พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 555 น้ำใสใจจริง (2)
ภายในห้องเงียบงันลง แต่ในใจทุกคนต่างยังคงกระสับกระส่าย
ไม่ว่าจะเพื่อการใด เรื่องนี้ก็ยังคงเกี่ยวข้องกับแม่นางเฉิงอยู่ดี…
นี่มันช่าง…
ฮูหยินเฉินยกมือตบปากตัวเองเบาๆ อย่างอดไม่ได้
เกาหลิงปอที่ลงรถม้าพอก้าวขาเข้าประตูวังฝีเท้าก็พลันหยุดลง
เบื้องหน้ามีขันทีน้อยนายหนึ่งกำลังเดินนำหญิงสาวที่ถูกทหารรักษา
พระองค์ตรวจสอบอยู่
“แม่นางเฉิง”
เขาเอ่ยเรียกขึ้น เร่งฝีเท้าเข้าไปหา
เฉิงเจียวเหนียงหันกลับมามองเกาหลิงปอ
“แม่นางเฉิง ข้ากลับเมืองหลวงมาก็เพราะตั้งใจจะมาหาเจ้า
โดยเฉพาะนี่ล่ะ แต่เผอิญข้าเดินทางมาถึงล่าช้า ไม่คิดเลยว่า
จะได้มาพบกันที่นี่” เกาลิงปอยิ้มเอ่ยขึ้น พลางยกมือคำนับ
เฉิงเจียวเหนียงค้อมกายคำนับคืนให้“แม้จะไม่จริงจังนัก แต่ข้าก็ต้องขอโทษจากใจจริงก่อน” เกาห
ลิงปอเอ่ยพลางคำนับให้อีกครั้ง
“ไม่กล้ารับไว้หรอกเจ้าค่ะ ทั้งยังไม่ได้ผิด จะเรียกว่าผิดได้
อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงบอกพลางแย้มยิ้มบาง แล้วคำนับคืนให้
อีกครั้ง
เนื่องจากเกาหลิงปอกับเฉิงเจียวเหนียงต่างไม่ใช่คนธรรมดา
ขันทีที่เดินนำทางจึงไม่กล้าตำหนิพวกเขาให้สงบปากปากสงบคำ
แต่กลับอมยิ้มเอ่ยเตือนอย่างนุ่มนวลแฝงไว้ด้วยการประจบเอาใจ
แทน
“ใต้เท้าเกา แม่นางเฉิง ฝ่าบาททรงรออยู่ขอรับ”
เกาหลิงปอจึงได้พยักหน้ายิ้มๆ
“แม่นางเฉิง วันหน้าข้าจะไปเยี่ยมเยียนที่เรือนอีกครั้ง” เขา
บอก
เฉิงเจียวเหนียงขานรับ ทั้งสองเดินตามกันไปเบื้องหน้าต่อ
ไม่นานก็มาถึงหน้าตำหนักฉินเจิ้ง เกาหลิงปอหันกลับมา
อีกครั้งอย่างอดไม่ได้ เห็นแม่นางเฉิงด้านหลังหยุดยืนตาม เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
แม่นางเฉิงผู้นี้ไม่ได้ไปถวายการรักษาให้เหล่าสตรีในวังหลัง
หรอกหรือ เหตุใดจึงมาที่นี่เช่นกันเล่า
“แม่นางเฉิง เจ้า…” เขาเอ่ยขึ้นกำลังจะถาม ประตูตำหนักก็
เปิดออก
“ใต้เท้าเกา ฝ่าบาทเชิญขอรับ”
ด้านในมีขันทีเดินออกมาคำนับให้พลางเอ่ยบอก
เกาหลิงปอจำ ต้องเก็บคำพูดกลับคืนแล้วสาวเท้าเดินเข้าไป
คงรอฮ่องเต้เสด็จไปวังหลังพร้อมกันกระมัง ฮ่องเต้ได้เห็น
การรักษาด้วยเช่นนี้จะยิ่งวางพระทัยได้มากกว่า
เมื่อก้าวเข้ามาในตำหนักฉินเจิ้ง เกาหลิงปอก็กวาดหางตามอง
สถานที่แห่งนี้เขาจากมาไม่กี่เดือน ก็รู้สึกไม่คุ้นเคยเสียแล้ว
เห็นได้ชัดว่าหลงลืมไปแล้วไม่น้อย
นี่เป็นทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย เรื่องราวบนโลกใบนี้แต่ไหนแต่ไร
