พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 557 ท่าไม่ดี
แม้ว่าวังหลวงจะมีกฎอัยการศึก แต่ข่าวคราวก็ยังคง
แพร่สะพัดออกมา
ที่แท้อุบัติเหตุที่พระสนมสูญเสียโอรสไปไม่ได้ดึงดูด
ความสนใจของชาวเมื่อสักเท่าไหร่ ถึงแม้เด็กคนนี้จะตายไปเพราะ
การแก่งแย่งความโปรดปรานของเหล่าพระสนมก็ตาม
เรื่องพรรค์นี้อย่าว่าแต่วังหลวงเลย ไม่ว่าในตระกูลใหญ่ก็ยัง
ยากจะเลี่ยงให้เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้แปลกตาแต่อย่างใด
ทว่าเมื่อข่าวนี้รวมกับคำทำนายปรากฏการณ์ท้องฟ้า
เข้าด้วยกันแล้ว กลับทำให้ฟ้งดูอึกทึกครึกโครมขึ้นมา
เรื่องเทพเทวดามารปีศาจเป็นเรื่องที่ผู้คนอยากรู้อยากเห็น
อยากฟังไม่รู้เบื่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคนั้น ‘ดาวพระศุกร์ขึ้นจรัสฟ้า ดวง
ดารารับเชิญพบประสบดาวเหนือ เป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน’“นี่ก็หมายความว่าฮ่องเต้ในวังหลวงเป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน แล้ว
ในวังมีโอรสสองพระองค์ เช่นนั้นใครจะเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินกันแน่ล่ะ
”
“หากถามขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไร ทว่า
ยามนี้ต้องเป็นผิงอ๋องแน่แล้ว”
ไม่ว่าปีที่แล้วปรากฏการณ์ท้องฟ้าจะทำนายถึงคนไหน ยามนี้
เหลือแค่คนเดียวแล้ว
“ถูกต้อง ถูกต้อง นี่ก็สอดคล้องกับประโยคนั้นเข้าพอดี
ดาวพระศุกร์ปรากฏขึ้นพร้อมกับจันทรุปราคา รัชทายาท
จึงตกอยู่ในอันตราย”
“แล้วสรุปเป็นรัชทายาทคนไหนกันแน่ล่ะ”
“โง่เสียจริง คนไหนได้รับอันตรายคนนั้นแหละรัชทายาท”
“อ่า นั่นก็หมายความว่า องค์ชายน้อยของพระสนมอันที่เสียไป
พระองค์นั้นเป็นโอรสสวรรค์ที่แท้จริงรึ”
“แน่นอนสิ ไม่เช่นนั้นแล้วเหตุใดกุ้ยเฟยจึงต้องร้อนใจด้วย
พระสนมอันคลอดโอรสสวรรค์ที่แท้จริงออกมา แล้วจะยังมีผิงอ๋องไว้ทำไมอีก…”
เสียงดังจอแจลอยออกมาจากโถงใหญ่ของหอสุราโรงน้ำชา
แม้แต่คนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวสุดหรูหราแล้ว ก็ยังพากัน
ถกเถียงสิ่งเรียกว่าปรากฏการณ์ท้องฟ้า คำทำนายเทพเทวดามาร
ปีศาจ ไม่น้อยหน้าคนด้านนอกเลย
“ดูท่าแล้ว ครานี้ความเป็นพระญาติแสนโปรดปรานของ
ตระกูลเกาคงได้อ่อนแอลงแล้ว”
“ควรจะอ่อนแอลงได้แล้ว”
บางคนก็ยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น บางคนก็แค้นหัวเราะ
เหยียดหยาม
“แล้วอย่างไรเล่า” มีผู้เฒ่าคนหนึ่งถือถ้วยสุราไว้ในมือเบ้ปาก
