พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 554 ไม่ควร
ณ ตำหนักของไทเฮา แม้เวลาจะผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งคืน แต่
บรรยากาศยังคงมีแต่ความอึมครึม
นางสนมสองคนช่วยกันประคองไทเฮา ส่วนสาวใช้อีกคนกำลัง
ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ พอกินไปได้ไม่กี่คำ ไทเฮาก็ป้องมือปัดบอก
ไม่อยากกินต่อแล้ว
“ไทเฮายังไม่ได้เสวยอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวานนะเพคะ จะเป็น
เช่นนี้ต่อไปไม่ได้นะเพคะ” เหล่านางสนมร้องไห้ พยายามพูด
โน้มน้าว
“กินไม่ลง ใครจะไปกินลงกันเล่า” ไทเฮาเองก็เอ่ยไปน้ำตาไหล
ไป
จังหวะที่เหล่านางสนมกำลังพยายามพูดโน้มน้าว ฮองเฮาก็
เดินเข้ามาพอดี
“ฮ่องเต้เท่า” ไทเฮาเอ่ยถาม“ไทเฮาวางใจเถิด เมื่อคืนพระองค์ไม่ได้หลับได้นอนก็จริง แต่
ก็ได้พูดคุยกับหม่อมฉันอยู่บ้าง ดูเหมือนสภาพจิตใจของฮ่องเต้
จะดีขึ้นมาบ้าง” ฮองเฮาอธิบาย จากนั้นรับถ้วยน้ำแกงมาจาก
นางสนม “ถึงเวลาไปเยี่ยมพระสนมอันแล้วเพคะ”
“เจ้ารีบไปเถอะ รีบไป” ไทเฮาสะอื้น “ฮ่องเต้อยู่ๆ ก็รีบเดินหนี
ออกไป พระสนมอันร้องไห้ราวกับจะเป็นจะตาย ด้วยเพราะเขายังคง
มีห่วง ยังคงยึดติดอยู่ ให้เขาออกไปจากตรงนั้นก่อนก็ดี ข้าเองก็รู้ว่า
ฮ่องเต้มิใช่คนใจจืดใจดำ”
“ไทเฮาเพคะ ฝ่าบาทเป็นคนจิตใจดีและมีเมตตามาก ไทเฮา
เองก็รู้ดี ก็เพราะว่าเขาเป็นคนแบบนั้นไงเพคะ พอเจออะไรที่รับไม่ได้
เขาก็หลบซ่อนไม่อยากให้ใครมาเห็นมุมนั้นของเขา”
ไทเฮาร้องไห้ไม่ขาดสายพลางหยักหน้า
“มีแต่เจ้านี่แหละที่รู้ใจเขาที่สุด” ไทเฮาเอ่ย ชายตามองฮองเฮา
มองเผินๆ แล้วก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่เห็นแบบนี้ใคร
ใคร่รู้ว่านางเจ็บป่วยอาการหนักจนต้องปลีกวิเวกรักษาตัวอยู่นาน
หลายปี ร่างกายของนางดูซูบผอมลงไปมาก ใบหน้าที่ดูซีดเผือดอยู่แล้วพอเจอเรื่องหนักๆ แบบนี้เข้าก็ยิ่งดูโทรมและหม่นหมองลงไป
กว่าเดิมนัก
“จิ่งหรง” ไทเฮาสะอื้น กวักมือเรียกฮองเฮา “ดีที่เจ้ายัง
ไม่เป็นอะไร เจอเรื่องหนักหนามาขนาดนี้ แล้วร่างกายเจ้าจะไหวหรือ
”
ฮองเฮายิ้มอ่อน แล้วยื่นช้อนน้ำซุปเข้าไปใกล้ปากไทเฮา
“ไทเฮาก็ต้องกินอะไรสักหน่อยสิเพคะ จะได้มีแรง” ฮองเฮาเอ่ย
พอมีฮองเฮามาพูดคุยอยู่ข้างๆ อาการของไทเฮาก็เริ่มดีขึ้น พอ
พ้นช่วงเที่ยงวันไป ก็เริ่มต่อปากต่อคำกับฮ่องเต้ต่อ
“เจ้าให้คนเอานางไปขังงั้นรึ ทำไปเพื่ออะไร”
ไทเฮาโกรธเลือดขึ้นหน้า
“นี่มันเป็นแค่อุบัติเหตุนะ คนอยู่ในเหตุการณ์ตั้งเยอะ นี่เจ้าคิด
จะทำอะไรกันแน่!”
