พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 559 เปลี่ยนไปแล้ว
เสียงสายฟ้าคำราม ฝนกระหน่ำราวกับเทลงมา
หน้าตำหนักฉินเจิ้งเงียบงันไปทั่วทั้งบริเวณ
คนวิ่งพรวดออกมาพุ่งไปยังผิงอ๋องที่ล้มลงกับพื้น ความ
เงียบงันถูกทำลายลง
ฝูงชนที่นิ่งชะงักไปหันไปมอง ก็เห็นคนผู้หนึ่งซึ่งคือจิ้นอันจวิ้น
อ๋อง
“ใครก็ได้ ใครก็ได้ รีบตามหมอหลวงเร็ว!” จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
ตะโกนขึ้นเสียงดัง
ในที่สุดเสียงนี้ก็ทำให้ทุกคนหลุดจากภวังค์
“เร็วเข้า เร็วเข้า”
ทุกคนต่างเริ่มตะโกนเสียงดัง ทว่าคนที่เข้าไปหากลับมีไม่กี่คน
ภายใต้สายฝน ผู้คนที่ล้มลงกับพื้นกลับไม่ได้ตายทั้งหมด
มีจำ นวนมากในนั้นที่ยังขยับได้ กำลังทั้งร้องไห้ทั้งตะโกนเรียกภาพเหตุการณ์นี้ช่างน่าตกตะลึงนัก บนท้องฟ้ายังมีเสียง
สายฟ้าคำรามอยู่
ใครจะไปรู้ว่าครั้งต่อไปจะฟาดไปที่ใคร
ใครจะรู้ว่าสวรรค์จะโกรธกริ้วเพราะพวกเขาเข้าไปใกล้แล้ว
ฟาดผ่าลงมาอีกครั้งหรือไม่…
ท่านชายเกาตะโกนโหวกเหวกอยู่ในใจ ทว่าเป็นการตะโกนร้อง
ที่ไม่มีความหมายเลยสักนิด
ถูกฟ้าผ่าแล้ว! โดนฟ้าผ่าแล้ว!
‘ข้ายอมรับผิดอย่างสัตย์จริง ข้ามารับโทษด้วยความสัตว์จริง
หากโกหกแม้ครึ่งคำ ขอให้ฟ้าผ่า’
ที่แท้ ก็โดน โดนจริงๆ…
ท่านชายเกากู่ร้องออกมา หันหลังวิ่ง แต่เพราะแข้งขาอ่อน
จึงล้มลงกับพื้น คลานอย่างลนลาน
เฉินเซ่าลุกขึ้นมาแล้ว แม้ครึ่งท่อนบนจะยังชาอยู่ แต่เห็นผิง
อ๋องที่อยู่ตรงหน้า เขาจึงยังคงดิ้นรนคลานไป
เกิดเรื่องใดขึ้นเกิดอะไรขึ้นหรือ
เกิดอะไรขึ้นกัน
บรรดาขุนนางที่ยืนอยู่หน้าประตูพลันได้ยินเสียงถามจาก
ด้านหลัง
แย่แล้ว!