เอ่ยขึ้น “มีเพียงคนตายเท่านั้นที่จะหมดกำลัง คนที่ยังมีชีวิตอยู่
ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา อย่าลืมว่ายามนี้ฮ่องเต้
เหลือแค่ผิงอ๋องแล้ว”
นั่นสิ ยามนี้ฮ่องเต้เหลือแค่ผิงอ๋องแล้วภายในห้องหนังสือตระกูลเกา มีคนกัดฟันเอ่ยประโยคนี้ขึ้น
ท่ามกลางบรรยากาศกดดัน
“ถูกต้อง ตระกูลเกาของเราไม่กลัวหรอก!” ท่านชายเกาเอ่ยขึ้น
ลำคออวบอ้วนดูแล้วหนาขึ้นมากกว่าเดิม จนเหมือนหายใจลำบาก
ถึงขั้นใบหน้าแดงก่ำถลึงตาเบิกโต “ฝ่าบาททรงกริ้วมาก ต่อให้
สังหารผิงอ๋องเพื่อชดใช้ให้แก่องค์ชายน้อยนั่น พวกเราตระกูลเกาก็
รับรองได้ว่าจะไม่ขวางไว้”
เกาหลิงปอเหลือบมองเขา
“พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร” เขาเอ่ย
“ระบายอารมณ์ ข้าเอ่ยวาจาโหดเหี้ยมออกมาเพื่อระบาย
อารมณ์ อึดอัดจะตายอยู่แล้ว นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน โดน
ใส่ร้ายป้ายสีไม่เป็นธรรมเลย” ท่านชายเกาเอ่ยอย่างเดือดดาล “ท่าน
พ่อ ฝ่าบาทเลอะเลือนไปแล้วกระมัง สิ่งที่พระองค์คิดมีแต่อะไรก็ไม่รู้
!”
“ไม่โทษที่ฮ่องเต้เลอะเลือน ต้องโทษคนที่วางหมาก
ฉลาดเฉลียว” เกาหลิงปอเอ่ย สีหน้าน้ำเสียงยังคงดังเดิม เหมือนว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นทั้งนั้น แต่ยามพูดจานั้นนวดขาอยู่บ่อยๆ
นี่คือผลลัพธ์เมื่อวานที่เขาคุกเข่าอยู่ในตำหนักฉินเจิ้งอยู่
นานสองนาน
เห็นบิดานวดขา ท่านชายเกาก็ยิ่งโมโหหนัก
“ท่านพ่อ ตอนนั้นไม่น่าคุกเข่าเลย เหตุใดท่านต้องคุกเข่าด้วย
ท่านคุกเข่าไปก็หมายความว่าพวกเราผิดไม่ใช่หรือไร หมายความว่า
เรื่องนี้เป็นเหนียงเหนียงที่ทำไม่ใช่หรือ” เขากระทืบเท้าตะคอก
“เหลวไหล ใครบอกว่าข้าคุกเข่าเพราะยอมรับผิดกัน แค่
ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทต้องเคร่งครัดธรรมเนียมแค่นั้นเอง” เกาห
ลิงปอเอ่ย “อีกอย่าง ข้าคุกเข่าลงเพราะไม่ยอมรับอยู่เห็นๆ”
หากยอมรับผิดจริงเช่นนั้นตอนคุกเข่าคงต้องขออภัยโทษ
ลาออกกลับบ้านอะไรทำนองนั้นไปแล้ว ตอนนั้นเขาไม่ได้พูดอะไร
ออกมาทั้งสิ้น พอฮ่องเต้เอ่ยถามประโยคนั้นขึ้น เขาก็ถลกชายเสื้อ
คุกเข่าลงทันที คุกเข่าตัวตั้งตรง ปล่อยให้ฮ่องเต้ทั้งพูดทั้งถาม ไม่ได้
ตอบไปแม้แต่คำเดียว
ในเมื่อเจ้าไม่ฟัง เช่นนั้นข้าก็ไม่พูดไม่มีหลักฐาน อาศัยแค่คำทำนายปรากฏการณ์ท้องฟ้า
ประโยคเดียวมาตัดสินว่ากุ้ยเฟยทำร้ายคน บนโลกนี้ไม่มีเรื่องที่
ง่ายดายเพียงนั้นหรอก!