ฮ่องเต้ไม่พูดไม่จา เบือนหน้าหนี
“ใครอยู่ในเหตุการณ์บ้าง แล้วเห็นอะไรบ้างเล่า” เขาย้อนถาม
ด้วยความไม่พอใจคำถามเมื่อครู่ ทำเอาทั้งตำหนักสงัดเงียบไปชั่วขณะ สักพัก
ขันทีสองนายเดินเข้ามา
“ทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อมอยู่ในเหตุการณ์ขอรับ ไทเฮามีคำ
สั่งให้พวกกระหม่อมส่งพระสนมอันกลับตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”พวกเขา
เอ่ย
“แล้วพวกเจ้าเห็นอะไรบ้าง” ฮ่องเต้ถาม
พวกเขาออกอาการเกรงกลัว หันหน้าหาไทเฮา
“ก็รีบพูดออกมาเสียสิ! มีอะไรก็พูดออกมาเลย…” ไทเฮา
ขมวดคิ้วตะคอกใส่
ฮ่องเต้หันไปหาไทเฮา
“ไทเฮา จะให้พวกเขาพูดในสิ่งที่ไทเฮาอยากฟัง หรือให้
พวกเขาพูดในสิ่งที่พวกเขาเห็นมากับตา” ฮ่องเต้เอ่ยแทรก
คำพูดของเขาทำเอาไทเฮาขวัญหนีดีฝ่อ เลยอดไม่ได้ที่จะต้อง
บันดาลโทสะ
“ฝ่าบาท คำพูดของพระองค์ดูช่างใจร้ายโหดเหี้ยม…” ไทเฮา
ตะเบ็งเสียงยังไม่ทันจะเอ่ยจบ เสียงไอโขลกของฮองเฮาที่นั่งอยู่ด้านหลัง
ไทเฮาก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“ไทเฮา ฝ่าบาท” ขันทีทั้งสองรีบคุกเข่าจนเอามือแนบลงไปที่
พื้น จากนั้นจึงตะโกนร้องขึ้น “ข้าน้อยเห็นกุ้ยเฟยกับพระสนมอันก็คุย
กันอยู่ดีๆ แต่พอถึงตอนที่กำลังจะต้องลงบันไดนั้น อยู่ดีๆ ทั้งคู่ก็เกิด
ทะเลาะกันขึ้นมา จากนั้นกุ้ยเฟยก็ผลักพระสนมอัน”
สิ้นเสียงอธิบายของขันที ไทเฮาถึงกับสะดุ้งโหยง
“เหลวไหลเหลวไหล!” ไทเฮายืนขึ้นพลางชี้นิ้ว “โอหังนัก”
“ไทเฮาได้โปรด ข้าน้อยมิกล้าโป้ปดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีทั้งสอง
โอดครวญ “ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าน้อยมิอาจโป้ปด”
ไทเฮาหน้าซีดจนเป็นลมล้มลงไป
เสียงกรีดร้องดังไปทั่วตำหนัก
ตำหนักหมอหลวงจากที่วุ่นวายกันตลอดทั้งวันทั้งคืนไม่ได้พัก
ก็ยิ่งทวีคูณความโกลาหลเข้าไปอีก หมอหลวงหลี่ที่เพิ่งเดินกลับจาก
ตำหนักพระสนมอัน เมื่อเห็นหมอหลวงคนอื่นๆ รีบพุ่งตัวออกไป จน
แทบจะหลบทางให้ไม่ทัน“ไทเฮาไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นอะไรแล้ว อารมณ์แปรปรวนฉับพลันจนเป็นลมไปน่ะ”
“พระองค์เพิ่งจะมาเป็นเอาตอนนี้งั้นรึ”
“ที่พระองค์เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะเรื่ององค์รัชทายาท แต่เป็น
เพราะกุ้ยเฟย”
เหล่าหมอหลวงต่างพากันก้มหัวซุบซิบแลกเปลี่ยนข้อมูล
หมอหลวงหลี่ที่ยืนอยู่ตรงทางเดินอยู่นานสองนาน สักพักก็รีบ
ก้าวฝีเท้าไปยังห้องๆ นึง ประตูถูกเปิดออก มีหมอหลวงอีกคนหนึ่ง