ชั่วขณะนั้นขุนนางทุกคนต่างหันไปมองอย่างอดไม่ได้
จะเผชิญหน้ากับพ่อที่เสียลูกไปสองคนติดกันในไม่กี่วันอย่างไร
ดี
อีกทั้งพ่อคนนี้ยังเป็นฮ่องเต้อีก ซ้ำ ลูกสองคนนั่นเป็นรัชทายาท
ของแผ่นดินอีกด้วย…
ภายในท้องพระโรงเงียบงันไร้เสียง
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงของฮ่องเต้ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อครู่เสียงสายฟ้าระเบิดเสียจน
ในหัวของพระองค์อื้ออึงจนเกือบจะหมดสติไป ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
และไม่เห็นอะไรด้วย กว่าจะได้สติคืนมาก็เห็นบรรดาขุนนางต่างยืน
กันอยู่หน้าประตูแล้วเมื่อครู่ฟ้าผ่า พระองค์คล้ายว่าจะได้ยินเสียงกรีดร้องด้วย มีคน
โดนฟ้าผ่าใช่หรือไม่
เป็นเฉินเซ่าหรือ เมื่อครู่เฉินเซ่าเดินไป
เฉินเซ่าโดนฟ้าผ่าหรือ
“เกิดอะไรขึ้น!” ฮ่องเต้ตะคอกเสียงดังขึ้นอย่างแรง
บรรดาขุนนางยังไม่ทันจะเอ่ยขึ้น เสียงเฉินเซ่าก็ดังขึ้นมาจาก
ด้านนอก
“หากเข้ามา หามเข้ามาในตำหนัก”
สีหน้าฮ่องเต้ผ่อนคลายลง
ดียิ่ง เฉินเซ่าปลอดภัย ฟังจากน้ำเสียงที่มีเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยมนี้
ดียิ่ง จะเกิดอะไรขึ้นกับเฉินเซ่าไม่ได้ ยังต้องอาศัยเขาสนับสนุน
ผิงอ๋องให้เติบโตต่อไป
“รีบไปตามหมอหลวงมา รีบไปตามหมอหลวงมา”
มีคนตะโกนขึ้นเสียงดังอีก แต่มีคนเอ่ยห้ามไว้อย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องไปตามหมอหลวงแล้ว!”คำพูดนี้ทำให้ทุกคนต่างหันไปมอง บรรดาขันทียามนี้ยกผิง
อ๋องขึ้นมาบนระเบียงแล้ว ได้ยินเข้าก็หยุดฝีเท้าลงอย่างตื่นตกใจ
ขุนนางคนนั้นก้มหน้ามองผิงอ๋องที่ใกล้เข้ามา กลืนน้ำลายไป
อึกหนึ่ง
“ไปเชิญแม่นางเฉิงมาดีกว่า” เขาเอ่ยอย่างฝืนใจ
บางทีเตรียมงานศพไปเลยจะดีกว่า…
น่าจะไม่ยากเกินไป…
กรมพิธีการเตรียมงานพระศพให้ฮองเฮาเรียบร้อยหลายปีแล้ว
แม้เสื้อผ้าอาภรณ์อะไรพวกนั้นจะไม่เหมาะสม แต่โลงศพและอื่นๆ ก็
สามารถใช้ได้…
สุสานก็ไม่มีปัญหา…
แต่ไม่รู้ว่าผิงอ๋องจะเข้าสุสานกษัตริย์ได้หรือไม่…
อย่างไรเสียเขาก็โดนฟ้าผ่าตาย นี่มัน เป็นคนที่เป็นภัยและ
อันตราย…
นะ…นี่…
เขาคิดมากเกินไปใช่หรือไม่ความคิดเพิ่งจะแวบขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงดังตุ้บ ขุนนางที่มาล้อม
ทางนี้เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ กลับเห็นฮ่องเต้ที่ไม่รู้ว่าเสด็จมาทางนี้
ตั้ง
แต่เมื่อใดล้มลงกับพื้น
“ฝ่าบาท!”
ภายในท้องพระโรงพลันโกลาหลกันขึ้นมา
ความโหวกเหวกโกลาหลนี้ฮ่องเต้ไม่ได้ยินอีกแล้ว สายตาของ
พระองค์มีเพียงใบหน้าดำมะเมื่อมของผิงอ๋อง…
ไม่ ไม่ ไม่
นั่นไม่ใช่ผิงอ๋องของพระองค์ นั่นไม่ใช่! นั่นไม่ใช่!