“คนของสำ นักราชกิจส่วนพระองค์กำลังตรวจสอบกุ้ยเฟย”
ชิงเค่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “เพียงแต่ใครก็ไม่กล้าตรวจสอบ
มีเพียงคนที่มีเหตุจูงใจเท่านั้นที่จะทำ”
ล้วนเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ไม่ใช่เด็กทารกกันเสียหน่อย
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีในมือกุ้ยเฟยก็…
“ตรวจสอบรึ” เกาหลิงปอหัวเราะเย็นเยียบออกมา “แม้กระทั่ง
เรื่องใส่ร้ายพระสนมอัน ยังถูกใส่ความมาให้แล้ว ข้อหาอื่นจะไม่อาจ
ใส่ความได้อีกหรือ พวกเขาตรวจเจออะไร ก็ต้องยอมรับเช่นนั้นหรือ”
“แล้วต้องให้กุ้ยเฟยทำอะไรหรือไม่” ชิงเค่อเอ่ยถาม
อย่างเช่นสิ่งที่หญิงสาวมักจะใช้บ่อยๆ สิ่งที่ใช้แสดงถึงความ
น้อยอกน้อยใจ สามารถใช้ความเดือดดาล ใช้ความเสียใจ
ใช้การทำร้ายร่างกายตัวเอง…“ไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่ทำเรื่องละอายใจ ไม่กลัวผีมาเคาะ
ประตู” เกาหลิงปอเอ่ย
ได้ยินประโยคนี้ทุกคนในที่นั้นต่างมีสีหน้าแปลกประหลาด
ประโยคนี้ ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง…
เกาหลิงปอถลึงตาใส่ทุกคนด้วยความไม่สบอารมณ์
“ผิงอ๋อง! ผิงอ๋อง!” เขาเอ่ยเตือนขึ้น “มีผิงอ๋องอยู่ ก็คือแรง
กำลังของนาง!”
พูดถึงตรงนี้ก็ตบลงบนโต๊ะ
“ไป ไปบอกกุ้ยเฟยว่า คนตระกูลเกาของเราไม่ได้โดนทำให้
เสียขวัญ ยามนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็อย่าได้ก้มหน้า อย่าสูญเสีย
ฐานันดรของนางไป”
บ่าวรับใช้คนหนึ่งขานรับก้มหน้าออกไป
“แล้วจะให้ผิงอ๋องทำอะไรหรือ” ท่านชายเกาคิดบางอย่างได้
จึงรีบเอ่ยถาม “ให้ผิงอ๋องไปร้องทุกข์ว่าโดนใส่ร้ายแทนกุ้ยเฟยดี
หรือไม่”
เกาหลิงปอส่ายหัวทันที“ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา ยิ่งไม่อาจไปร้องแหกปากว่าโดน
ใส่ร้ายได้” เขาเอ่ย “ฮ่องเต้เป็นบิดาของเขา กุ้ยเฟยเป็นมารดาของ
เขา บิดามีความผิด คนเป็นลูกจะไปตำหนิติเตียนได้อย่างไร ต้อง
กตัญญูรู้คุณ ยามนี้เขาแค่ต้องกตัญญูรู้คุณก็พอแล้ว”
ชิงเค่อพยักหน้าด้วยเช่นกัน
“กุ้ยเฟยไม่อาจยอมรับผิด พวกเราไม่อาจยอมรับผิด แต่ใน
ฐานะผิงอ๋องที่เป็นลูกทำได้” เขาเอ่ย “พ่อแม่เกิดความร้าวฉานขึ้น
คนเป็นลูกต้องเสียใจและโทษตัวเอง”
ท่านชายเกาฟังจนรำคาญ
“แล้วสรุปจะให้เขาทำอะไรกันแน่” เขาเอ่ยถาม
“เขียนจดหมายแสดงความเสียใจของตัวเอง ยินยอมรับโทษ
แทนมารดา” เกาหลิงปอเอ่ย
ท่านชายเกาสีหน้าไม่พอใจ
“เพราะเหตุใดกัน” เขาพึมพำขึ้น
“เพราะเขาเป็นลูกน่ะสิ! คนเป็นลูก จะมีคำถามมากมายได้
อย่างไร!” เกาหลิงปอตวาดอย่างไม่สบอารมณ์ ถลึงตามองเขา“ท่าทางไม่ยอมแพ้เช่นนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร วันหน้าหาก
