พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 560 ตรงไปตรงมา
ฝนหยุดไปแล้ว ท้องฟ้ากลับมาแจ่มใส มีเพียงน้ำฝนใต้ชายคา
บนพื้นเท่านั้นที่ยังหยดลงย้ำเตือนว่าเมื่อครู่เพิ่งจะมีฝนฟ้าคะนอง
ผ่านไปจริงๆ
ภายในห้องบรรทมของฮ่องเต้ เทียบกับตำหนักด้านข้างที่ผิง
อ๋องอยู่แล้วคึกคักกว่ามากนัก
บรรดาขุนนางที่ประชุมในตำหนักฉินเจิ้งไม่ใช่ทุกคนที่สามารถ
เข้ามาในตำหนักบรรทมด้านหลังของฮ่องเต้ได้ ทว่ายามนี้ต่างกรูกัน
เข้ามาในนั้น
เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ช่างน่าหวาดกลัวนัก จนกระทั่งยามนี้
พวกเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
เสียงร้องไห้ของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นเบาๆ ภายในตำหนัก
พอเห็นเฉินเซ่าเข้ามา ทุกคนต่างรีบเข้าไปหา
“ผิงอ๋องท่าน…” ขุนนางที่อยู่หน้าสุดเอ่ยถามขึ้น
เฉินเซ่าใช้ใบหน้าเขียวคล้ำแทนคำตอบ“ไม่อาจวางไว้ที่นี่แบบนี้ได้เช่นกัน” ขุนนางรีบเปลี่ยนหัวข้อ
สนทนา
ตายอย่างอนาถเพียงนี้ ซ้ำ ยังเหมือนชินอ๋องที่โดนทอดทิ้งอีก
นับว่าเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้
“รอให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัยเถิด” เฉินเซ่าเอ่ย มองไปด้านใน
“ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”
“ฮองเฮา แม่นางเฉิงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พร้อมกับเสียงนี้ ฮองเฮาที่ก้มหน้าเช็ดน้ำตาก็เงยหน้าขึ้น จิ้น
อันจวิ้นอ๋องที่ยืนอยู่ข้างๆ นางก็หันมามองด้วยเช่นกัน
“ให้เข้ามา” ฮองเฮาเอ่ยขึ้น
ผ้าม่านถูกเลิกขึ้น สตรีนางหนึ่งก้มหน้าเดินเข้ามา
“ถวาย…” นางกำลังจะคุกเข่าลงถวายคำนับ
“ไม่ต้องมากพิธีแล้ว เจ้ารีบไปดูก่อนว่าฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง
” ฮองเฮาขัดนางขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงขานรับเงยหน้าขึ้น สายตามองสบกับฮองเฮาที่
มองมานี่คือแม่นางเฉิงคนนั้นหรือนี่
ฮองเฮาคิดในใจ
ช่างสมกับที่เป็นศิษย์ของเทพเซียนจริงๆ
เฉิงเจียวเหนียงรีบหลุบสายตา ก้มหน้าเดินเข้าไป บรรดาหมอ
หลวงที่เดิมทียืนอยู่ข้างแท่นบรรทมของฮ่องเต้ก็หลีกให้
บรรดาชายาสนมรวมถึงองค์หญิงน้อยทั้งหลายต่างหยุดร้องไห้
กันลง แล้วมองเฉิงเจียวเหนียงด้วยความตึงเครียด
เฉิงเจียวเหนียงมองสีหน้าของฮ่องเต้ แล้วยื่นมือไปจับชีพจร
หมอหลวงหลี่ยืนอยู่รั้งท้ายสุด มองท่าทางของเฉิงเจียวเหนียง
คนอื่นๆ ภายในตำหนักไม่คุ้นเคยกับเฉิงเจียวเหนียง แต่เขา
กลับไม่ใช่ นึกไปถึงตอนนั้นที่สตรีนางนี้เข้าเมืองหลวงมารักษาโรค
เป็นครั้งแรก ก็เป็นเขาที่เห็นมากับตา ณ ที่นั้น
ตอนนั้นหญิงนางนี้ไม่ได้เป็นเช่นนี้ ตอนนั้นนางเฉยเมยทำ
ตามอำเภอใจต่อนายใหญ่เฉิน แม้แต่สีหน้าก็ยังไม่แสดงออกมา
ทว่ายามนี้นางตั้งใจตรวจนัก สีหน้าบนใบหน้าก็หลากหลาย
หรือนางจะรักษาได้จริงๆเป็นโรคลมดังคาด
ในตำราประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าฮ่องเต้ในรัชศกนี้จะเป็นโรค
ลมกะทันหัน ล้มหมอนนอนเสื่อหนึ่งปีจากนั้นก็สวรรคต
ช่างน่าสนใจนัก บางอย่างเปลี่ยนไป บางอย่างไม่ได้เปลี่ยน
เฉิงเจียวเหนียงมองฮ่องเต้ที่สลบไสลไม่ฟื้น ก้มหน้ายื่นมือไป
จับข้อมือพระองค์
ชีพจรที่เต้นอยู่ ผิวที่อบอุ่นอ่อนนุ่ม คนที่ยังมีชีวิต
เจ็บป่วย สวรรคตในปีต่อมา คำไม่กี่คำที่แสนเย็นเยียบ
คำว่าเจ็บป่วยนี้ ความเสียใจ ความหวาดกลัว ความกังวลที่
นำพามาได้หมดไป ความรู้สึกที่คนรุ่นหลังได้สัมผัสมีเพียงคำไม่กี่คำ
นั้น
และสัมผัสไม่ได้ถึงความรู้สึกที่ซ่อนลึกอยู่ในนั้น
ความจริงอันไร้ปรานีและไร้หนทาง
พวกนางตระกูลเฉิงถูกล้มล้างตระกูล จะว่าไปแล้วในตำราก็
ต้องมีบันทึกไว้ น่าจะประมาณว่า ตระกูลเฉิงคิดกบฏ ตระกูลสูญสิ้น
…
เฉิงเจียวเหนียงยกมือนับนิ้วดูหกคำ สามารถหลงเหลือไว้ในตำราหกคำ ก็ไม่ง่ายดายแล้ว
หกคำเท่านั้น เรียบง่าย เงียบเชียบ
ข้างหูมีเสียงกระแอมดังขึ้นหนัก เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้ามองไป
หมอหลวงหลี่ถลึงตามองนาง
“แม่นางเฉิง เป็นอย่างไรบ้างรึ” เขาถาม
“เป็นโรคลมเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงบอก
“เจ้าสามารถรักษาได้หรือไม่” หมอหลวงหลี่รีบถาม
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ข้าทำไม่ได้เจ้าค่ะ” นางบอก
ตอบได้อย่างตรงไปตรงมา
“แม่นางเฉิง โรคลมของฝ่าบาทนี้หากฟื้นสติไม่ได้ ก็เป็นโรคที่
ต้องตายเช่นกันนี่นา เหตุใดเจ้ารักษาไม่ได้ล่ะ” ชายาคนหนึ่งตะโกน
ขึ้นอย่างอดไม่อยู่
“เพราะอาจารย์ข้าไม่ได้สอนให้ข้ารักษาโรคลมเพคะ” เฉิงเจียว
เหนียงบอกยังนึกว่านางจะบอกเกี่ยวกับพวกหลักการทางแพทย์หรือไม่ก็
อธิบายกฎให้ฟังเสียอีก นึกไม่ถึงว่าเหตุผลที่พูดออกมาจะคือเรื่องนี้
คนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึง
นางรักษาไม่เป็น…
เช่นนั้นก็ไม่มีหนทางใดแล้ว
ส่วนจะไม่เป็นจริงหรือแกล้งไม่เป็นนั้น…
เสียงร้องไห้ภายในตำหนักดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงร้องไห้พาให้
เฉินเซ่าและขุนนางคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านนอกบุกเข้ามาโดยไม่สนใจ
ธรรมเนียมมารยาทอีก
พอได้ยินว่าเป็นเพราะแม่นางเฉิงรักษาไม่ได้จึงร้องไห้ แต่ไม่ใช่
ฮ่องเต้ที่…
สีหน้าของทุกคนจึงสบายใจขึ้นเล็กน้อย ทว่าเห็นฮ่องเต้ที่ยังคง
หลับใหลอยู่ ทุกคนก็มีสีหน้าหนักอึ้งกันอีกครั้ง
โรคลมยิ่งฟื้นได้ไวเท่าใดก็ยิ่งมีหวัง หากหลับอยู่ตลอด…
บรรยากาศภายในตำหนักเปลี่ยนไปโดยพลัน
บ้านเมืองไม่อาจขาดฮ่องเต้ได้แม้แต่วันเดียวแต่ยามนี้ฮ่องเต้สลบไสลไม่ฟื้น รัชทายาทอย่างผิงอ๋องที่เดิมที
สามารถพอที่จะออกว่าราชการแทนได้ก็โดนฟ้าผ่ากลายเป็นตอ
ตะโกแล้ว ใครจะมาออกว่าราชการแทนได้ล่ะ
ไม่ ใครมาออกว่าราชการแทนยังคงเป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ก็
คือรัชทายาท
“แย่แล้ว แย่แล้ว!”