ดีอะไรกันล่ะ เฉินเซ่าปลอดภัยดี แต่ผิงอ๋องคนนั้นที่ต้องให้เขา
สนับสนุนกลับไม่ต้องเติบโตอีกต่อไปแล้ว
สุดท้ายความคิดนี้ก็เคลื่อนผ่าน ฮ่องเต้ดำดิ่งลงสู่ความมืดมิด
โดยสิ้นเชิง
เห็นฝูงชนที่กรูกันไปทางฮ่องเต้ ทว่าครานี้เฉินเซ่ากลับไม่ได้พุ่ง
เข้าไปด้วย แต่ยืนอยู่ที่เดิมมาอำมาตย์เฉินผู้สุขุมรอบคอบแต่ไหนแต่ไรมา ยามนี้สภาพ
กลับอเนจอนาถ น้ำฝนรดพรมผมเผ้าเสื้อผ้าเปียกชุ่ม อีกทั้งเมื่อครู่
คลานอยู่ท่ามกลางสายฝน รองเท้าหลุดไปข้างหนึ่ง สวมเพียงถุงเท้า
ขาว ยามนี้สีหน้าเหม่อลอย มองผิงอ๋องที่ถูกทิ้งไว้ทางตัวเอง แล้ว
มองฮ่องเต้ที่โดนฝูงชนห้อมล้อมทางนั้น
“ยามนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ แล้ว” เขาพึมพำขึ้น
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
เขาคงไม่ได้กำลังฝันไปหรอกกระมัง
ฝันร้ายนี้ช่างไร้เหตุผลเกินไปจริงๆ
ในขณะที่ในวังกำลังโกลาหล ในที่สุดรถม้าของเฉิงเจียวเหนียง
ก็จอดอยู่หน้าประตูวัง
ฝนฟ้ามาอย่างรวดเร็ว และจากไปอย่างว่องไวเช่นกัน นางลง
จากรถมาก็แทบจะไม่ต้องใช้ปั้นฉินถือร่มมาบังแล้ว
“ขอบคุณคุณชายฉินยิ่งที่มาส่ง เชิญกลับเถิด” นางหันหลังไป
คำนับพลางเอ่ยกับฉินหูทางอีกด้านของรถฉินหูกลับไม่ได้มองนาง แต่ขมวดคิ้วมองไปหน้าประตูวัง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
เหตุใดจึงโกลาหลวุ่นวายไปหมด
เฉิงเจียวเหนียงก็หันมองไปเช่นกัน เห็นองครักษ์อีกฝั่งมอง
มาทางพวกนาง กำลังจะยกมือขึ้นชี้ ก็มีขันทีกลุ่มหนึ่งวิ่งโซซัดโซเซ
มา
“แม่นางเฉิง แม่นางเฉิง ท่านมาแล้ว เร็วเข้า เร็วเข้า” พวกเขา
ตะโกนเรียกเสียงสั่น
เรียกเข้าเฝ้าเพื่อสอบถาม เหตุใดสีหน้าท่าทางขันทีพวกนี้จึงได้
แปลกประหลาดเช่นนี้
ฉินหูขมวดคิ้ว ทางด้านเฉิงเจียวเหนียงยกเท้าเดินไปแล้ว เขา
ยื่นมือไปคว้าข้อมือนางไว้โดยสัญชาตญาณ
ปั้น
ฉินตกใจยกใหญ่
นี่มันท่ามกลางที่สาธารณะ ซ้ำ ยังหน้าประตูวังหลวงอีก นาย
หญิงของนางสัญญากับจิ้นอันจวิ้นอ๋องไปแล้วนะ!
นางก้าวเข้าไปกำลังจะเบียดฉินหูออก“ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากล” ฉินหูเอ่ยขึ้น
ฝีเท้าปั้นฉินหยุดลง
เรื่องไม่ชอบมาพากลอีกแล้วหรือ
“โธ่ เร็วเข้าเถิดขอรับ!” บรรดาขันทีต่างกระทืบเท้ากันแล้ว
ยื่นมือจะลากตัวนางเข้าไป
เฉิงเจียวเหนียงอมยิ้มคำนับ
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ” นางบอก
ฉินหูลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือออก ในใจพลัน
เจ็บปวดขึ้น
เหตุใดจึงเจ็บปวดได้เล่า เหมือนกับว่าการปล่อยมือครานี้ แต่นี้
ไปจะไม่ได้พบอีกแล้วอย่างไรอย่างนั้น
น่าแปลกประหลาดเสียจริง!
