พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 555 น้ำใสใจจริง (1)
เมื่อเทียบกับเสียงดังโหวกเหวกของตำหนักกุ้ยเฟยแล้ว ภายใน
ตำหนักของไทเฮากลับเงียบสงบ
พอได้ยินเสียงกรนเบาๆ จากไทเฮาที่หลับอยู่ ฮ่องเต้ที่นั่งคุกเข่า
อยู่ด้านข้างจึงได้ถอนหายใจออกมาในที่สุด
“เช่นนี้…” พระองค์เอ่ยขึ้น พอเงยหน้าขึ้นกลับเห็นฮองเฮาที่อยู่
ด้านข้าง พิงพนักพิงสามขาหลับไปเช่นกัน มือเท้าจอนผมที่ยุ่ง
เล็กน้อยเอาไว้ มองดูแล้วยิ่งซีดเซียวมากขึ้นกว่าเดิม
ฮ่องเต้หยุดพูด ในแววตาของแฝงไปด้วยความสงสาร
ฮองเฮาที่ล้มป่วยอยู่นานหลายปี คนภายในวังแทบจะลืมเลือน
นางผู้นี้ไปแล้ว แม้กระทั่งพระองค์เองก็ใกล้จะลืมแล้วเช่นกัน ในยาม
สงบสุขเปรมปรีไม่มีใครนึกถึงฮองเฮาเลยสักครั้ง ทว่าในยามวุ่นวาย
เช่นตอนนี้ นางกลับปลอบโยนบำรุงขวัญทุกผู้ทุกคน
คนบางคนก็เป็นเช่นนี้ ในยามเปี่ยมสุขยินดีจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้
ทว่าพอตกยากแล้วคนที่สามารถเคียงข้างช่วยเหลือไม่ทอดทิ้งกันนั้นมีเพียงแค่นาง
ฮ่องเต้ยื่นมือออกไปสะกิด
“จิ่งหรง อย่ามานอนตรงนี้” พระองค์เอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา
ฮองเฮาตกใจตื่นขึ้นโดยพลัน
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเสียกิริยาแล้วเพคะ” นางรีบเอ่ยบอก พอ
เห็นไทเฮาที่กำลังหลับอยู่ก็รีบลดเสียงเบาลง
ฮ่องเต้โบกมือให้นาง
“เสียกิริยาอะไรกัน เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถิด
อดหลับอดนอนมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว” พระองค์กระซิบบอก
ฮองเฮาแย้มยิ้มบางพลางพยักหน้า
“เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่ฝืนแล้ว ร่างกายหม่อมฉันฝืน
ไม่ไหวจริงๆ เพคะ” นางเอ่ยบอก
ไม่เหมือนชายาสนมนางอื่น ที่แม้จะน้ำตาเอ่อนอง แต่ก็ยัง
แสดงท่าทีว่าฝืนทนต่อไป ช่างประไรกับแค่ร่างกายตัวเอง หากต้อง
ตายเพื่อฮ่องเต้หรือว่าไทเฮาแล้วก็ไม่หวั่น ทว่าพอฮองเฮากลับบอกไปตามตรงว่าตัวเองทนฝืนไม่ไหว กลับทำให้ฮ่องเต้สัมผัส
ถึงความห่วงใย ความจริงใจของนาง
นี่จึงจะเรียกว่าความจริงใจน้ำใสใจจริง
“หากหม่อมฉันนอนหลับไปอีกครั้ง ฝ่าบาทจะทำอย่างไร”
ฮองเฮาเอ่ยพลางลุกขึ้นช่วยปลดม่านลงให้ไทเฮา
เห็นเงาร่างนางดูแลจัดการต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา ฮ่องเต้ก็
