พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 558 คำเดียว (1)
ไปรับกรรมโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างนั้นรึ
ปั้น
ฉินใจกระตุก
เกิดเรื่องขึ้นอีกแล้วจริงๆ หรือ
ความคิดแล่นผ่าน ปั้นฉินตกตะลึงไปอีกครั้ง เหตุใดนาง
จึงพูดว่า ‘จริงๆ หรือ’ ด้วย
“ไม่ได้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่หรอก” เฉิงเจียวเหนียงแย้มยิ้มพลางเอ่ย
“ล้วนมีต้นสายปลายเหตุให้ทำตาม”
ฉินหูหัวเราะออกมา
“ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนั้น ก็แสดงว่าสมเหตุสมผลแล้ว” เขาเอ่ย
“คนพูดไม่ได้ตั้งใจ คนฟังกลับเอาไปใส่ใจก็เท่านั้น” เฉิงเจียว
เหนียงเอ่ย
เมื่อก่อนตอนนายหญิงกับจวิ้นอ๋องพูดคุยกัน นางฟังไม่เข้าใจ
ยามนี้เหตุใดพอพูดกับท่านชายฉินนางก็ฟังไม่เข้าใจอีกเล่า
ปั้น
ฉินขมวดคิ้วอยู่ข้างกาย“เข้ามาคุยกันข้างในเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางทำท่าเชิญ
“ฟ้าดูท่าไม่ดีนัก อีกเดี๋ยวฝนจะตกแล้ว”
ฟ้าไม่ดีอย่างนั้นรึ
ปั้น
ฉินกับฉินหูต่างพากันมองฟ้าอย่างอดไม่ได้
ดวงตะวันเจิดจ้า ไร้ลมไร้คลื่น
“ข้าจะไปเก็บชุดแต่งงานที่ตากไว้ก่อน” ปั้นฉินรีบหันหลังเดิน
ไป
นายหญิงบอกว่าฝนจะตกเช่นนั้นก็จะตกแน่แล้ว
ชุดแต่งงาน…
ฉินหูตกตะลึงไปเล็กน้อย ละสายตากลับมาแล้วก้าวเข้าไปใน
โถงด้านใน
“เรื่องครานี้ ตั้งแต่ที่ฮ่องเต้เอ่ยเรื่องดาวพระศุกร์ขึ้นจรัส
ฟ้าออกมา เจ้าก็โดนลากเข้ามาเกี่ยวด้วยแล้ว”
เมื่อนั่งลงภายในห้องโถงเรียบร้อยแล้ว ฉินหูก็เอ่ยขึ้น เงยหน้า
มองเฉิงเจียวเหนียง ตั้งแต่วันนั้นหันหลังจากไป เขานึกว่ายามพบกัน
ใหม่จะต่างออกไป แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นราวกับไม่ว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อนเลย พวกเขายังคง
เหมือนดังเก่าก่อน ใช่แล้ว เหมือนดังเก่าก่อน
ดูสิ ยามนี้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาอีกแล้วดังคาด
“ตอนนั้นก่อนจันทรุปราคาฝ่าบาทเคยให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องถาม
เจ้ารึ”
“ใช่ ถามข้าว่ามีจันทรุปราคาหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงบอก “มิ
ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด จันทรุปราคาสามารถคำนวณกันได้
ไม่ใช่เรื่องที่รู้ได้เพียงคนเดียว”