ยืนอยู่ด้านใน ทำทีลับๆ ล่อๆ แต่พอเห็นว่าคนที่เดินเข้ามานั้นเป็น
หมอหลวงหลี่ เขาก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วทำตัวปกติ
“หมอหลวงหลี่ เส้นชีพจรของพระสนมอันเป็นปกติแล้ว
ใช่หรือไม่” หมอหลวงอีกคนเอ่ยถาม
หมอหลวงหลี่เดินเข้ามาในห้อง
“เส้นชีพจรของพระสนมอันเป็นเช่นไร หมอหลวงอู๋น่าจะรู้ดี
ที่สุด” เขาเอ่ยอย่างนาบเนิบราวกับซ่อนนัยบางอย่างไว้ในถ้อยคำ
หมอหลวงอู๋หัวเราะ“เช่นนั้นงั้นก็ไม่เป็นไร ข้าจะได้วางใจไปเปราะ” หมอหลวงอู๋
เอ่ย
หมอหลวงหลี่ชายตามองเขา
“หมอหลวงอู๋”
คนถูกเรียกหันหน้ามาแล้วยิ้มให้
“มีรับสั่งอันใดรึหมอหลวงหลี่”
หมอหลวงหลี่ยังคงไม่ละสายตาจากเขา
“จะไม่เก็บงานให้ดีหน่อยรึ”เขาเอ่ย
หมอหลวงอู๋หน้าซีดตกใจ มองตามสายตาของคนตรงหน้า เขา
จึงได้เห็นว่ากล่องยาที่อยู่ด้านข้างมีรอยเลือดซึมออกมา
เขาหัวเราะกลบเกลื่อน พลางหยิบผ้ามาเช็ดๆ แล้วยัดเข้าไปใน
กล่อง
“ขอบคุณหมอหลวงหลี่ยิ่งนักสำ หรับคำเตือน” หมอหลวงอู๋เอ่ย
พลางมองคนตรงหน้า “หมอหลวงหลี่ช่างเป็นกันเองอย่างที่
ใครต่อใครเขาว่าไว้กันจริงๆ ”
หมอหลวงหลี่รู้สึกสับสนสายตาจับจ้องไปที่กล่องยาอันเดิม เหตุใดกล่องยาของหมอ
หลวงอู๋อันนี้ถึงมีรูปทรงแปลกไป แลดูบวมและแน่นขึ้นอย่าง
เห็นได้ชัด…
“ไม่ยักรู้ว่าที่เมืองเหวยของตระกูลอู๋นั้นนิยมคลอดก่อนกำหนด
ด้วย” หมอหลวงหลี่เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
หมอหลวงอู๋เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ ยังคงสีหน้ายิ้มหัวเราะ
กลบเกลื่อนดังเดิม
“แค่งานฝีมือเล็กๆ น้อยๆ น่ะ ไม่ได้ดีเด่นอะไรมาก” หมอหลวง
อู๋หัวเราะ พลางเช็ดมือแล้วคว้ากล่องยานั้นมา “หมอหลวงหลี่นั่งพัก
ก่อนเถิด เดี๋ยวข้าขอตัวก่อน”
จากนั้นเขาลดเสียงให้ต่ำลง
“ยังต้องไปเก็บกวาดต่ออีก…”
หมอหลวงอู๋เอ่ยพลางทำทีเป็นตบๆ กล่องยา
“อู๋ซวิ่น!” หมอหลวงหลี่อุทานตกใจ คว้าตัวหมอหลวงอู๋ที่
กำลังจะเดินออกไป “คิดเหรอว่าจะไม่มีใครแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป
น่ะ”แพร่งพรายออกไปงั้นรึ
แพร่งพรายออกไปว่าที่จริงแล้วพระสนมอันไม่ได้มีทายาทตัว
น้อยในครรภ์ตั้งแต่แรก เดิมแล้วนางครรภ์เป็นพิษ
ทารกตัวน้อยที่ออกมานั้น เป็นเพียงแค่ละครตบตาที่หมอ
หลวงอู๋และเหล่าพยาบาลไปหามาจากข้างนอก
สิ่งที่อยู่ในครรภ์ของนางแท้จริงแล้วก็แค่ก้อนเลือดเนื้อธรรมดา
ธรรมดาก้อนนึง ที่ตอนนี้ถูกซ่อนเอาไว้ในกล่องยาของหมอหลวงอู๋
ก็บอกออกไปให้ทุกคนรู้เลยเสียสิ!
