พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 556 โชคชะตา
ต่อให้วัสดุไม้ที่ทำประตูหน้าต่างจะดีกว่านี้เพียงใด ก็กั้นเสียง
โทสะของฮ่องเต้ที่ดังลอยมาจากด้านในไว้ไม่ได้
ขันทีที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ดี องครักษ์ก็ดี ล้วนแต่สีหน้าไร้อารมณ์
คล้ายว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
แต่แม่นางเฉิงผู้นี้กลับนิ่งเฉยเช่นนี้ได้อย่างไร
ก้มหน้าซ่อนความรู้สึกรึ
บรรดาขันทีแอบมองแวบหนึ่ง เห็นแม่นางผู้นั้นยังคงยืนตัวตรง
ดังเดิม ศีรษะไม่ได้ก้มต่ำลงเลยสักนิด สีหน้าของนางแข็งทื่อเสีย
ยิ่งกว่าพวกเขาอีก
สมกับเป็นลูกศิษย์ของเทพเซียนเสียจริง แม้ฮ่องเต้โมโห
เกรี้ยวกราดแต่ไม่หวาดกลัวเลยสักนิด ไม่รู้ว่ายามนี้ในใจนางกำลัง
คิดอะไรอยู่
น่าสนใจจริงๆเฉิงเจียวเหนียงนึกขึ้นได้ สายตามองไปยังประตูตำหนัก
เบื้องหน้า
ขุนนางคนสำ คัญที่ตำราประวัติศาสตร์บันทึกไว้ที่แท้ก็เป็นคน
ที่รับมือกับฮ่องเต้เช่นนี้นี่เอง
ใต้เท้าเกาผู้นี้โดดเด่นเข้มข้นในตำราประวัติศาสตร์ ฮ่องเต้
เคารพและให้ความสำ คัญ เคยตำหนิฮ่องเต้ต่อหน้า ฮ่องเต้
เดือดดาลแล้ววิ่งหนีไปหลบในวังไม่ให้พบ สุดท้ายฮ่องเต้ก็ยังต้อง
รับฟังความเห็นของใต้เท้าเกาอยู่ดี ในตำราประวัติศาสตร์มีเรื่อง
ดีงามท่อนหนึ่งของกษัตริย์ผู้ปราดเปรื่องและขุนนางที่บริสุทธิ์อยู่
ในตำราเล่มนั้นอธิบายเหตุการณ์ไว้ไม่กี่ประโยคสั้นๆ ยามนี้
ได้มาเห็นเองกับตา รู้สึกว่า…น่าสนใจไม่น้อย
ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะได้เห็นฮ่องเต้เดือดดาลวิ่งออกไปหลบหรือไม่
หางตาของเฉิงเจียวเหนียงกระตุกเล็กน้อย ทว่าฮ่องเต้กลับ
ไม่ได้เดือดดาลแล้ววิ่งออกมา แต่มีขันทีคนหนึ่งก้มหน้าเดินออกมา
ด้วยฝีเท้ารีบร้อน เลี้ยวไปยังระเบียงทางเดินยาวแล้วลับตาหายไป…
ณ ตำหนักพระสนมอัน พระสนมอันที่กึ่งลุกขึ้นนั่งได้แล้วกำลัง
ให้นางกำนัลป้อนยาน้ำให้ด้วยความระมัดระวัง พอได้ยินประโยคนี้
เข้าก็พลันสำ ลักออกมาไม่หยุด
“ฮองเฮา! แย่แล้วเพคะ!” นางเอ่ยเรียกเสียงสั่น
บนเก้าอี้ด้านข้าง ฮองเฮากำลังหลับตาลง คล้ายไม่ได้ยินเสียง
นางกำนัลน้อยเลยสักนิด
“กินยาของเจ้าไป” นางบอก “รีบจัดการสัญญาณชีพจรนางให้
ดี อีกเดี๋ยวใต้เท้าเกาพาทุกคนในสำ นักแพทย์หลวงมาจับชีพจรเจ้า
เช่นนั้นได้เรียกว่าแย่ของจริงแน่”
พอประโยคนี้เอ่ยออกไป พระสนมอันที่สีหน้าซีดเผือดอยู่แล้วก็