ฉินหูพยักหน้า
“แต่ไหนแต่ไรมาจันทรุปราคาไม่ใช่ปัญหา” เขาเอ่ย “แต่
ปัญหาอยู่ที่คำว่า ‘ถาม’ มากกว่า”
พูดถึงตรงนี้ก็มองเฉิงเจียวเหนียง
“ทุกคนรู้ดีว่ามีคนมาถามเจ้า แต่ถามอะไรนั้น กลับไม่มีผู้ใดรู้
เลย มีเพียงเจ้ากับจิ้นอันจวิ้นอ๋องสองคนต่างรู้กัน”
…“ฮองเฮาดูแลทั่วทั้งวังหลังแล้ว”
“ฝ่าบาทเชื่อฟังความเห็นของฮองเฮา หลังจากไม่มีองค์ชาย
น้อยแล้ว ความรักความโปรดปรานที่มีต่อพระสนมอันยังคง
เหมือนเดิม ทรงพำนักอยู่ในตำหนักพระสนมอันทุกวัน เป็นผล
มาจากคำโน้มน้าวของฮองเฮา”
เมื่อได้ยินคำพูดของคนตรงหน้า สีหน้าของคนที่นั่งอยู่ก็ยิ่งดู
สู้ดีเสียยิ่งกว่าเดิม กลับมีเพียงเกาหลิงปอที่สีหน้าดังเดิม
บรรยากาศภายในห้องอึกอัดจนทำให้คนที่พูดอยู่ไม่กล้า
เงยหน้าขึ้น
“ภายในวังล้วนมีแต่คนของฮองเฮา กระทั่งในตำหนักของ
ไทเฮายังแยกไม่ออกแล้ว”
“การเคลื่อนไหวของหญิงนางนี้เร็วไม่น้อยทีเดียว” ท่านชาย
เกายิ้มเย็นเอ่ยขึ้น “เพียงไม่นานก็สับเปลี่ยนคนไปแล้ว นางไม่กลัว
ฝ่าบาทสงสัยหรือ”
คนที่พูดอยู่เงยหน้าขึ้นมองท่านชายเกาแวบหนึ่ง“ไม่ได้สับเปลี่ยนไปไม่นาน…” เขาเอ่ย “ไม่รู้ว่าเป็นคนของนาง
ไปตั้งแต่เมื่อใดต่างหาก…”
นึกไม่ถึงเลย!
ท่านชายเกาปากอ้าตาค้าง
ฮองเฮาที่ป่วยออดแอด จนกรมพิธีการเตรียมของที่ต้องฝังใน
โลงศพไว้เรียบร้อยแล้ว รอแค่เพียงนางหมดลมคนนั้น นึกไม่ถึงเลย
ว่าจะกุมอำนาจในวังหลังไว้โดยไม่ทันรู้ตัวแล้ว!
ล้อเล่นอะไรกัน!
จะเป็นไปได้อย่างไร!
ไทเฮา กุ้ยเฟยตายกันไปหมดแล้วหรือ
“เรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” เกาหลิงปอเอ่ยเสียงเรียบ “สุนัขที่
กัดคนอย่างโหดเหี้ยมที่สุด มักจะเป็นสุนัขที่หลบซ่อนอยู่เงียบๆ
ฮองเฮาหลบซ่อนอยู่ตั้งหลายปีเพื่อจะกัดคำนี้ น่ายกย่องเสียจริง”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ฮองเฮาคนเดียวจะทำได้” ชิงเค่อเอ่ยขึ้น “หาก
ไม่มีผลประโยชน์ที่เพียงพอ รวมถึงหลักประกันที่มั่นคง ฮองเฮาก็
ไม่อาจทำเรื่องนี้ได้แน่นอน”“ผลประโยชน์รึ ผลประโยชน์ก็คือไม่มีกุ้ยเฟย ล้มไทเฮาลง นาง
สูงที่สุดในวังหลวง ผิงอ๋องครองราชย์ ภายในวังก็มีเพียงนางคนเดียว
ที่เป็นไทเฮาแล้ว” เกาหลิงปอเอ่ย
แม้จะไม่ได้สวมมงกุฎเป็นฮองเฮาและได้รับตำแหน่งขุนนาง
แต่ในฐานะมารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้ ภายหน้า