ยิ่งพยักหน้าหนักแน่นกว่าเดิม
“แต่หม่อมฉันไม่กลับไปแล้วเพคะ พักในตำหนักไทเฮาดีกว่า
เช่นนี้แล้วจะได้ดูแลสะดวก” ฮองเฮาเอ่ยพลางลุกขึ้นส่งฮ่องเต้ออก
ไป แล้วเอ่ยกำชับอีกว่า “ฝ่าบาท ท่านไปพักผ่อนที่ตำหนักพระสนม
อันสักครู่จะดีกว่านะเพคะ”
ภายในตำหนักพระสนมอันนะหรือ
ฝีเท้าฮ่องเต้พลันหยุดชะงัก
“ฝ่าบาท หม่อมฉันทราบดีว่ายามนี้พระสนมอันเอาแต่ร้องไห้
ฝ่าบาทได้ยินมากเข้าก็ไม่สบายใจใช่ไหมเพคะ” ฮองเฮาเอ่ยด้วย
เสียงนุ่มนวล “แต่ว่าฮ่องเต้ไม่เสด็จไป ก็จะไม่ดีเช่นกัน เอาเช่นนี้ดีหรือไม่เพคะ ฝ่าบาทเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ หลังจากเสด็จไปแล้วก็
พักผ่อนทันทีเลย เช่นนี้แล้วแม้จะไม่ต้องพูดคุยอะไรกัน แต่ก็เพียง
พอที่จะทำให้พระสนมอันเข้าใจได้ถึงความห่วงใยของฝ่าบาท
ฝ่าบาทพักผ่อนแล้ว พระสนมอันย่อมไม่ร้องห่มร้องไห้ฟ้องฝ่าบาท
อีกหรอกเพคะ”
นางเอ่ยถึงตรงนี้ก็ดึงแขนฮ่องเต้ไปมา
“ในยามนี้ หม่อมฉันไม่อยากและไม่อาจทนให้ฝ่าบาทอยู่
คนเดียวได้หรอกเพคะ”
นั่นสิ ในยามที่คนโศกเศร้าจะยิ่งกลัวความเดียวดาย
ฮ่องเต้ยิ้มมองนางพลางพยักหน้า ยื่นมือออกไปตบมือนางเบา
ๆ
“เราเข้าใจแล้ว” พระองค์เอ่ยบอก
จังหวะจะหันหลังจากไป ฮองเฮาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงดึง
พระองค์ไว้
“ฝ่าบาท แล้วก็ให้สำ นักราชกิจส่วนพระองค์เฝ้าประตูตำหนัก
ไว้ด้วยนะเพคะ” นางบอกเรื่องในราชสำ นักและวังหลวงแทบจะไม่เป็นความลับ ฮ่องเต้
ย่อมทราบในเรื่องนี้ดี
“เรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องน่า
อับอายขายหน้า” ฮองเฮาเอ่ย “อย่าได้ให้ใครมาหัวเราะเยาะพวกเรา
ได้จะดีกว่าเพคะ”
หัวเราะเยาะ…
หัวเราะเยาะพระองค์ที่เป็นฮ่องเต้ชรากลบฝังลงดินไปแล้วครึ่ง
ร่าง หัวเราะพระองค์ที่เป็นต้นไม้แก่ที่ยังคิดจะแตกกิ่งก้าน ยังคิดจะ
มีโอรส…
ดูสิ ยามนี้ดีแล้วกระมัง ดีใจเก้อไปยกใหญ่ ขายขี้หน้าคนเขาไป
ทั่วแล้วกระมัง…
ร่างกายของฮ่องเต้แข็งทื่อ มือตกอยู่ข้างตัวกำแน่น
“ทำให้ฮองเฮาหนักใจแล้ว เรื่องนี้เรารู้ดี เราย่อมมีแผนจัดการ”
พระองค์เอ่ยบอก
ฮองเฮาพยักหน้าปลอบโยน ยืนอยู่หน้าประตูตำหนักมอง
ฮ่องเต้เดินออกไปไกลไม่ห่างไปไหน“ฮองเฮาก็พักผ่อนเสียหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีที่อยู่ด้านข้าง
เอ่ยขึ้นอย่างเคารพนบนอบ
ฮองเฮาแย้มยิ้มบาง
“ไม่ต้องหรอก ข้าพักมาพอแล้ว”