ยิ่งขาวซีดขึ้นกว่าเดิม ยื่นมือไปคว้ายามา ไม่ต้องให้นางกำนัลป้อน
แหงนหน้าดื่มพรวดด้วยตัวเอง จนสำ ลักออกมา
“ฮองเฮา ฮองเฮา” นางไอโขลกพลางเอ่ยเรียกเสียงสั่นไปพลาง
ฮองเฮายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ หัวเราะแล้วลืมตาขึ้น“เจ้ากลัวอะไรเล่า วันนั้นเจ้าใจกล้าบอกว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องมา
ส่งขนมจึงได้ตั้งครรภ์ แถมยังกล้าบอกว่าตั้งครรภ์มังกรในตอนที่
หมอหลวงตรวจอาการครรภ์ว่าไม่มั่นคงอีก พระสนมอัน เจ้าใจกล้า
ไม่เบาเลยมิใช่หรือ จะกลัวอะไรเล่า” นางยิ้มเอ่ย
พระสนมอันร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ฮองเฮา หม่อมฉันไม่ได้ใจกล้าเพคะ หม่อมฉันมันโง่…”
นางร้องไห้พลางเอ่ยบอก
“โง่อะไรกัน” ฮองเฮาขัดนางแล้วลุกขึ้นมา “วิธีการโง่ๆ ก็ใช่ว่า
จะไร้ประโยชน์เสมอไปเสียหน่อยนี่”
พระสนมอันมองนางพลางเช็ดน้ำตา
“แต่ว่า แต่ว่าเกิดฝ่าบาทสงสัยขึ้นมา…” นางรีบเอ่ยขึ้น
“ฝ่าบาทจะสงสัยแน่นอน” ฮองเฮาบอก “ฝ่าบาทผู้นี้ขี้สงสัย
ที่สุด”
พระสนมอันพยักหน้าหงึกน้ำตาไหลหนักกว่าเดิม
“ฮองเฮา ท่านเคยบอกว่าจะให้หม่อมฉันมีวันคืนที่ดี หม่อมฉัน
ยังไม่อยากตายเพคะ…” นางร้องไห้เอ่ยบอก“หุบปาก” ฮองเฮาเอ่ยขึ้น
พระสนมอันรีบปิดปากฉับอย่างเชื่อฟังทันที น้ำตาไหลพราก
มองฮองเฮา
“ฝ่าบาทต้องสงสัยแน่ แต่ว่าจะมีคนถูกสงสัยก่อนเรา ดังนั้น
ไม่ต้องกังวลหรอก” ฮองเฮาบอกพลางลุกขึ้นมา “ครานี้ โชคของข้าดี
อยู่บ้างเล็กน้อย”
บางครั้ง โชคดีเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว
ณ ตำหนักฉินเจิ้ง เกาหลิงปอมองฮ่องเต้ที่กำลังเกรี้ยวกราดใน
ใจก็พูดประโยคนี้อยู่เช่นกัน
ที่ยามนี้เขาสามารถมายืนอยู่ที่นี่ได้ทันเวลา จะว่าไปแล้วก็เป็น
เพราะเรื่องแต่งงานเหลวไหลของท่านชายเกากับแม่นางเฉิงนั่น
มิฉะนั้นยามนี้เขาก็ยังคงอยู่นอกเมือง หากต้องรอฟังข่าวว่าในวัง
เกิดเรื่องอะไรขึ้น คงรุดกลับมาก็ไม่ทันการณ์
ดังนั้นแล้ว ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็ได้
ฮ่องเต้ที่ก่นด่าคำพูดที่เจ้าแผ่นดินไม่ควรออกมา ก็หยุดฝีเท้า
ลงโดยพลัน“เรารู้แล้ว”
“เรารู้แล้วว่าเหตุใดเรื่องนี้จึงได้เกิดขึ้น”
“เรื่องนี้ต้องโทษเราจริงๆ”
เกาหลิงปอขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ฝ่าบาท กระหม่อมทูลฝ่าบาทไปแล้ว ผู้มีหยกไว้กับตัว
มีความผิด แต่หยกไม่ควรมีความผิด…” เขาโน้มกายคำนับพลาง