กุ้ยเฟยย่อมสามารถถูกแต่งตั้งเป็นไทเฮาได้อยู่แล้ว
มีชื่อเสียงฐานันดร อีกทั้งตระกูลเกา ไหนจะฮ่องเต้ที่เติบโตขึ้น
ฮองเฮาที่เป็นไทเฮาผู้นี้ตายไปไวหน่อยก็จะสบายใจกว่า
ทว่ายามนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา กุ้ยเฟย
ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะถูกแต่งตั้งเป็นไทเฮาอีกแล้ว ตำแหน่งชายา
จะสามารถปกป้องไว้ได้หรือไม่ ก็ยังบอกไม่ได้แน่ชัด
“แล้วอย่างไรเล่า หรือไม่มีกุ้ยเฟยแล้ว ผิงอ๋องก็สามารถเรียก
นางว่ามารดาแล้วอย่างนั้นรึ” ท่านชายเกาเอ่ย
“ผิงอ๋องจะไม่เรียกนางว่ามารดาได้อีกหรือ” เกาหลิงปอถลึงตา
ตวาดใส่“มารดาก็แค่ชื่อเปลือกนอกเท่านั้น แต่ความแค้นใหญ่หลวงที่
ใส่ร้ายมารดาบังเกิดกล้าของตนนั้นยังอยู่ นางที่เป็นไทเฮาจะอยู่
สุขสบายได้หรือ…” ท่านชายเกาเบ้ปากเอ่ยอย่างเหยียดหยาม
เกาหลิงปอถุยใส่ขัดเขา
“เปลือกนอก เปลือกนอกแล้วอย่างไร ฮ่องเต้ที่นั่งบนบัลลังก์
เพียงแค่เปลือกนอกก็มีไม่น้อยเหมือนกัน” เขาเอ่ย
ก็จริง
แต่ไหนแต่ไรมาก็ฮ่องเต้ที่ปิดม่านฟังการประชุมหารือ ไทเฮา
คนก่อนเป็นผู้ฟังการประชุมมายี่สิบปีเต็ม ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
มังกรเบื้องหน้าก็เป็นเพียงแค่ฉากหน้าที่เอาประดับบารมี
“อยู่อย่างสุขสบายงั้นรึ แค้นใหญ่ที่ทำร้ายมารดา ฮองเฮา
จะปล่อยให้ผิงอ๋องอยู่อย่างสุขสบายงั้นหรือ ถึงจะยกสัจธรรมหรือ
ความกตัญญูมาอ้าง แต่ก็คงขัดขวางการใหญ่ใดไม่ได้ ทว่าอย่าง
น้อยก็สร้างปัญหาให้เขาได้ทุกฝีก้าว” เกาหลิงปอเลิกคิ้วเอ่ย “ส่วน
หลักประกันที่มั่นคง นั่นย่อมเป็นคำพูดของผู้คนทั่วหล้าแล้ว”“ยามนี้องค์ชายน้อยนั่นตายแล้ว ชาวบ้านต่างบอกว่าองค์ชาย
เป็นรัชทายาทที่สวรรค์ประทานมาตัวจริง หากข่าวคราวนี้คงอยู่
ต่อให้ผิงอ๋องขึ้นครองราชย์ในสายตาของชาวบ้านก็ด้อยกว่าองค์ชาย
น้อยอยู่ดี ไม่เป็นที่เคารพนับถือ”
ฮ่องเต้เช่นนี้ ไทเฮากลัวเขาสิแปลก
ฮ่องเต้เช่นนี้ ไทเฮาต้องใช้ชีวิตอย่างสบายใจและมีอิสระมาก
แน่
“ที่น่ากลัวคือคำพูดของผู้คนทั่วหล้านี่ละ” เกาหลิงปอลูบเครา
ถอนใจเอ่ย
ฮองเฮาเอ๋ยฮองเฮา เดินหมากที่ยอดเยี่ยมดังคาด
“ล้วนเป็นเพราะดาวพระศุกร์จรัสฟ้ากาลิกิณีดวงนั้น!”
ท่านชายเกาตะเบ็งขึ้นอย่างโมโห “ล้วนเป็นเพราะดาวพระศุกร์จรัส
ฟ้ากาลิกิณีดวงนั้น!”