ยามนี้ไม่ใช่เวลามาคิดวุ่นวาย เรื่องแต่งงานยามนี้เป็นเรื่องเล็ก
…
อ๋อ…
เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องเล็กอย่างไรเล่า…ฉินหูใจหาย แต่ทันใดนั้นก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
เช่นนั้นแล้ว ทุกอย่างในยามนี้ เป็นสิ่งที่นางคาดคิดไว้ทั้งหมด
เลยหรือ นั่นก็หมายความว่า…
ไม่! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เกี่ยวกับนาง! หาก
จะบอกว่าเกี่ยวข้องกัน ก็เป็นแค่การโดนจิ้นอันจวิ้นอ๋องหลอกใช้เข้า
ฉินหูเก็บสีหน้า
“เช่นนั้นเจ้าไปเถอะ ข้าจะรออยู่ที่นี่ล่ะ” เขาบอก
“ขอบคุณท่านชายฉิน ความจริงแล้วไม่ต้องก็ได้” เฉิงเจียว
เหนียงเอ่ย
“เจ้าก็คิดเสียว่าข้าสนใจใคร่รู้ รอฟังข่าวคราวใหม่ก็แล้วกัน”
ฉินหูยิ้มเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงคำนับ ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร บรรดาขันทีที่รอ
ต่อไปไม่ไหวแล้วก็อธิบายขึ้นอย่างอดไม่ได้ ลากตัวขึ้นซ้ายขวาเดิน
ไปอย่างรีบร้อน
ดูท่าแล้วจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆฉินหูขมวดคิ้ว แต่ว่า เห็นเฉิงเจียวเหนียงถูกขันทีลากไป เขาก็
อยากจะหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
เป็นเรื่องยากสำ หรับหญิงนางหนึ่ง ถูกขันทีพวกนั้นลากวิ่งไป
แต่ก้าวย่างนั้นกลับให้ความรู้สึกมั่นคง
บรรยากาศตึงเครียดกดดันแผ่ซ่านอยู่ในตำหนัก ทุกคนต่าง
สีหน้าวิตก ความน่าเกรงขามของทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าเวร
รอบด้านก็ยิ่งมากขึ้น กำอาวุธในมือไว้แน่น
คนที่อยู่ตรงนั้นล้วนเป็นขุนนางคนสำ คัญในราชสำ นักที่อยู่
มานาน มีหลายคนที่ผ่านการเปลี่ยนผลัดบัลลังก์ของฮ่องเต้พระองค์
เดิมและฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แม้ว่าเรื่องครานี้เป็นเรื่องที่ไม่เคย
เกิดขึ้นมาก่อนก็ตาม ทว่าหลังจากผ่านพ้นความสับสนอลหม่านแล้ว
ทุกคนล้วนใจเย็นกันขึ้น จัดการเรื่องราวอย่างเป็นระเบียบแบบแผน
หากแต่เมื่อเห็นหญิงสาวที่ก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ไม่ว่าจะเป็น
ทหารรักษาพระองค์หน้าตำหนักหรือขันทีและขุนนางยศใหญ่ก็ยาก
จะปิดบังความประหลาดใจไว้ได้
“แม่นางเฉิง เจ้ามาดูทางนี้สักหน่อยก่อนเถิด” เฉินเซ่าเอ่ยขึ้นคนมากมายต่างไปเฝ้าฮ่องเต้อยู่ด้านใน มีเพียงเขาและขุนนาง
ที่ไม่สำ คัญสองสามคนที่ยังคงเฝ้าผิงอ๋องอยู่
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแวบหนึ่ง พอเห็นสภาพของเฉินเซ่า
นางกลับไม่ได้เผยสีหน้าตกใจออกมา แต่มุ่งตรงเข้าไปตำหนักในกับ
เขา