หมอหลวงอู๋มีท่าทีสงบนิ่ง แล้วยิ้มอ่อนให้
“หมอหลวงหลี่คงไม่ทำเช่นนั้นหรอกใช่หรือไม่ ท่านไม่ใช่คน
แบบนั้นนี่นา” หมอหลวงอู๋เอ่ย
หากเรื่องนี้ถูกเปิดโปง อีกกี่ชีวิตที่จะต้องเศร้าโศกเสียใจ
แล้วเขาจะต่างอะไรกับคนพวกนั้นล่ะ
หมอหลวงหลี่คลายมือออก
หมอหลวงอู๋หัวเราะพลางโค้งคำนับให้เขา เอ่ยประโยคทิ้งท้าย
ก่อนจะเดินออกไป“หมอหลวงหลี่ ท่านรู้หรือไม่ บางครั้งการที่เราไม่มีเจตนา
จะทำร้ายใครนั้น อาจเท่ากับเรากำลังทำร้ายใครคนหนึ่งอยู่” หมอ
หลวงอู๋เอ่ยเสียงเบา ตามองไปยังคนตรงหน้า “หมอหลวงหลี่ ลอง
นึกถึงท่านจวิ้นอ๋องที่กำลังเสวยยาอยู่สิ นึกถึง…องค์ชายรองสิ…”
หมอหลวงหลี่มองเขา กำหมัดต่อยลมด้วยความหดหู่
เป็นเช่นนั้นรึ
นี่เขากำลังช่วยคนเลวอยู่สินะ
… “…
ฝ่าบาท หม่อมฉันคงต้องบอกว่า ฝ่าบาทเองก็มีส่วนผิดนะ
เพคะ…”
“…ฝ่าบาท เรื่องที่ลูกของพระสนมอันไม่อยู่แล้ว ไทเฮาเองก็
เสียใจไม่แพ้ฝ่าบาท…”
“…ฝ่าบาท เอ่ยประโยคเช่นนั้นกับไทเฮาได้อย่างไรกัน!”
เสียงพูดที่ดังลอดผ่านผ้าม่านดังขึ้นสลับไปมา ไทเฮาที่เริ่ม
ได้สติแล้วก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้น พอได้ยินเสียงสะอื้นและเสียงไอในลำคอ
ดังขึ้น ทำเอาไทเฮาถอนหายใจเฮือกใหญ่“บอกฮองเฮาทีว่าไม่ต้องร้องแล้ว ให้พวกเขาเข้ามาได้” ไทเฮา
เอ่ย
ผ้าม่านถูกเปิดออก ฮองเฮารีบเดินเข้ามา คุกเข่าพลางเช็ด
น้ำตาตัวเอง ส่วนฮ่องเต้เดินถอยออกไปหนึ่งก้าว พอได้เห็นไทเฮาที่
นอนซมอยู่บนเตียง ก็รีบคุกเข่าลง
“กระหม่อมผิดไปแล้ว” ฮ่องเต้เอ่ยสำ นึกผิด
“ไม่มีใครผิดทั้งนั้น” ไทเฮาเอ่ย พยายามหยัดตัวขึ้น
ฮองเฮาเมื่อได้เห็นก็รีบเข้าไปพยุงตัว
“ฝ่าบาท ข้าเข้าใจความทุกข์ของฝ่าบาทเป็นอย่างดี…”
ฮ่องเต้โค้งคำนับพลางเอ่ยเรียกเสด็จแม่ น้ำเสียงของเขา
สั่นเครือ
“ฝ่าบาท นี่เป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ อุบัติเหตุเท่านั้น” ไทเฮา
น้ำตาไหลพราก “แม่นางเหอไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นหรอก นางไม่ได้
เป็นคนไร้สติแบบนั้น! มิหนำซ้ำ … มันช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยที่
ต้องทำกับนางแบบนั้น!”“ไทเฮา ข้าเองก็คิดเช่นท่าน เลยต้องสืบเรื่องนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
ต้องให้ทุกคนรับรู้เหมือนกันว่านี่เป็นอุบัติเหตุ” ฮ่องเต้เงยหน้าตอบ
ไทเฮา
เสียงของเขาดูอิดโรย แต่สายตาของเขาไม่เป็นเช่นนั้น
ไทเฮาเอามือป้องหน้าแล้วร้องฟูมฟายออกมา
“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน… เหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้กันได้
นะ…”
ไทเฮาเอ่ย จู่ๆ พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดูเหมือนว่าเรื่อง
ทั้ง
หมดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องออกนอกวังไป
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าให้เขาออกนอกวัง ถ้าเขาอยู่นะ คงไม่
มีเรื่องเกิดขึ้นหรอก เป็นความผิดพวกเจ้าที่ให้เขาออกจากวัง…”
คำพูดของไทเฮาทำเอาฮ่องเต้ถึงกับต้องหรี่ตา
“ไทเฮา ก็พวกเราไม่ใช่รึที่อยากให้เขาออกจากวังน่ะ” ฮ่องเต้
นั่งตัวตรงพลางเอ่ย
ก็พวกเราไม่ใช่รึเอาล่ะ เอาล่ะ ใจจริงไทเฮาเองก็ไม่ได้ประสงค์เช่นนั้น แต่เป็น
เพราะเหว่ยหลังเอาแต่เซ้าซี้ ไหนจะกุ้ยเฟยอีก…
ไทเฮานิ่งไปสักพัก
ไม่ ไม่ใช่แล้ว จะคิดแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด! ไม่ได้เด็ดขาด! เป็น
แค่เรื่องบังเอิญ เป็นแค่อุบัติเหตุก็เท่านั้น
สวรรค์เจ้าเอย หยุดความคิดข้าเสียที!