จู่ๆ เสียงตะโกนก็ดังขึ้นมาจากด้านนอก ทำลายบรรยากาศ
ชะงักค้างภายในห้องไป
มีขันทีวิ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนก
“ใต้เท้าเกาบุกเข้าวังมาแล้ว”
ใต้เท้าเกา!
เฉินเซ่าสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เขารีบหันหลังวิ่งออกไปทันที
‘ท่านพ่อ ท่านพ่อ’
เสียงตะโกนเสียงแหบเสียงแห้งดังก้องขึ้นข้างหู ท่านชายเกา
ล้มลุกคลุกคลานคว้าชายเสื้อผ้าของเกาหลิงปอไว้
‘ท่านพ่อ ท่านพ่อ ผิงอ๋อง…ผิงอ๋อง…’เขาร้องไห้ด้วยตะโกนด้วย เสียงแหบเสียงแห้ง สภาพยิ่ง
อเนจอนาถมากขึ้นกว่าเดิม
ผิงอ๋อง…
ผิงอ๋อง…
แต่ละก้าวที่เกาหลิงปอเดินเข้าไปใกล้ในตำหนักด้านข้าง มอง
เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนตั่งอย่างเดียวดาย
ร่างเขาสั่นเทิ้ม มือที่ยกขึ้นก็สั่นตามไปด้วย
‘นายท่าน นายท่าน กุ้ยเฟยตั้งครรภ์มังกรแล้ว’
เสียงยินดีปรีดาดังก้องขึ้นข้างหู
‘นี่มันเป็นข่าวดียิ่ง ในที่สุดกุ้ยเฟยก็ตั้งครรภ์มังกรแล้ว’
นั่นน่ะสิเป็นข่าวดี กุ้ยเฟยได้ครรภ์มังกร ดูแลต่อไปก็จะเป็น
โอรสพระองค์แรกของฝ่าบาท
ตั้ง
แต่ไทเฮาจนถึงกุ้ยเฟย พระญาติที่สนิทที่สุดของฮ่องเต้
ทั้ง
สอง
ครอบครัวฝั่งพระชายาแล้วอย่างไร ต่อให้ถูกคนหัวเราะเยาะ
ว่าเป็นครอบครัวฝั่งพระชายาที่ได้อำนาจเพราะสตรีแล้วอย่างไรครอบครัวฝั่งพระชายาก็สามารถทำคุณูปการได้เหมือนกัน
และสามารถเทิดเกียรติให้บรรพบุรุษได้เช่นกัน ซ้ำ ยังเจริญรุ่งเรืองได้
อีก
เขาเกาหลิงปอมีสติปัญญาอันเฉียบแหลมและแผนการอัน
ล้ำลึก มีปณิธานอันยิ่งใหญ่เพื่อปวงชนและชาติบ้านเมือง แต่เพียง
เพราะฐานันดรครอบครัวฝั่งพระชายานี้หรือถึงได้ถูกขัดขวาง เดินไป
ก้าวหนึ่งก็ต้องถูกคนหัวเราะเยาะก้าวหนึ่ง จะต้องละทิ้งอุดมการณ์
ของตัวเอง เป็นพระญาติอย่างสบายอกสบายใจเอ้อระเหยกินดื่มไป
วันๆ อย่างนั้นหรือ
ครอบครัวฝั่งพระชายามีหลายประเภทยิ่ง สิ่งที่เขาเกาหลิงปอ
ต้องการจะทำก็คือสิ่งที่บรรดาครอบครัวฝั่งพระชายาเคยทำไม่ได้
มีอำนาจมีอิทธิพล และมีชื่อเสียง
เขาทำได้แล้ว ลุ่มๆ ดอนๆ มาหลายสิบปี ในที่สุดก็
สมดังปรารถนา
พวกที่ต้องการจะทำร้ายเขา ขัดขวางหนทางของเขา ล้วนล้ม