คนนอกตำหนักพลันหูตั้ง คอยฟังเสียงด้านใน
หมอเทวดาคนนี้สามารถฟื้นคืนคนตายได้จริงๆ หรือ
นี่คือห้องปีกข้างของตำหนักฉินเจิ้ง ใช้สำ หรับให้บรรดาขุนนาง
ใหญ่พักผ่อน เนื้อที่ไม่กว้าง ยามนี้ว่างเปล่าไม่มีใคร มีเพียงคนผู้หนึ่ง
นอนอยู่บนตั่งเพียงผู้เดียว
เฉินเซ่าหยุดฝีเท้าลง ในใจมีความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
“แม่นางเฉิง นี่คือผิงอ๋อง” เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง
ฝ่าบาทอย่างนั้นรึ
ใบหน้าแข็งทื่อของเฉิงเจียวเหนียงเปลี่ยนไปในที่สุด
นี่คือฝ่าบาทผิงอ๋องนี่เอง เฉิงเจียวเหนียงมองไป ยกเท้าเดินไป
หยุดยืนอยู่หน้าผิงอ๋อง ความตกใจบนใบหน้าเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งแต่ว่าเฉินเซ่ากลับรู้สึกว่าตื่นตะลึงจะเหมาะกว่าบอกว่าตกใจ
“ฟ้าผ่านี่นา”
นึกไม่ถึงว่าจะถูกฟ้าผ่า…
นี่มันน่าสนใจเสียจริง นี่เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดเลยจริงๆ
คนผู้นี้เดิมทีควรจะขึ้นครองราชย์ในปีหน้า เป็นฮ่องเต้พระองค์
ต่อไปที่ครองราชย์มาสี่สิบห้าปี ไม่คิดเลยว่าจะตายไปทั้งอย่างนี้
ในตำราประวัติศาสตร์ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเขาอีกต่อไปแล้ว
เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ด้วย
ความจริงแท้ของสวรรค์ไม่หลอกลวง
ความจริงแท้ของสวรรค์ไม่หลอกลวง
ไม่หลอกลวง บอกว่าพวกเราสกุลเฉิงจะสูญสิ้นตระกูล พวกเรา
สกุลเฉิงก็สูญสิ้นไป
ไม่หลอกลวง บอกว่าจะเปลี่ยนแปลง ผลสุดท้ายก็เปลี่ยนไป
จริงๆ
เปลี่ยนไปได้จริงๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ มือเฉิงเจียว
เหนียงที่ยกอยู่ตรงหน้ากำแน่นอย่างห้ามไม่ได้ ท่านพ่อ ดูสิเจ้าคะสามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ
“แม่นางเฉิง”
เฉินเซ่าเอ่ยเสียงดัง ไม่อาจมองสีหน้าของเด็กคนนี้ต่อได้
อีกแล้ว
เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าเด็กคนนี้ก็แสดงสีหน้าหลากหลายได้
เช่นกัน
คงจะ…ตกใจละสิ
เฉิงเจียวเหนียงมองไปยังเขา ปรับอารมณ์ให้กลับเป็นดังเดิม
“ข้าไม่ได้ให้เจ้ามาดู” เฉินเซ่ากระซิบอย่างร้อนใจ
“เช่นนั้นใต้เท้าจะให้ข้ามาทำอะไรหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
เริ่มแกล้งโง่ขึ้นมาอีกแล้ว! เฉินเซ่ากัดฟัน
“ยังมีโอกาสช่วยได้หรือไม่” เขายกมือขึ้นชี้พลางเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
“ใต้เท้า ท่านพูดอะไรกันเจ้าคะ” นางเอ่ย ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้าไม่รักษาโรคที่ไม่ใกล้จะตายแล้วไม่ใช่หรอกหรือ” เฉินเซ่า