ข้ามีเรื่องเล็กน้อย กระทั่งไปคุกเข่าแทนข้า เจ้าก็จะไม่ยอมทำหรือ
เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้าอย่างนั้นรึ”
ท่านชายเกาหน้าเหยเก
“ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรน่ะ นี่มันเกี่ยวอะไรกัน” เขาเอ่ย “ท่าน
แช่งตัวเองแบบนี้ไม่ได้นะ”
เกาหลิงปอถลึงตาใส่เขา
“มีเจ้าหาเรื่องหาราวมาให้ข้า ไม่แช่งข้าก็ซวยอยู่ดี” เขาเอ่ย
อย่างไม่สบอารมณ์
นั่นเรียกว่าข้าหาเรื่องหาราวได้อย่างไร เรื่องนั้นมีสาเหตุ
มาจากนางสารเลวเฉิงนั่น
ตอนนั้นก็น่าจะฆ่านางไปในโถงใหญ่แล้ว จะได้ไม่ต้องอยู่ดีๆ ก็
โดนว่าแบบนี้
ท่านชายเกาเสียดายนักเมื่อนึกถึง
“จะว่าไปแล้วสุดท้ายก็ต้องโทษฝ่าบาท หากแต่งตั้งผิงอ๋องเป็น
รัชทายาทเสียตั้งแต่แรก ก็ตคงไม่มีใครคิดเช่นนี้…” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง พูดถึงตรงนี้ก็พลันพยักหน้า “ท่านพ่อ ข้าว่า ฝ่าบาทเกิด
ความคิดอื่นขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว”
เกาหลิงปอแค่นเสียงเฮอะ
“เรื่องที่แล้วมาล้วนไม่จำ เป็นต้องเอ่ยถึง มันไม่ใช่สาระสำ คัญ
แล้ว” เขาเอ่ยพลางทุบนวดหัวเข่า “ยามนี้ ฝ่าบาทไม่มีความคิดอื่น
แล้วด้วย”
ยามนี้เหลือแค่ผิงอ๋องคนเดียว ฮ่องเต้ยังจะทำอะไรได้อีก
“ดังนั้นเรื่องนี้ก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยแล้ว” ท่านชายเกายิ้ม
ตาหยีเอ่ย
“สำ หรับผิงอ๋องแล้วย่อมไม่เป็นไร แต่อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ไม่ดี
ต่อตระกูลเกาของเรา” ชิงเค่อที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “อันดับแรกก็
บรรดาขุนนางในราชสำ นัก หากไม่ผิดจากคาดล่ะก็ มีหลายคนที่
เขียนฎีกายื่นมติไม่ไว้วางใจใต้เท้าแล้ว อีกทั้งยามนี้ใต้เท้ากับฝ่าบาท
ก็ต่างฝ่ายต่างยืนกรานและไม่ยอมอ่อนข้อต่อกัน ฝ่าบาทต้อง
ใช้โอกาสนี้กดใต้เท้าไว้แน่ ครานี้เกรงว่าตระกูลเกาของเราได้
เสียหายแน่แล้ว”นั่นสิ เรื่องนี้เป็นปัญหาจริงๆ ยามนี้ฝ่าบาทต้องการระบาย
ความเดือดดาลและความเคียดแค้นที่สูญเสียโอรสไปโดยเร็วที่สุด
บรรยากาศภายในห้องอึมครึมขึ้นมาอีกครั้ง
“เป็นใครกันแน่ที่เล่นงานพวกเราอยู่ในที่ลับ!” ท่านชายเกาตบ
โต๊ะอย่างแรงพลางตวาดขึ้น
“ง่ายมาก” เกาหลิงปอเอ่ยเสียงเรียบ “หากตระกูลเกาของเรา
เสื่อมลง ใครได้ประโยชน์ก็คนนั้นแหละ”
ท่านชายเกาตกตะลึง
“นั่นมีเยอะแยะไป” เขาเอ่ย
มากกว่าครึ่งของขุนนางบู้บุ๋นทั่วทั้งราชสำ นักเข้าร่วม
การเล่นงานนี้หรือ เป็นไปได้อย่างไรที่ตระกูลเกาของพวกเขาจะ
ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด!