เกาหลิงปอกลับหัวเราะ
“นั่นก็ไม่แน่เช่นกัน” เขาเอ่ย “ดาวพระศุกร์จรัสฟ้าไม่แน่ว่า
เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็ได้”เรื่องนี้จะยังเป็นเรื่องที่ดีได้อีกหรือ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว
ท่านชายเกาถลึงตาโต
ท่านพ่อครานี้โมโหจนเสียสติไปแล้วกระมัง
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วอย่างไร ก็แค่การเดินหมากตาหนึ่งเท่านั้น
ผลแพ้ชนะสุดท้ายยังไม่ได้ตัดสินเสียหน่อย” เกาหลิงปอเอ่ย
“ฮองเฮาและจิ้นอันจวิ้นอ๋องรู้ร่วมคิดกับแม่นางเฉิงนั่น
ใช้ดาวพระศุกร์จรัสฟ้ามาทำร้ายพวกเรา พวกเราก็สามารถ
ใช้ดาวพระศุกร์จรัสฟ้ามาทำร้ายพวกเขาได้เช่นกัน!”
“ท่านพ่อ พูดเช่นนี้ เรื่องนี้เป็นพวกเขาสามคนสมคบคิดทำขึ้น
มากันหรือ” ท่านชายเกาเอ่ยถาม “หากพวกเขาไม่ยอมรับจะทำ
เช่นไร”
“ไม่ยอมรับหรือ” เกาหลิงเปาหัวเราะออกมายกใหญ่ “เรื่องราว
บนโลกนี้ต้องยอมรับด้วยหรือ”
เสียงหัวเราะหยุดลง
“อีกอย่าง แม่นางเฉิงยอมรับว่านางรู้เรื่องดาวพระศุกร์จรัส
ฟ้ากับฮ่องเต้ในตำหนักแล้วไม่ใช่หรือไร และรู้คำทำนายว่ารัชทายาทจะได้รับอันตรายอีกด้วย”
…
ฉินหูดื่มชาคำหนึ่ง
“นี่เป็นชาจากต้นชาในเรือนรึ” เขาเอ่ยถามขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
ฉินหูแย้มยิ้ม ก้มหน้าลงครู่หนึ่ง
“ตอนนั้นในตำหนักเจ้าไม่ควรบอกว่ารู้เรื่องดาวพระศุกร์จรัส
ฟ้าเลย” เขาเอ่ยขึ้น ไม่รอให้เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น ก็เอ่ยต่อว่า “ข้ารู้
เจ้าจะพูดว่า ใช่ ข้ารู้”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาไม่พูดไม่จา
“เจ้ารู้ เจ้าก็ต้องพูดอยู่แล้ว รู้แต่ไม่พูด ไม่มีเรื่องใดที่ไม่อาจ
บอกให้คนอื่นรู้ได้ มีคนถามเจ้าก็ตอบ มีคนเชิญ เจ้าทำได้ก็
จะตอบรับ” ฉินหูมองนางพลางเอ่ยขึ้น
ถูกต้อง นางเป็นคนแบบนี้ ดูผิวเผินอาจจะน่ากลัวมาก แต่
ความจริงแล้วหากเปลี่ยนมุมมองใหม่ จะเห็นว่านางบริสุทธิ์อย่างมาก บริสุทธิ์ราวกับทารกที่อ่อนต่อโลก
“ดังนั้น เขาจึงใช้ประโยชน์จากเจ้า” ฉินหูเอ่ย “ตั้งแต่วินาทีที่
เขามาถามเจ้าเรื่องจันทรุปราคา ก็ได้คาดการณ์เรื่องราวในตอนนี้ไว้
แล้ว”
“เขากลับไม่ได้ถามข้าเรื่องดาวพระศุกร์จรัสฟ้า” เฉิงเจียว
เหนียงส่ายหน้าบอก
“เพราะสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ถามเจ้าว่ามีดาวพระศุกร์จรัส
ฟ้าหรือไม่” ฉินหูส่ายหน้า เลิกคิ้วเอ่ยว่า “สิ่งที่เขาต้องการก็แค่เอ่ย
ถาม”
พูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะอย่างเย็นชา
“นี่คือความปลิ้นปล้อนของเขา เพราะเขารู้ว่าเจ้าไม่พูดโกหก”