เอ่ย
“เรารู้ว่าสิ่งที่พวกเจ้าพึ่งพิงก็คือสิ่งนี้” ฮ่องเต้เอ่ยขัดเขาขึ้น
สีหน้าไร้ซึ่งความโกรธกริ้ว ยืนอยู่บนบันไดมองเกาหลิงปอจากที่สูง
พวกเราอย่างนั้นหรือ สิ่งนี้อย่างนั้นรึ สิ่งใดเล่า
เกาหลิงปอตกใจกับการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของฮ่องเต้
ไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าจะใจเย็นลงมาได้อีกครั้ง
ดูท่าแล้วมีเรื่องราวมากมายเหนือการควบคุมของเขาไปแล้ว
จริงๆ
ไปทำงานต่างถิ่นครานี้ บางทอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี…“ใต้เท้าเกา พวกเจ้าไม่ได้กลัวว่าจะมีคนมาคาดเดาความคิด
ของเรา แต่เดิมทีนั้นไม่ได้หวาดกลัวเลยต่างหาก”
ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น พ่นลมออกมา หันหลังกลับไปนั่งอย่างช้าๆ
“พวกเจ้าไม่กลัว เพราะเรื่องที่ใส่ความกุ้ยเฟยนั้นต่ำช้าเกินไป
จริงๆ เดิมทีเรื่องที่ทำให้ตัวเองอับอายก็เชื่อถือไม่ได้อยู่แล้ว”
“กุ้ยเฟยจะไปทำร้ายพระสนมอันได้อย่างไร ก็เพราะนาง
ตั้ง
ครรภ์โอรสอย่างนั้นรึ”
“โอรสหรือ ใช่ว่ากุ้ยเฟยจะไม่มีโอรสเสียหน่อย อีกอย่างโอรส
นางยามนี้ก็โตแล้ว เป็นถึงอ๋อง ครรภ์เล็กๆ ครรภ์หนึ่งที่ยังไม่ได้
คลอด คลอดออกมาแล้วจะเติบโตได้เท่าใดกัน ล้วนเป็นเรื่องที่
ไม่อาจจะรู้ ไม่อาจจะคาดเดาได้ กุ้ยเฟยจะทำเรื่องที่ทุกคนคาดเดา
ได้ เพราะเรื่องที่ไม่แน่นอน ไม่อาจคาดเดาได้ได้อย่างไร”
เหตุผลก็คือเหตุผลนี้ แต่ฮ่องเต้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่
แปลกประหลาดยิ่ง ทำให้คนฟังไม่ค่อยสบายใจ
“ฝ่าบาททรงปราดเปรื่องยิ่ง” เกาหลิงปอคำนับพลางเอ่ย
ฮ่องเต้นั่งกลับลงไป มองเกาหลิงปอพลางพยักหน้า“ใช่แล้ว นี่เป็นเหตุผลที่ใครๆ ต่างก็รู้ ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่า
กุ้ยเฟยจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ คิดแค่เพียงว่าไม่เป็นอุบัติเหตุก็ต้องเป็น
พระสนมอันจิตใจคิดไม่ดี” พระองค์เอ่ยขึ้น “ดังนั้นแล้ว สำ หรับ
กุ้ยเฟย นี่จึงเป็นโอกาสที่ดียิ่ง เพราะต่อให้นางทำลงไป ก็ไม่อาจ
มีใครสงสัยอยู่ดี”
เกาหลิงปอพลันเดือดดาลขึ้น
ฮ่องเต้เลอะเลือนพระองค์นี้ ไม่ได้สติขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย!
ใช้สมองแล้ว แต่ใช้สมองที่เลอะเลือนมาคิด!
ที่ให้พระองค์เกิดความสงสัย ไม่ใช่ให้มาสงสัยแบบนี้!
ยากจะได้เห็นฮ่องเต้คิดแบบนี้ออกมา!