นั่นสิ เป็นไปไม่ได้ หากเป็นฝีมือของใครคนหนึ่งคงทำได้สำ เร็จ
แน่นอน แต่หากเป็นคนสามคนอาจจะไม่แน่ แต่หากเป็นคนทั้งกลุ่ม
ร่วมมือกันทำร้ายเกาหลิงปอผู้นี้ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย
เกาหลิงปอขมวดคิ้วเดิมทีเรื่องครานี้ควรเป็นเรื่องใส่ร้ายป้ายสีอย่างแจ่มแจ้งแท้ๆ
แต่สิ่งสำ คัญที่ทำให้ฮ่องเต้เชื่ออย่างสนิทใจก็คือดาวพระศุกร์จรัส
ฟ้าที่ถูกปิดบังเอาไว้ดวงนั้น
ฮ่องเต้บอกว่า เป็นคนของกุ้ยเฟยแอบขโมยบันทึก
ปรากฏการณ์ท้องฟ้าจากซือเทียนไถ อีกทั้งยังจงใจทำเป็นไม่รู้เรื่อง
อีก
ดาวพระศุกร์จรัสฟ้า…
คนของซือเทียนไถน่าจะไม่มีความผิดใหญ่หลวงอะไร ด้วย
ความสามารถของพวกเขา การพบเจอดาวพระศุกร์จรัสฟ้านั่น
เป็นไปไม่ได้…พอเป็นไปไม่ได้ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามป่าวประกาศ
คนพวกนี้แม้จะโง่เขลาแต่ก็ละเอียดรอบคอบมาก…
มิฉะนั้นแล้วหลายปีมานี้จะมีแค่กัวหย่วนคนเดียวที่กล้า
เอาชีวิตมาเดิมพันจันทรุปราคาได้อย่างไร…
จันทรุปราคา
แม่นางเฉิง…
ปรากฏการณ์ท้องฟ้า…“ไปตรวจสอบมาแล้ว เป็นฝีมือของศิษย์ผู้นั้น…ตอนนั้นซือ
เทียนไถวุ่นวายกันไปยกหนึ่ง ฝ่าบาทคงได้ยินเข้า…”
“ฝ่าบาทจึงเรียกแม่นางเฉิงมาถาม สุดท้ายถูกขวางไว้ ดังนั้น
จึงให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องไปถาม…”
“คิดๆ ดูแล้วแม่นางเฉิงก็บอกว่ามีเหมือนกัน ดังนั้นฝ่าบาท
จึงได้ตอบรับคำขอของศิษย์กัวหย่วนที่ตำหนัก…”
เสียงที่คล้ายไกลคล้ายใกล้ เหมือนชัดเจนเหมือนเลือนลางดัง
ขึ้นข้างหู
เกาหลิงปอนั่งตัวตรงขึ้น ค่อยๆ พยักหน้าอย่างเหม่อลอย
“ที่แท้วันนั้นฝ่าบาทเรียกแม่นางเฉิงเข้าเฝ้าก็เพราะเรื่องนี้”
เขาเอ่ยประโยคนั้นที่เคยพูดออกมาช้าๆ
ไม่คิดเลยว่า ประโยคนี้ของปีที่แล้วพูดออกมาในยามนี้ กลับ
ใช้ได้ถูกต้องเหมาะสมยิ่ง
…
“แย่แล้ว”ท่านชายฉินสิบสามลุกพรวด ทำเอาบรรดาสาวใช้ที่เล่น
หมากรุกอยู่ด้านข้างตกอกตกใจยกใหญ่
“ท่านชาย” พวกนางรีบลุกขึ้นมาถาม
ยังพูดไม่ทันจบ ท่านชายฉินสิบสามก็สาวเท้าออกไปข้างนอก
อย่างรวดเร็ว
“ท่านชาย ท่านชาย ชุดคลุมของท่านเจ้าค่ะ” บรรดาสาวใช้รีบ
คว้าชุดผ้าไหมที่แขวนอยู่บนไม้แขวนตามไป