…
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”
ในการประชุมราชสำ นักของวังหลวงยามนี้ มีขุนนางใหญ่คน
หนึ่งลุกขึ้นมาอีก ถือฮู่ป่านเอ่ยขึ้นเสียงดังทูลเถิด ทูลเลย คาดว่าหลายวันนี้ฎีกายื่นมติไม่ไว้วางใจเกาห
ลิงปอ ฎีกาขอร้องกราบทูลให้ปลดกุ้ยเฟยถาโถมเข้ามาราวกับหิมะ
ทูลเถิด ทูลเลย ครานี้จะได้มองให้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าเกาหลิง
ปอผู้นี้มีพรรคพวกเท่าใด
ดูซิว่ามีคนเท่าใดที่หัวเราะเยาะฮ่องเต้ผู้นี้ที่ไม่มีทางเลือก
จำ ต้องปล่อยให้ตระกูลเกาและกุ้ยเฟยกำเริบเสิบสาน หยอกพระองค์
เล่นเหมือนกับคนโง่
มีปัญญาเจ้าก็เดือดดาลฆ่าผิงอ๋องเอาชีวิตมาชดใช้ให้องค์ชาย
น้อยเลยสิ
เจ้ากล้าหรือไม่ กล้าหรือไม่
เจ้าไม่กล้า! เพราะเจ้าไม่มีลูกชายคนอื่นอีกแล้ว! ดังนั้นพวกเรา
จึงได้กล้าอย่างไรเล่า!
ข้างหูของฮ่องเต้ราวกับมีเสียงหัวเราะจำ นวนนับไม่ถ้วนดังขึ้น
เด็กเอย ผู้ใหญ่เอย ชายเอย หญิงเอย…
มือพระองค์กำหมัดแน่นอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งยังสั่นเล็กน้อย
ภาพเบื้องหน้าคล้ายจะพร่ามัว“ฝ่าบาท”
เสียงขันทีเอ่ยเรียกอยู่ข้างหูเบาๆ แฝงไว้ด้วยความตื่นตระหนก
เสียงหัวเราะจอแจหายไป สายตากลับมาแจ่มชัดดังเดิม
ฮ่องเต้สูดหายใจลึก ปรับความวุ่นวายในใจ ยกมือนวดขมับไปมา
เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
“ว่ามา” พระองค์เอ่ย
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอให้สอบสวนเรื่องดาวพระศุกร์จรัสฟ้าที่
ปกปิดไว้ไม่รายงานอย่างละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางใหญ่คนนั้นเอ่ย
เสียงดัง
ถูกต้อง สอบสวนอย่างละเอียด สอบสวนกุ้ยเฟยรวมถึงเกาห
ลิงปอและพรรคพวกว่าสมรู้ร่วมคิดกับซือเทียนไถได้อย่างไร
ใช้ประโยชน์คำนายของปรากฏการณ์ท้องฟ้าหรือไม่ก็แผน
การทำร้ายองค์ชาย
ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นในใจ
“โปรดตรวจสอบจิ้นอันจวิ้นอ๋องกับแม่นางเฉิงแห่งเจียงโจว
ข้อหามีเจตนาร้ายด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของขุนนางใหญ่ดังขึ้นต่อว่าอย่างไรนะ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องน่ะหรือ แม่นางเฉิงแห่งเจียงโจวอย่างนั้นรึ
เฉินเซ่าที่ยืนอยู่ในตำหนักสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย อารมณ์ใน
ใจตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด
ดังนั้น สุดท้าย นางก็ยังโดนลากเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ดี
บางครั้งมีเก่งกาจมากเกินไปก็ยุ่งยาก