“ฝ่าบาท เรื่องที่เกิดเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น! อย่าเพิ่งด่วนสรุป
ฟันธงสิ!”
… “
เรื่องนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ!”
กุ้ยเฟยคว้าขวดดินเผาที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าแล้วโยนออกไป นี่คง
เป็นสิ่งสุดท้ายที่นางสามารถเอามาขว้างปาได้ เพราะของอย่างอื่น
ก่อนหน้าถูกนางปาแตกกระจายจนเศษซากเต็มพื้นไปหมด
“นี่มันจงใจใส่ร้ายป้ายสีกันชัดๆ!”
ไม่เหลือของให้นางเขวี้ยงปาระบายอารมณ์ กุ้ยเฟยจึงทำได้
เพียงแต่เดินวนไปวนมา นางเองก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเหมือนกับคนอื่นๆ ในวังตั้งแต่เกิดเหตุ เครื่องสำ อางบนใบหน้าเริ่มจางลงไป
บวกกับอารมณ์ฉุนเฉียวของนาง ทำให้สีหน้าของนางตอนนี้แทบจะดู
ไม่ได้เลย
“พระสนมอันหนอพระสนมอัน”
กุ้ยเฟยชี้นิ้วไปทางด้านนอก ตะโกนเสียงแหลม
“พระสนมอัน ช่างกล้านัก!”
กุ้ยเฟยยังคงแค้นไม่หาย
นางกล้ามาก! บ้าไปแล้วหรือไง! ! เป็นไปได้อย่างไรกัน! นั่น
ทายาททั้งคนนะ!
กุ้ยเฟยตะโกนอีกครั้ง
“กุ้ยเฟย ออกมาไม่ได้นะขอรับ” ขันทีเฝ้าประตูเอ่ยขึ้น พลาง
ลงกลอนประตูให้แน่นหนากว่าเดิม
เหล่าขันทีและนางสนมที่อยู่ด้านในทั้งร้องไห้ทั้งอ้อนวอน
“ขังข้าไว้งั้นรึ! จะสอบปากคำข้างั้นรึ!”
เสียงแหลมประชดประชันดังขึ้น ความรู้สึกของนางตอนนี้
ไม่ใช่ความเจ็บปวด ไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความโกรธล้วนๆ โกรธจนแทบจะเป็นบ้า
“เรื่องบ้าๆ อย่างนั้นใครจะเชื่อได้ลง! ข้าเนี่ยนะจะทำเรื่องแบบ
นั้น
! ช่างน่าขันยิ่งนัก! ใครมันจะเชื่อ! ฝ่าบาทนะหรือจะเชื่อว่าข้าทำ!”
ช่างน่าขันยิ่งนัก!
คิดหรือว่าคนอย่างนางจะทำร้ายลูกของพระสนมอัน! เหตุใด
ถึงถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นผู้ปลิดชีวิตองค์รัชทายาท!
มันน่าโมโหเสียจริง!
เอาละ นางยอมรับ นางเองเคยคิดจะทำเช่นนั้น เคยสาปแช่ง
ให้ลูกในท้องของนางมีอันเป็นไป แต่นางยังไม่ทันได้ลงมือเลยนะ!