มาก็มีทั้งทุกข์ทั้งสุขสลับสับเปลี่ยนกันอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าตัวเราเอง
จะเลือกแบบไหนเกาหลิงปอเห็นฮ่องเต้ที่นั่งประทับอยู่ด้านบนก็ถวายคำนับ
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ควรมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เกาหลิงปอเอ่ยพลางทอดถอนใจ
ใช่แล้ว เล่ห์อุบายต่ำช้าเช่นนี้ วิธีการที่ใส่ร้ายป้ายสีอย่าง
ชัดแจ้งเช่นนี้ หากเขายังจะมาคร่ำครวญว่าโดนใส่ความต่อหน้า
พระพักตร์ฮ่องเต้อีก ช่างเป็นการสบประมาทฮ่องเต้อย่างมาก
ทว่าข่าวคราวที่แพร่สะพัดภายในวังหลวงกลับผิดแผกไป
มากขึ้นเรื่อยๆ
กุ้ยเฟยโดนขังไว้ดังคาด ฮ่องเต้ยังคงพำนักอยู่ที่ตำหนัก
พระสนมอัน ไทเฮาไม่รับแขก ข่าวคราวภายในวังทั้งนอกทั้งในล้วน
ถูกตัดขาด
ที่สำ คัญก็คือคนในสำ นักราชกิจส่วนพระองค์ยังคงเคลื่อนไหว
ไปทั่ว
เรื่องโง่ๆ เรื่องนี้ดูท่าแล้วฮ่องเต้ทรงตั้งใจจะจัดการให้เป็นเรื่อง
เฉพาะของบุคคลเสียแล้วฮ่องเต้ทรงรักใคร่องค์ชายที่ยังไม่เกิดคนนี้มากเสียเหลือเกิน
หากจะบอกว่ารักใคร่เอ็นดูองค์ชายพระองค์นี้ แต่ก็เทียบไม่ได้กับที่
พระองค์รักตัวเอง ในครรภ์ของพระสนมอันนั้นไม่เพียงแต่เป็นองค์
ชายพระองค์หนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นความหวังของฮ่องเต้อีกด้วย
ทุกคนต่างมีความหวัง และฮ่องเต้ผู้นี้ก็มีความหวังอันที่เฝ้ารอ
มานานเช่นกัน
ร่างกายแข็งแรง อายุมั่นขวัญยืน
เล่ห์อุบายนี้ต่ำช้าเกินไป ต่ำช้าราวกลับไม่เกรงกลัวผู้ใดเพราะรู้
ว่ามีคนหนุนหลัง ทำเหมือนกับคนทั่วทั้งแผ่นดินเป็นคนตาบอด
คนปัญญาอ่อนอย่างไรอย่างนั้น ฉวยโอกาสจากความหวังของ
ฮ่องเต้
“ฝ่าบาท กระหม่อมมิบังอาจ เพียงแต่ฝ่าบาททรงรักใคร่เอ็นดู
องค์ชายน้อยเกินไปแล้วกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
เกาหลิงปอเอ่ยทูล
ประโยคนี้เอ่ยออกไป ขันทีที่อยู่ด้านข้างก็หันมามองด้วย
ความตกใจใต้เท้าเกาบ้าไปแล้วหรือ
นึกไม่ถึงว่าจะกล้าพูดเช่นนี้
ฮ่องเต้มองเกาหลิงปอ เห็นได้ชัดว่าตกใจเช่นกัน
“ทั้งที่ใต้เท้าเกาพูดเช่นนี้ แต่กลับกลายเป็นเราที่ทำให้องค์ชาย
น้อยต้องตาย” พระองค์แค่นยิ้ม
ตั้ง
แต่เกาหลิงปอเข้ามา เขาก็มั่นใจในทันทีว่าข่าวคราวที่ได้ยิน
มานั้นเป็นความจริง ฮ่องเต้ทรงใจเย็นและสงบนิ่งมากดังคาด ใจเย็น
สงบนิ่งได้ไม่เหมือนบิดาที่สูญเสียบุตรเลยสักนิด
ใจเย็นนี้เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี เขาเกาหลิงปอไม่ต้องการเห็น