ฮ่องเต้นั่งหลังตรงขึ้นโดยพลัน มองขุนนางใหญ่ที่ยังคงเอ่ย
พล่ามไม่ลดละคนนั้น แล้วหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
นี่คือการโจมตีคืนของพรรคพวกเกาหลิงปอสินะ เป็นอย่างที่
คิดไว้ไม่มีผิด
ทว่าไม่นานรอยยิ้มมุมปากของพระองค์ก็หายไป
“ในเมื่อแม่นางเฉิงนั่นสามารถรู้สุริยุปราคา จันทรุปราคาได้
เหตุใดจะไม่ทราบเรื่องดาวพระศุกร์จรัสฟ้า”
“ดาวพระศุกร์จรัสฟ้าเกิดก่อนจันทรุปราคา ก่อนจันทรุปราคา
ฝ่าบาทรับสั่งให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องไปถามแม่นางเฉิงเป็นการส่วนตัว
หากนางรู้ว่าก่อนจันทรุปราคาจะมีดาวพระศุกร์จรัสฟ้า เหตุใดจึงไม่กราบทูลฝ่าบาท หากบอกว่านางไม่รู้ เช่นนั้นเหตุใดตอนเข้าเฝ้า
ฝ่าบาทเมื่อไม่กี่วันก่อนจึงทูลฝ่าบาทว่าทราบ”
“ฝ่าบาทบอกว่ากุ้ยเฟยรู้ว่ามีดาวพระศุกร์จรัสฟ้า แต่ฝ่าบาท
กับทุกคนทั้งแผ่นดินไม่รู้”
“กระหม่อมคิดว่าไม่ใช่คนทั้งแผ่นดินไม่รู้ แต่มีคนจงใจปกปิด
คนทั่วทั้งแผ่นดินมากกว่า”
“โปรดตรวจสอบ กุ้ยเฟยเป็นผู้รู้ก่อน หรือว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องรู้
ก่อน หรือว่าแม่นางเฉิงรู้ก่อนกันแน่”
ไม่ว่าใครรู้ก่อน ก็มีแต่พระองค์ที่เป็นฮ่องเต้ที่ไม่รู้อะไรเลย!
ภายในท้องพระโรงเงียบงันไร้เสียง สีพระพักตร์ฝ่าบาทเขียว
คล้ำ
“ใครก็ได้ ไปเรียกตัวจิ้นอันจวิ้นอ๋องกับแม่นางเฉิงมา” พระองค์
เอ่ยขึ้นช้าๆ
…“จะว่าไปแล้ว ที่พวกเรายังมีหวังเรื่องนี้อยู่ ต้องขอบคุณเฉินเซ่า
ยิ่งนัก”
เกาหลิงปอเอ่ย แย้มยิ้มเล็กน้อย
“หากไม่ใช่เพราะเขาห้ามฮ่องเต้เรียกแม่นางเฉิงเข้าเฝ้ายาม
เกิดจันทรุปราคาครั้งนั้น ก็คงจะไม่มีโอกาสในวันนี้”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็มองไปยังทุกคนภายในห้อง
“อีกอย่าง ได้ไปบอกทางผิงอ๋องหรือยัง” เขาเอ่ยถาม
“เขียนจดหมายหรือยัง”
ท่านชายเการีบพยักหน้า
“บอกแล้ว บอกแล้ว วันนี้หลังเลิกประชุมฝ่าบาท
จะเขียนจดหมาย และเข้าวังไปแล้ว”
เกาหลิงปอพรูลมออกมา
“คิดไม่ถึงว่าเดินหมากนี้ไป กระบองที่ตีพวกเราทุกคนจนรับมือ
กันไม่ทัน จะเป็นของสามสิ่งนี้” เขาเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“ข้าบอกให้กำจัดจิ้นอันจวิ้นอ๋องผู้นี้ออกไปตั้งนานแล้ว”
ท่านชายเกาเอ่ยอย่างเคียดแค้น“ไร้สาระ ข้าไม่ได้กำจัดหรือไร” เกาหลิงปอถลึงตาใส่เขา พลาง
หัวเราะเสียงเย็น “เมื่อก่อนมักจะบอกว่าเป็นเหตุสุดวิสัย เป็นเขาที่
โชคดี ดูท่าแล้วยามนี้เดิมทีก็ถูกคนเขาเล่นงาน แล้วกำลังรับมืออยู่
เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากกำจัด แต่กำจัดไม่สำ เร็จสักที
ต่างหาก!”