“ฝ่าบาท หากเอ่ยเช่นนี้ บนโลกนี้ก็คงไม่มีคนบริสุทธิ์แล้ว
พ่ะย่ะค่ะ ทุกคนล้วนเป็นฆาตกรกันหมด ทุกคนล้วนเป็นผู้ร้ายกัน
หมดแล้ว” เขาเลิกคิ้วเอ่ย มือกำฮู่ป่านก้าวขึ้นหน้า เสียงดังกว่าเมื่อ
ครู่มาก “ฝ่าบาท สงสัยในเรื่องเหลวไหล ไม่สังเกตตามข้อเท็จจริง!
ฝ่าบาท ความสงสัยของพระองค์นั้นไร้ความเป็นธรรม หากพูดว่า
เพราะกุ้ยเฟยมีเหตุผลที่จะพ้นข้อกล่าวหาได้จึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัย เช่นนั้นกรณีพระสนมอันก็ย่อมสามารถใช้หลักคิดเดียวกันนี้ได้
ย่อมเป็นฝีมือนางได้เช่นกัน”
พอได้ยินคำพูดอ้อมไปอ้อมมาพวกนี้แล้วล้วนเหลวไหลสิ้นดี!
“เรารู้” ฮ่องเต้ยกมือห้ามเกาหลิงปอ ครานี้ไม่ได้เกรี้ยวกราด
เพราะเขาบีบบังคับไล่ต้อน แต่สีหน้าเรียบเฉย “เรารู้เจตนาของเจ้า
แต่ครานี้ไม่เหมือนกับคราอื่น”
“ใต้เท้าเกา เหตุผลในครานี้ทุกคนต่างรู้ เรื่องในครานี้โง่เขา
และน่าขันนัก”
“แต่มีเรื่องบางเรื่อง ที่คนมากมายต่างไม่รู้ เราไม่รู้ มีเพียง
กุ้ยเฟยเท่านั้นที่รู้”
ว่าอย่างไรนะ
สีหน้าเกาหลิงปอตกตะลึง
“ใต้เท้าเการู้หรือไม่ว่าเราก็ไม่รู้” ฮ่องเต้เอ่ยต่อ
“ฝ่าบาท!” เกาหลิงปอเอ่ยเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
“เกาหลิงปอ” ฮ่องเต้ขัดเขาขึ้นมาอีกรอบ “เจ้าคงไม่รู้ว่าก่อน
จันทรุปราคามีดาวพระศุกร์จรัสฟ้ากระมัง”ว่าอย่างไรนะ
เกาหลิงปอนิ่งอึ้ง
ดาวพระศุกร์จรัสฟ้ารึ
ยังคิดไม่ทันจบ ความคิดแรกยามก้าวประตูก็แทรกข้ามาในหัว
เขาหันกลับไปมองตรงประตูตามสัญชาตญาณ
หญิงนางนั้น! ที่แท้ก็ไม่ได้มาเพื่อถวายการรักษาให้บรรดา
ชายาสนมในวังหลัง!
“ดาวพระศุกร์ปรากฏขึ้นพร้อมกับจันทรุปราคา รัชทายาท
จึงตกอยู่ในอันตราย”
เสียงของฮ่องเต้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ข้างหู
รัชทายาทจึงตกอยู่ในอันตราย
เกาหลิงปอตัวสั่นขึ้นมา
“ฝ่าบาท นี่มันคำพูดเหลวไหล…” เขาเอ่ย
“เรียกแม่นางเฉิงเข้ามา” ฮ่องเต้โพล่งขึ้น
การกระทำของบรรดาขันทีขัดจังหวะเขา ประตูถูกผลักเปิด
เฉิงเจียวเหนียงเดินเข้ามา“แม่นางเฉิง เราเรียกเจ้ามาเพื่อถามเจ้าเรื่องหนึ่ง” ฮ่องเต้มอง
เฉิงเจียวเหนียงที่กำลังคำนับ เอ่ยเข้าประเด็นว่า “ก่อนวันที่สิบห้า
เดือนสิบสองเมื่อปีที่แล้วมีดาวพระศุกร์จรัสฟ้าหรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท มีเพคะ” เฉิงเจียวหนียงคำนับพลางตอบ
เกาหลิงปอในยามนี้กลับไม่ร้อนรน ยืนอยู่ด้านข้างมองฮ่องเต้
กับแม่นางเฉิงสนทนากัน
“ดาวพระศุกร์ปรากฏขึ้น พร้อมกับจันทรุปราคา รัชทายาท
มีอันตรายใช่หรือไม่” ฮ่องเต้เอ่ยถามอีกครั้ง
“ทูลฝ่าบาท ใช่เพคะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ดาวพระศุกร์ปรากฏ ดวงดารารับเชิญพบประสบดาวเหนือ
เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินใช่หรือไม่” ฮ่องเต้เอ่ยถามอีกครั้ง
หากบอกว่าสองประโยคก่อนหน้านี้ยังพอทำเนา ประโยคนี้
ทำให้เกาหลิงปอใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ประโยคนี้ช่างคุ้นหูนัก
ปีนั้นไท่จู่ขึ้นครองราชย์ ไท่สื่อลิ่งนำภาพปรากฏการณ์บน
ท้องฟ้ามาให้ ดาวพระศุกร์ขึ้นจรัสฟ้า แผ่นดินฉินแบ่งแยกแคว้นบอกเหตุล่วงหน้าว่าไท่จู่จะปกครองแผ่นดินของฉินอ๋องในตอนนั้น
พอท้ายที่สุดเขาก็มีความสามารถโดดเด่นออกมาจากบรรดาพี่น้อง
นึกไม่ถึงว่า จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอีก
เกาหลิงปอใจเต้นเร็วกว่าเดิมอย่างห้ามไม่อยู่
ขนาดตัวเองได้ฟังยังเป็นเช่นนี้ เขานึกภาพออกเลยว่าหาก
กุ้ยเฟยได้ฟัง จะเป็นเช่นไร…
เสียงของเฉิงเจียวเหนียงดังขึ้นข้างหู
“ทูลฝ่าบาท ใช่เพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า มองไปยังเกาหลิงปอ
“ใต้เท้าเกา เจ้าเข้าใจแล้วกระมัง” เขาเอ่ยถาม
เกาหลิงปอถอนหายใจออกมา
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” เขาบอก มองเฉิงเจียว
เหนียงแวบหนึ่ง
“ใต้เท้าเกาอ่านกลอนกวีมามากมายยังไม่เข้าใจอีกหรือ”
ฮ่องเต้ถามเสียงเรียบ“ฝ่าบาท กระหม่อมย่อมเข้าใจเรื่องดาวพระศุกร์” เกาหลิงปอ
แย้มยิ้ม “แต่กระหม่อมไม่เข้าใจว่าในราชสำ นักมีหอสังเกตการณ์ซือ
เทียนไถอยู่ มีสำ นักประวัติศาสตร์อยู่ เหตุใดฝ่าบาทไม่ไป
ถามพวกเขา กลับมาถามแม่นางเฉิงผู้นี้”
เมื้อสิ้นเสียงก็เห็นแม่นางเฉิงนั่นมองเขาแวบหนึ่ง
ใต้เท้าเกาผู้นี้ร้อนรนขึ้นมาแล้ว
เฉิงเจียวเหนียงคิดในใจ
สิ่งที่เขาคิดได้ เหตุใดฮ่องเต้จะคิดไม่ได้ หรือเขาคิดว่าฮ่องเต้
จะเชื่อคำพูดของตนจริงๆ กัน
ฮ่องเต้ถามตน ก็แค่ขอการยืนยันเท่านั้น
ในเมื่อเป็นการขอการยืนยัน เช่นนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ตนได้รับ
มาจากที่อื่น
ดูท่าแล้ว ใต้เท้าเกาคนนี้ต่างกันเล็กน้อยกับที่ในตำรา
ประวัติศาสตร์บันทึกเอาไว้ ไม่เหมือนคนที่สามารถพูดบีบบังคับจน
ฮ่องเต้ให้วิ่งหนีได้เลยแต่นี่ก็ไม่ได้อะไร ตำราล้วนมีคนบันทึกขีดเขียน ย่อมเสริมเติม
แต่งความรู้สึกชื่นชอบหรือไม่ก็ทำให้ดูดีและตีค่าต่ำของผู้เขียนลงไป
อยู่แล้ว เดิมก็ไม่อาจเชื่อถือได้ทั้งหมดอยู่แล้ว
ฮ่องเต้มองเกาหลิงปอแล้วหัวเราะออกมา
“เพราะเรารู้ว่าคำพูดของคน ใครๆ ก็พูดได้ ฟังได้แต่เชื่อ
ทั้ง
หมดไม่ได้หรอก ดังนั้นเราฟังคำพูดของซือเทียนไถ ก็ยังไม่เชื่อ
ทั้ง
หมด จึงได้เชิญแม่นางเฉิงมาขอให้ยืนยันอีกหน” พระองค์เอ่ย
บอก
เกาหลิงปอนิ่งอึ้งทันใดนั้นก็กระจ่างแจ้ง
เป็นไปไม่ได้!