ฮ่องเต้ที่ใจเย็น เขาต้องการเห็นฮ่องเต้ที่โกรธกริ้ว อย่างน้อยก็
เกรี้ยวกราดจนสามารถทำให้ความคิดของฮ่องเต้เฉียบขาดกว่าเดิม
ไม่ใช่เดินตามหมากที่คนอื่นวางไว้อย่างว่าง่ายเช่นนี้
“พระสนมอันจะใช้ความเอ็นดูของเรา สละชีวิตองค์ชายเพื่อ
ใส่ร้ายกุ้ยเฟยเลยหรือ นางวางแผนอะไรอยู่” ฮ่องเต้ยิ้มเย็นเอ่ยขึ้น
“ทำร้ายกุ้ยเฟยก็สามารถได้รับฐานันดรที่สูงส่งกว่าเดิมแล้วหรือ
ได้รับฐานันดรที่สูงขึ้นแต่ไร้องค์ชายแล้วจะมีประโยชน์อันใด! มีองค์ชายพระองค์นี้อยู่ ชาตินี้ทั้งชาตินางก็มั่งคั่งไร้กังวลอยู่ในวังหลวงได้
แล้ว หากนางเสียองค์ชายไป สุดท้ายชีวิตในรั้ววังของนางจะเป็น
อย่างไร นางกระจ่างรู้ดีไม่เท่าบุรุษที่อยู่นอกวังอย่างเจ้าเชียวหรือ”
ฮ่องเต้ยิ่งเอ่ยก็ยิ่งพลุ่งพล่าน ยกมือขึ้นหยัดตัวกับโต๊ะตรงหน้า
เกือบจะลุกขึ้นมา
แค่นี้ยังไม่พอ
เกาหลิงปอโน้มกายโขกหัวกับพื้น
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลอย่างที่ว่าจริงพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้
พระสนมอันเจ็บแค้นใจพยาบาทต่อกุ้ยเฟยมากกว่านี้ ก็ไม่ถึงขั้น
เอาชีวิตลูกของตัวเองมาทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้ ดังนั้นเรื่องนี้
จึงแปลกประหลาดนักพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย หยุดเว้นไปครู่หนึ่งแล้ว
เงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาท พระสนมอันตั้งครรภ์องค์ชายได้รับการตรวจ
จากหมอหลวงกี่คนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ประโยคนี้เอ่ยออกมา ขันทีด้านข้างไม่ตกใจแล้ว แต่เป็น
หวาดผวาแทน
ใต้เท้าเกาบ้าไปแล้วจริงๆ!เสียง ‘ปั้ง’ ดังขึ้น ฮ่องเต้ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน
“เกาหลิงปอ เจ้ากำลังจะบอกว่าเดิมทีเราไม่อาจมีลูกชายได้
ทั้ง
หมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นเล่ห์อุบายของพระสนมอันที่สมรู้ร่วมคิดกัน
กับคนอื่นอย่างนั้นรึ” พระองค์ยกมือขึ้นชี้เกาหลิงปอพลางตวาดลั่น
พระองค์รู้อยู่แล้ว พระองค์รู้อยู่แล้ว คนพวกนี้ต่างพากัน
หัวเราะเยาะพระองค์ ล้วนกำลังรอชมเรื่องตลกของพระองค์อยู่ ล้วน
กำลังบอกว่าพระองค์มีลูกชายไม่ได้
เห็นหรือยัง เห็นกันหรือยัง พวกเขาไม่ได้คิดกันแค่ในใจแล้ว ทั้ง
ยังกล้าพูดต่อหน้าเขาอย่างมั่นอกมั่นใจอีกต่างหาก
เกาหลิงปอไม่มีความเกรงกลัวแม้แต้น้อย เขาค้อมกายลง