แล้วดันมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจนได้ เพราะนังสารเลวพระสนมอันนั่น
แท้ๆ
นางสารเลวนั่น!
“ข้าขอพบไทเฮา!” กุ้ยเฟยตะโกน “คนของไทเฮาอยู่ใน
เหตุการณ์ เป็นฝีมือนังสารเลวนั่นล้วนๆ มันล้มลงไปเอง!”
“กุ้ยเฟย เห็นที่จะขอเข้าเฝ้าไม่ได้” พวกขันทีกับนางสนมเอ่ย
เสียงสั่นกุ้ยเฟยสบถ
“พวกไม่ได้เรื่อง ก็ข้าออกไปไม่ได้ แล้วนี่ไม่มีใครออกไปได้เลย
รึ” นางตะโกนถาม
“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ” ขันทีนายหนึ่งเอ่ยอย่างหวาดกลัว
“มีคนออกไปได้ขอรับ คนอื่นที่อยู่ด้านนอกเองก็ออกไปได้เช่นกัน
ขอรับ เพียงแต่ ประตูตำหนักของไทเฮาถูกปิดไว้ เข้าไม่ได้เลยขอรับ”
กุ้ยเฟยตกใจ ใบหน้าไร้รอยริ้ม
“เป็นเพราะเหตุใดล่ะ หรือไทเฮาเองก็ประทุษร้ายนังพระสนม
อันเหมือนกับข้างั้นรึ” นางประชด
“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ ไทเฮาเศร้าโศกมากเสียจนร่างกายเริ่ม
ไม่สู้ดีนัก ฮองเฮาเลยเข้าไปดูแลด้วยตัวพระองค์เอง เลยมีคำสั่งมิให้
เข้าไปรบกวนการพักผ่อนของไทเฮา ส่วนเรื่องดูแลวังหลังนั้น
ฮองเฮาจะเป็นผู้รับผิดชอบและตัดสินใจเองขอรับ” ขันทีอธิบายด้วย
น้ำเสียงสั่นเครือ
ฮองเฮางั้นรึ!
กุ้ยเฟยมองขันที นางแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองฮองเฮาอย่างนั้น!
ไม่น่าเชื่อ อยู่มายี่สิบกว่าปี เพิ่งจะเคยได้ยินว่าฮองเฮามาเป็น
ผู้ดูแลจัดการเรื่องวังหลังเองทั้งหมด!
ช่างน่าขันยิ่ง น่าขันยิ่งนัก
ฮองเฮาจะเข้ามาจัดการวังหลังงั้นรึ
ฮองเฮาที่เจ็บออดแอดใกล้ตายน่ะรึ!
นี่มันไม่ถูกต้อง…
กุ้ยเฟยส่ายหัว พลันก้าวถอยหลังไม่รู้ตัว
นี่มันไม่ถูกต้อง มันไม่ถูกต้อง
สีหน้าของขันทีเองก็เริ่มเปลี่ยนไป
ฮองเฮางั้นรึ!
เขาลองนึกย้อนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น ร่างกายของ
ฮองเฮาที่จู่ๆ ก็เริ่มดีขึ้น แต่แล้วยังไงต่อเล่า ในเมื่อนางร่างกายฟื้นตัว
แล้ว เริ่มสามารถดูแลองค์รัชทายาทได้แล้ว เลยจะเล่นงานผิงอ๋อง
อย่างนั้นรึ
ก็ไม่น่าใช่ เป็นไปไม่ได้เขายังเด็กอยู่ ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ฮ่องเต้เองก็คงไม่ได้
จะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขาแต่อย่างใด ต่อให้ฮองเฮาเป็น
คนเลี้ยงมาเองกับมือก็ตาม
เลยมองว่าการที่ฮองเฮาอาการดีขึ้นนั้นก็คงไม่ได้มีผลกระทบ
อะไรมากขนาดนั้น กลับมองว่าเดี๋ยวสักพักก็คงอาการแย่ลงอีก
ตามเคย
ผิดคาด ฮองเฮาที่อาการดีขึ้นแล้วนั้น มิได้จะมาเล่นงานผิง
อ๋องแต่อย่างใด
แท้จริงแล้ว หรือว่า เป้าหมายของฮองเฮาก็คือกุ้ยเฟย!
คนที่ฮองเฮาหมายหัวไว้
ก็คือกุ้ยเฟยนี่แหละ!