หากซือเทียนไถรู้ว่ามีดาวพระศุกร์จรัสฟ้า เขาเกาหลิงปอก็
ไม่มีทางที่จะไม่รู้! เรื่องใหญ่เพียงนี้ซือเทียนไถไม่มีทางที่จะปิดบังเขา!
อีกทั้งยังปิดบังมานานเพียงนี้ด้วย เรื่องเมื่อปีที่แล้ว เรื่องเมื่อปีที่แล้ว
…
“เรียกหัวหน้าซือเทียนไถและคนอื่นๆ เข้ามา”เสียงฮ่องเต้ดังขึ้นข้างหู เสียงฝีเท้าและประตูดังขึ้นข้างหูเกาห
ลิงปอตามมา
เรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล จริงๆ ด้วย ความรู้สึกนี้อีกแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้กลับไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อตอนจันทรุปราคาปี
ที่แล้ว เดิมทีเขาอยากจะใช้จันทรุปราคาไล่เฉินเซ่าออกจาก
ราชสำ นัก ผลสุดท้ายเฉินเซ่ากลับใช้ประโยชน์จากภัยพิบัติหิมะ
เม่าผิงไล่เขาออกจากราชสำ นักแทน
ภัยพิบัติหิมะเม่าผิง
ภัยพิบัติหิมะเม่าผิงที่เขาละเลยไปเพราะมีคนใส่ความ
ครานี้ก็เช่นกัน เขาถูกปิดบังเรื่องดาวพระศุกร์จรัสฟ้าเอาไว้
แต่นี่จะเป็นไปได้อย่างไร ปิดบังเขาเรื่องนี้แล้วมีประโยชน์อะไร
ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็ไม่ใช่ภัยพิบัติหิมะเม่าผิงเสียหน่อย เรื่องใหญ่โต
เพียงนี้เพื่อปิดบังตน ปิดบังฮ่องเต้ เรื่องแดงขึ้นมาจะไม่ใช่การ
รนหาที่ตายให้ตัวเองหรอกหรือ
“กระหม่อมกัวหย่วนพ่ะย่ะค่ะ…”เสียงภายในตำหนักทำให้เกาหลิงปอหลุดจากภวังค์ ก็เห็นว่า
ภายในตำหนักไม่ได้มีแค่พวกเขาสามคนแล้ว แต่มีคนของซือเทียน
ไถเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
กัวหย่วน
คนที่ใช้ชีวิตเดิมพันจันทรุปราคา
เขาเป็นคนพูดอย่างนั้นรึ
เกาหลิงปอมองไปยังเด็กหนุ่มที่คำนับอยู่กลางตำหนัก
หากเขาเป็นคนพูด มีคุณูปการเรื่องจันทรุปราคา แต่เป็นไป
ได้มากว่าฮ่องเต้จะทรงเชื่อ
“เป็นกระหม่อมเองที่เห็นดาวพระศุกร์จรัสฟ้าในตอนนั้น
พ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า… แต่ว่ากระหม่อมนึกว่าตาฝาดไป ดังนั้นจึงไม่กล้า
มารายงาน…”
“ฝ่าบาท ตอนนั้นกัวหย่วนบอกแล้ว แต่กระหม่อมไม่เห็น
เอาแต่คิดคำนวณวันเกิดจันทรุปราคา ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปที่
จันทรุปราคา และละเลยดาวพระศุกร์จรัสฟ้าไปพ่ะย่ะค่ะ…”“แม้ว่าจะได้บอก แต่กระหม่อมบันทึกไว้แล้วเก็บไว้อย่างลับๆ
ไม่รู้เช่นกันว่าถูกเผยแพร่ออกมาได้อย่างไร…”
ไม่รู้เช่นกันว่าถูกเผยแพร่ออกมาได้อย่างไรอย่างนั้นรึ
เกาหลิงปอหลุดหัวเราะออกมาในใจ
บนโลกนี้มีที่ใดบ้างไร้ข่าวลือ! ย่อมมีคนต้องการให้เรื่องนี้แพร่
ออกมา จึงได้ปล่อยข่าวออกมาอยู่แล้ว!