เอ่ย“ใต้เท้า ข้าบอกว่าโรคที่ถึงตายเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
มองผิงอ๋องที่นอนอยู่อีกด้านแวบหนึ่ง หรือเรียกอีกอย่างคือศพของ
ผิงอ๋อง “ไม่ใช่คนที่ตายไปแล้ว”
คนที่ถึงตายนั้นยังไม่ได้ตาย คนตายคือตายไปแล้ว
ผิงอ๋องตายไปแล้ว ตายคาที่ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
เฉินเซ่าทอดถอนใจ เหตุใดเขาจะไม่รู้ เหตุใดคนอื่นจะไม่รู้
มิฉะนั้นแล้วเหตุใดขุนนางทุกคนต่างรีบร้อนพากันวิ่งไปหาฮ่องเต้กัน
เล่า
ผิงอ๋องผู้นี้ เหลือแค่ร่างไร้วิญญาณเท่านั้น ไม่มีความหมายใด
อีกแล้ว และย่อมไม่มีความจำ เป็นต้องเอาอกเอาใจเฝ้าไว้แล้วเช่นกัน
ทว่านี่คือผิงอ๋องเชียวนะ นี่คือรัชทายาทที่เติบโตแข็งแรงเพียง
คนเดียวของฮ่องเต้นะ
จะทำอย่างไรดี…
ไม่มีแล้ว ไม่มีแล้ว…
“ใต้เท้าเฉิน ใต้เท้าเฉิน”
เสียงเรียกอันรีบร้อนของขันทีดังขึ้นด้านนอกประตูตำหนัก“ฮองเฮาเรียกแม่นางเฉิงเข้าเฝ้าขอรับ”
ฮองเฮาเรียกเฉิงเจียวเหนียงเข้าเฝ้าอย่างนั้นรึ
หรือว่าฮ่องเต้…
เฉินเซ่าใจเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง จนหอบขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่อาจเกิดเรื่องใดขึ้นกับฮ่องเต้ไปอีกคนได้นะ!
ในยามนี้จะเกิดเรื่องใดขึ้นกับฮ่องเต้อีกคนไม่ได้!
เฉินเซ่าสาวเท้าเดินออกไป
“ใต้เท้า พวกหมอหลวงถวายการรักษาแล้ว บอกว่าไม่มีอะไร
ต้องกังวลชั่วคราว ฮองเฮาแค่อยากเชิญแม่นางเฉิงให้ไปดูสักหน่อย
เท่านั้นเอง” ขันทีรับกระซิบบอก
ไม่มีอะไรต้องกังวลชั่วคราว
เฉินเซ่ารู้สึกว่าในหูอื้ออึง พยักหน้าอย่างแข็งทื่อ
ไม่มีอะไรต้องกังวลก็ดีแล้ว ถึงจะชั่วคราวก็เถอะ
“ใต้เท้า ท่านก็รีบไปด้วยเถิด” ขันทีคนหนึ่งกระซิบบอกกับ
เฉินเซ่า สายตาเหลือบมองห้องด้านข้างทางนี้อย่างห้ามไม่ได้
ความรังเกียจในแววตาเขาเผยออกมาอย่างไม่ปกปิดก่อนหน้านี้คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนมองผิงอ๋องด้วย
สายตาแบบนี้
นั่นคือผิงอ๋อง นั่นเป็นรัชทายาทผู้ช่วยรวมแคว้น นั่นเป็นโอรส
สวรรค์ที่พวกเขาทั้งโขกหัวทั้งกราบไหว้
หากแต่เวลาเพียงแค่พริบตาเดียวก็เปลี่ยนไปแล้ว
ผิงอ๋องกลายเป็นร่างไร้วิญญาณแล้ว ที่แย่ก็คือ ยังเป็นศพที่
ตายเพราะฟ้าผ่าอีกด้วย ศพประเภทนี้จะสามารถกลบฝังในนามของ
ผิงอ๋องได้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาอยู่…
จะโทษเหล่าขันทีที่รู้สึกรังเกียจก็คงไม่ได้ เพราะมันช่าง…
ปากที่กำลังอ้าของเฉินเซ่าปอดลง หันกลับไปมองตำหนักด้าน
ข้างแวบหนึ่ง
ฟ้าดินไร้ปราณี เห็นสรรพสิ่งเป็นดั่งเดรัจฉาน
“ไปกันเถอะ” เขาเอ่ยขึ้นแล้วสาวเท้าเดิน