“ครานี้ข้าคงจะเดาผิดเสียแล้ว”
เฉินเซ่าที่เลิกประชุมเช้ากลับมาเอ่ยขึ้น พลางรับชาที่สาวใช้ส่ง
มาให้
“เดาอะไรผิดหรือเจ้าคะ” ฮูหยินเฉินเอ่ยถาม โบกมือไปมา
บรรดาสาวใช้ภายในห้องรีบออกไปด้านนอก
“ก็เรื่องที่ข้าเดาว่าฮ่องเต้จะสะเทือนใจอย่างหนักน่ะสิ” เฉินเซ่า
เอ่ยต่อ “ดูท่าแล้วสภาพจิตใจและอารมณ์ของฮ่องเต้ยังคงดีอยู่
อย่างน้อยก็มีก่อนหน้านั้นหลายคราที่เหม่อลอย มักจะไม่มีสมาธิ”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง
“คงจะชินแล้วกระมัง”
ฮูหยินเฉินหัวเราะ แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ“มีใครบ้างจะชินกับเรื่องนี้ได้” นางเอ่ย “ต่อให้เจ็บปวด
มากกว่านี้ก็คือเจ็บปวดอยู่ดี”
เฉินเซ่าก็รู้ตัวว่าพลั้งปากไป เขายกถ้วยชาขึ้นดื่มเพื่อปกปิดไว้
“แม่นางสิบแปดบอกว่า ครานี้ที่สูญเสียองค์ชายไปเพราะมีคน
ทำร้าย”
เฉินเซ่าสำ ลักชาเล็กน้อย
“แม่นางสิบแปดนะรึ นางมาเมื่อใดหรือ” เขาเอ่ยถามพลาง
เลิกคิ้ว “คำพูดเช่นนี้เอามาพูดพล่อยๆ ได้หรือ คนอื่นพูดก็แล้วไป
เถิด แต่ตอนนี้นางอยู่ในวังหลวง”
“ไม่ได้พูดพล่อยๆ นะเจ้าคะ นี่ก็แค่พูดกับข้าคนเดียว
เท่านั้นเอง” ฮูหยินเฉินรีบบอก
แม่นางเฉินสิบแปดที่พูดคุยกับบรรดาพี่สาวน้องสาวภายใน
ครอบครัวถูกเรียกให้มาหา
“ท่านพ่อ ข้าจะพูดพล่อยๆ ได้อย่างไร” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย
ขึ้น “เรื่องนี้แจ่มแจ้งเสียยิ่งกว่าอะไรดี หากไม่ใช่ว่ามีคนทำร้าย จู่ๆ
ภายในวังจะออกกฎอัยการศึกได้อย่างไร พระสนมอัน ไทเฮา กุ้ยเฟยทั้ง
สามจะพากันล้มป่วยไม่พบแขกได้อย่างไร ท่านพ่อ ข้าไม่พูด ใน
ใจท่านก็กระจ่างแจ้งดี ในใจของชาวเมืองย่อมรู้ดี”
นั่นสิ จู่ๆ ภายในวังก็มีความเคลื่อนไหวเช่นนี้ คนไม่มีการงาน
ทำก็คาดเดากันไปต่างๆ นานา
มิน่าเล่าฮ่องเต้อารมณ์ไม่ผิดแปลกไปสักนิด เป็นเพราะหาสิ่ง
แทนที่ได้แล้วนี่เอง
นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก และไม่ใช่โทษทัณฑ์ที่สวรรค์มอบให้
พระองค์ แต่เป็นเพราะมีคนจงใจทำร้าย หาพบ จับตัว ลงโทษผู้ที่
กระทำคนนี้ ก็สามารถแทนที่ความเดือดดาล น้อยอกน้อยใจ
ไม่สบายใจและผิดหวังของพระองค์ได้แล้ว ก็สามารถทำให้พระองค์
เผชิญหน้ากับองค์ชายที่โชคร้ายพระองค์นั้นได้อย่างโล่งใจ
นี่มิใช่ความผิดของพระองค์ นี่ล้วนเป็นความผิดของคนที่มา
ทำร้าย นี่มิใช่ลิขิตสวรรค์ นี่เป็น…
“หากเป็นเช่นนั้น ครานี้ฮ่องเต้ไม่ยอมลดละแน่นอน หากยังสืบ