ไม่ อีกนัยหนึ่งคือถูกคนจงใจซ่อนไว้เนิ่นนานเพียงนี้ รอให้
ถึงเวลาอันเหมาะสมจึงได้ปล่อยข่าวออกมา
และเวลาอันเหมาะสมนั้น ย่อมเป็นตอนที่ตนออกจาก
เมืองหลวงไปอยู่แล้ว
เกาหลิงปอพลันกระจ่างแจ้ง เหงื่อเย็นผุดซึมไหลลงปลายเท้า
“ฝ่าบาท ปรากฏการณ์ท้องฟ้านี้ไม่เพียงพอจะเป็นประเด็นได้
พ่ะย่ะค่ะ” เขาเงยหน้าขึ้น เอ่ยขึ้นเสียงดัง พลางก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง
ฮ่องเต้มองเขา ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ บนพระพักตร์
“เพราะยามนี้ไม่มีรัชทายาทแล้ว” เกาหลิงปอไม่มีทางเลือก
นอกจากต้องทำฮ่องเต้ได้ยินก็หัวเราะออกมายกใหญ่
“ไม่มีรัชทายาทอย่างนั้นรึ” พระองค์หัวเราะพลางเอ่ย “ที่แท้ก็
ไม่มีรัชทายาทหรือนี่ ที่แท้ในสายตาของพวกเจ้า ผิงอ๋อง
ไม่ใช่รัชทายาทเพียงคนเดียวทั้งยังไม่ใช่ตัวเลือกอีกด้วยหรือนี่!”
“ตราบใดที่ไร้ซึ่งพระราชดำรัสของฝ่าบาท ไม่มีการประกาศต่อ
แผ่นดิน ผิงอ๋องก็ไม่ใช่รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!” เกาหลิงปอเอ่ย
“กระหม่อมไม่กล้าคิดเช่นนี้ในใจแน่นอน ฝ่าบาททรงทราบดี”
ฮ่องเต้หัวเราะขึ้นอีกครั้ง
“ดี ดี ดี” พระองค์เอ่ย “ถูกต้อง ไม่มีการประกาศต่อแผ่นดิน ก็
ไม่มีรัชทายาทจริงๆ นั่นแหละ อีกนัยก็คือไม่ว่าใครก็มีความเป็นไปได้
ที่จะมาเป็นไท่จื่อ”
“ดาวพระศุกร์จรัสฟ้า ดวงดารารับเชิญพบประสบดาวเหนือ
เป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน”
ฮ่องเต้ลุกขึ้น มองเกาหลิงปอ
“มีโอรสของพระสนมอัน ผิงอ๋องที่ยังไม่ได้เป็นรัชทายาทก็
ไม่ปลอดภัยแล้ว”“โอรสของพระสนมอันไม่มีแล้ว บางทีเขาอาจจะเป็นรัชทายาท
ที่ได้รับอันตรายก็ได้”
“ดังนั้นไม่ว่าจะทำอย่างไร ล้วนยืนยันเรื่องรัชทายาท
ตกอยู่ในอันตรายได้”
“ใต้เท้าเกา เช่นนั้นยามนี้เจ้ายังคิดว่าอุบัติเหตุของพระสนม
อันเป็นเรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องโง่เง่าอยู่อีกหรือไม่”
นี่มันเป็นเล่ห์อุบายโง่เง่า ที่ไหนกัน! นี่เป็นการวางหมากอย่าง
แยบยลชัดๆ!
เกาหลิงปอแทบจะหักฮู่ป่านในมืออยู่แล้ว
เดินหมากได้แยบยลนัก!