่บัดนี้ทั้งห้องโถงสภาพ
ดูไม่ได้เลยทีเดียว เศษจานชามแก้วน้ำแตกกระจายอยู่ทั่วพื้น
“เหตุใดเพิ่งจะมาบอกข้า!” เกาหลิงปอโกรธจนหน้าเขียว
เหล่าบ่าวใช้และชิงเค่อต่างตัวหดกันเป็นแถบ
“นายท่านขอรับ เรื่องนี้เดิมทีไม่ได้เกี่ยวกับกุ้ยเฟยเลยนะขอรับ
…” บ่าวใช้เอ่ย
ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ บ่าวคนนั้นก็ถูกเกาหลิงปอฟาดจนล้ม
กระแทกพื้น“เดิมทีไม่เกี่ยวกับนางงั้นรึ” เกาหลิงปอโมโหฉุนเฉียวพลาง
ตะคอกใส่ “แล้วที่ถูกขังอยู่นั่นเป็นใครล่ะ!”