ไม่ได้ความ” เขาเอ่ยอย่างเนิบช้า“นั่นมันแน่อยู่แล้ว ใช้เล่ห์อุบายตื้นเขินเพียงนั้น มาเอาชีวิตองค์
ชายน้อย มาบีบบังคับฮ่องเต้ ทำร้ายกุ้ยเฟย เรื่องเช่นนี้จะยอมลดละ
ได้อย่างไร” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยขึ้น
เฉินเซ่ามองไปยังนาง
“เจ้าหมายความว่าเป็นพระสนมอันอย่างนั้นรึ” เขาขมวดคิ้ว
เอ่ยขึ้น
“ท่านพ่อ ยังต้องให้พูดอีกหรือเจ้าคะ” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย
เฉินเซ่าส่ายหน้า
“แต่ก็ไม่แน่ว่าทุกคนต่างคิดเช่นนี้กันหมดนี่นา” เขาเอ่ย
“ท่านพ่อ หากไม่คิดเช่นนี้ แบบนั้นก็โง่เขลาเกินไปแล้ว”
แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย “เล่ห์อุบายเช่นนี้โง่เขลาเหลือเกิน”
เฉินเซ่าพยักหน้า
“นั่นสิ เพราะเล่ห์อุบายช่างโง่เขลาอย่างที่ว่าจริง”
หมายความว่าอย่างไร
แม่นางเฉินสิบแปดขมวดคิ้วกำลังจะเอ่ยขึ้น ด้านนอกประตูก็
มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน โน้มไปใกล้ข้างหูเฉินเซ่าแล้วเอ่ยกระซิบ สีหน้าเฉินเซ่าพลันเปลี่ยน
“เกิดอะไรขึ้นอีกเจ้าคะ” แม่นางเฉินสิบแปดรีบเอ่ยถาม
“เกาหลิงปอขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้” เฉินเซ่าบอก
“ใต้เท้าเกาย่อมควรจะเข้าเฝ้าอยู่แล้ว กุ้ยเฟยโดนป้ายสี
ยัดเยียดความผิดเช่นนี้” แม่นางเฉินสิบแปดพยักหน้าเอ่ย
เฉินเซ่าหัวเราะ
“ที่เกาหลิงปอขอเข้าเฝ้ามิใช่เพราะกุ้ยเฟยโดนป้ายสียัด
ความผิด แต่เป็นเพราะเล่ห์อุบายนี้โง่เขลาเกินไปต่างหาก” เขาเอ่ย
“ท่านพ่อ” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยเรียก
เฉินเซ่าเอ่ยขัดนางว่า
“ฮ่องเต้อนุญาตให้เขาเข้าเฝ้า อีกทั้ง” เขาเอ่ย สายตามองไป
ยังฮูหยินเฉิน
ฮูหยินเฉินที่ถูกสามีมองมาในใจก็เต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ นาง
คาดเดาบางอย่างขึ้นมาได้
ไม่หรอกกระมัง…“ในขณะเดียวกันฮ่องเต้ก็เรียกตัวแม่นางเฉิงให้เข้าเฝ้าด้วย”
เฉินเซ่าเอ่ย
แม่นางเฉิง!
แม่นางเฉินสิบแปดนั่งหลังตรง
“เรียกเข้าเฝ้าเพื่อการใดหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถามอย่างตกใจ
“หรือว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับนาง”
“นี่มันเกี่ยวอะไรกับนางกัน” ฮูหยินฉินรีบเอ่ย “ภายในวังล้ม
ป่วยกันมากมายเพียงนี้ คงให้นางมาตรวจรักษาเท่านั้นล่ะ”
นั่นก็จริง