เห็นได้ชัดว่าคนที่เล่นงานคน คนก็โดนคนอื่นเล่นงานได้
เหมือนกัน ไม่ว่าใครก็อย่าได้ดูถูกใคร
“ก็ยังดูถูกอยู่ดี” เขาถอนใจเอ่ยขึ้น
ช่างน่าโมโหเสียจริง แต่ก็ไม่เป็นไร
“ยังมีโอกาส” เขาบอก “ครานี้ต้องกำจัดเขาให้ได้”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็วางถ้วยชาในมือลงอย่างแรง
ท่านชายเกาพยักหน้าพลัน
“ยังคงเป็นแม่นางเฉิงที่ชั่วช้านั่น” เขาเอ่ย “ตอนนั้นน่าจะอาศัย
จังหวะที่หอเต๋อเซิ่งฆ่านางเสีย”
เกาหลิงปอมองเขาแวบหนึ่ง“เจ้าอย่ามาทำตัวไร้ค่าอยู่ที่นี่ เข้าวังไปดูผิงอ๋องเสียหน่อย”
เขาเอ่ย “อย่าให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ฮองเฮายังซ่อนทางหนีทีไล่ใด
ไว้อีกก็ไม่อาจบอกได้”
ท่านชายเกาขานรับ
“เช่นนั้นข้ากับท่านแม่จะไปเยี่ยมไทเฮา ในเมื่อฮองเฮาบอกกับ
ภายนอกว่าไทเฮาประชวร เช่นนั้นก็ไม่อาจขวางพวกเราไม่ให้ไป
เยี่ยมได้เช่นกัน หากคนตระกูลเกาอย่างพวกเราแค่ไทเฮายังไม่อาจ
ไปเยี่ยมได้ พวกเราต้องสงสัยแล้วว่าไทเฮาก็โดนทำร้ายด้วยเช่นกัน
ใช่หรือไม่”
…
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท”
ภายในวังหลวง ผิงอ๋องเดินด้วยฝีเท้ารีบเร่ง ขันทีด้านหลัง
ตะโกนเรียกขึ้น
“น่ารำคาญ!” ผิงอ๋องหยุดฝีเท้าลงโดยพลัน เลิกคิ้วมองขันที
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ไปก็คือไม่ไป”“ฝ่าบาท ท่านจะไม่ไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีสีหน้าทั้งกังวล
ทั้ง
ร้อนใจ พลางเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น…”
“เรื่องพรรค์นี้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า!” ผิงอ๋องตวาด “เกี่ยว
อะไรกับข้ากัน! ข้าเป็นผู้ถูกกระทำนะ! แหกตาดูบ้างว่ายามนี้ข้ากลาย
เป็นตัวอะไรในสายตาคนข้างนอกแล้ว!”
ไอ้เด็กนั่นที่ตายไปเป็นโอรสสวรรค์ที่แท้จริง! ข้าเป็นตัวปลอม!
ข้าเป็นแค่ตัวปลอม!
ข้า!
ข้าฉลาดเพียงนี้ มีความสามารถเพียงนี้ และเป็นถึงชินอ๋อง!
เพราะการตายของไอ้เด็กที่ยังไม่โตนั่น ข้าจึงได้กลายเป็น
ตัวตลกของคนทั้งแผ่นดิน