การมาหาของท่านชายฉินสิบสาม ทำให้สาวใช้แปลกใจ
“นึกว่าท่านชายสิบสามจะไม่มาแล้ว” สาวใช้ยิ้มเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามมองนางพลางหยุดฝีเท้าลง
“เป็นเจ้าที่คิดหรือนายหญิงของเจ้าที่คิด” เขาเอ่ยขึ้น
“ข้านะสิเจ้าคะ” สาวใช้ยิ้มตาหยีเอ่ยบอก
“ดังนั้นเจ้าจึงกลายเป็นนายหญิงของเจ้าไม่ได้” ท่านชายฉินสิบ
สามส่ายหน้าเอ่ย สาวเท้าเข้าไปทางด้านใน
สาวใช้แลบลิ้นตามแผ่นหลังเขาไป
“เจ้ารู้ว่าดาวพระศุกร์ขึ้นจรัสฟ้าอย่างนั้นหรือ”เข้ามาในลานบ้าน ไม่ทันจะเข้ามานั่งในห้องโถง ท่านชายฉิน
สิบสามเอ่ยถามตรงระเบียงทันที
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ตอนนั้นเจ้าเห็นรึ” ท่านชายฉินสิบสามถาม
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าอีกครั้ง
“เหตุใดเจ้าไม่บอกเล่า” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถาม
“ไม่มีใครถามข้านี่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยบอก
ท่านชายฉินสิบสามสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย เห็นนางตอบอย่าง
จริงจัง ก็นึกอยากจะขำ แต่ก็ขำไม่ออก
ไม่มีใครถามข้า…
“เรื่องใหญ่โตเพียงนี้ ตอนนั้นเจ้าน่าจะทูลฝ่าบาทไปนะ”
ท่านชายฉินสิบสามทอดถอนใจ
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
“ท่านชายฉิน” นางเอ่ย “เรื่องปรากฏการณ์ท้องฟ้า การทำนาย
มงคลหรืออัปมงคล เป็นสิ่งที่ถ้าไม่ถามก็ไม่บอกกันหรอกเว้นเสียแต่ว่าจะเป็นซือเทียนไถ ไท่สื่อลิ่ง อยู่ตำแหน่งไหนก็ทำหน้าที่
นั้น
”
นี่นางกำลังโกรธหรือ
ท่านชายฉินสิบสามนิ่งอึ้งครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ยิ้มเจื่อนออกมา
“เรื่องนั้น ข้าไม่รู้ เจ้าอย่าได้โกรธเลย” เขาบอก
“ข้าไม่ได้โกรธ” เฉิงเจียวเหนียงบอก
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ มองนาง
“ข้าไม่ได้โทษเจ้าที่เจ้าไม่พูด แต่กำลังสะท้อนใจ” เขาหุบยิ้ม
อีกครั้ง เอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “สะท้อนใจที่เจ้าไปรับกรรมโดย
ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้าอีกแล้ว