“ฝ่าบาท ดังนั้นกระหม่อมจึงขอบังอาจกราบทูล เบื้องบน
โปรดปรานสิ่งใด เบื้องล่างล้วนโปรดปรานสิ่งนั้นมากกว่า กระหม่อม
แค่กลัวว่าจะมีคนคาดเดาความคิดของฝ่าบาทได้ เหลี่ยมจัด
จงใจหลอกลวงฝ่าบาท” เขาเอ่ยเสียงดัง พลางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
เห็นฮ่องเต้อารมณ์เดือดดาล “ฝ่าบาท ตอนนั้นมีกี่คนที่จับชีพจรแล้วบอกว่าเป็นองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ มีใครบ้าง หมอหลวงคนอื่นบอกว่า
อย่างไรกัน”
มีหมอหลวงกี่คนที่บอกว่าเป็นองค์ชายอย่างนั้นรึ
ฮ่องเต้นึกย้อนกลับไปอย่างอดไม่ได้ มีกี่คนกันหนอ มีแค่
คนเดียวกระมัง…
ชายาสนมในวังหลวงระมัดระวัง ล้วนมีหมอหลวงหลักที่ตน
มักจะเรียกใช้…
พอหมอหลวงคนนี้ตรวจรักษาได้แม่นยำแล้ว พวกนางก็จะไม่
เปลี่ยนคนใหม่อีก…
“ฝ่าบาท มีหมอหลวงกี่คนที่บอกหรือ สำ นักแพทย์หลวง
มีหลักฐานยืนยันและการตรวจสอบหรือไม่ ได้มีการตรวจสอบบันทึก
ชีพจรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงเกาหลิงปอดังขึ้นอีกครั้ง ยิ่งถามก็ยิ่งไล่ต้อนเรื่อยๆ โจมตี
โสตของฮ่องเต้เป็นระลอก
มีหมอหลวงกี่คนที่บอกอย่างนั้นรึ หมอหลวงคนเดียวที่บอก…สำ นักแพทย์หลวงมีหลักฐานยืนยันและการตรวจสอบหรือ
ไม่อย่างนั้นรึ ไม่มี ตอนนั้นพระองค์ได้ฟังก็ปรีดาเหลือแสน ไม่ได้ไป
ตรวจสอบอะไรทั้งนั้น…
หรือว่า…
ไม่ ไม่ พระองค์กำลังคิดอะไรอยู่น่ะ! พระองค์กำลังคิดอะไรอยู่!
“เหลวไหล เหลวไหล!” ฮ่องเต้เดือดดาล ก้าวลงบันไดมายกมือ
ชี้เกาหลีปอพลางตะคอกใส่
เหล่าขันทีต่างเพิ่งเคยเห็นฮ่องเต้บันดาลโทสะเช่นนี้
เป็นครั้งแรก จึงพากันตกอกตกใจจนนิ่งชะงักไปอย่างอดไม่ได้
เหลวไหลแล้วอย่างไรเล่า เขามาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ไม่ได้มาเพื่อ
อธิบาย ขอความเมตตาแทน หรืออธิบายลบล้างความผิด น่าขันนัก
กุ้ยเฟยไหนเลยจะต้องมาอธิบายต้องมาขอความเมตตา อย่าได้
พูดถึงโทษเลย
เขาแค่มาทำให้ฮ่องเต้ได้สติก็เท่านั้น ถือโอกาสเอ่ยให้ชวน
สงสัยสักหน่อย แม้จะสงสัยเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วเกาหลิงปอหัวเราะอยู่ในใจ มองฮ่องเต้ที่โกรธเกรี้ยวจน
เสียกิริยาไร้ซึ่งความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
มีอะไรให้น่ากลัวกันล่ะ
เล่ห์อุบายชั้นต่ำเพียงนี้ก็ยังก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ได้แล้ว ดูท่า
แล้วฝ่าบาทจะเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ ต้องเตือนสติเสียหน่อย