ลงไปทีละคนคนสับปลับปลิ้นปล้อนพวกนั้นที่กู่ร้องว่าจะขับไล่เขา ต่าง
กลายเป็นบันไดก้าวสู่ความสำ เร็จใต้ฝ่าเท้าเขาทีละคน
ทีละย่าง ทีละก้าว เหลือเพียงแค่ก้าวเดียวจะไปถึงจุดสูงสุด
แล้ว
‘นายท่าน นายท่าน แย่แล้ว ผิงอ๋องสิ้นแล้ว…’
เหลวไหล! เหลวไหล!
ผิงอ๋องจะสิ้นได้อย่างไร!
ผิงอ๋องจะสิ้นได้อย่างไร!
เกาหลิงปอยื่นมือออกไป คว้าไหล่ของผิงอ๋องที่อยู่ตรงหน้าไว้
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท รีบลุกขึ้นมาเร็ว” เขาตะโกนขึ้นพลางเขย่า
ไปมา เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ และร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน “รีบลุกขึ้นมา
รีบลุกขึ้น!”
เสียงเท้าวุ่นวายดังขึ้นด้านนอกประตู
“เกาหลิงปอ เจ้าทำอะไรน่ะ” เสียงเฉินเซ่าดังขึ้นด้านนอก
เกาหลิงปอยังไม่ทันได้ตอบ ด้านนอกก็มีเสียงหวีดร้องของสตรี
ดังขึ้น“กุ้ยเฟย กุ้ยเฟย”
เสียงเฉินเซ่าพลันกระชั้นถี่ขึ้น คล้ายต้องการจะห้ามปรามใคร
บางคน
เพิ่งจะพูดจบ ก็มีคนพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ซื่อเกอร์! ซื่อเกอร์!”
กุ้ยเฟยมองมาทางนี้แวบหนึ่ง กรีดร้องแล้วโผไปหา
“ซื่อเกอร์ ซื่อเกอร์เจ้าเป็นอะไรไป” นางคุกเข่าลงกับพื้น กอด
ผิงอ๋องไว้นิ่ง เอื้อมมือไปลูบใบหน้าที่มองไม่เห็นเคล้าใบหน้าเดิมตั้ง
นานแล้ว ก่อนจะแนบหน้าลงไปโดยไม่ลังเลสักนิด “รีบลุกขึ้นมา รีบ
ลุกขึ้น เจ้าอย่ามาขู่ขวัญข้า เจ้าอย่ามาขู่ขวัญข้า”
กุ้ยเฟยคลุ้มคลั่งกลับทำให้เกาหลิงปอใจเย็นลง เขาเงยหน้า
มองเฉินเซ่าและขุนนางคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่หน้าประตู
“ข้ามาร้องไห้ให้หลานชาย ไม่ได้หรือ” เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ
เฉินเซ่าสีหน้าซับซ้อน มองกุ้ยเฟยที่ขาดสติ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้
พูดอะไรออกมาเสียงร้องห่มร้องไห้อันหนักหน่วงดังก้องภายในตำหนัก คน
เยอะคึกคักกว่าเมื่อครู่นี้แท้ๆ แต่กลับทำให้คนที่ยืนอยู่ ณ ที่นั้นยิ่ง
รู้สึกเหน็บหนาวกว่าเดิม
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” กุ้ยเฟยพึมพำพลาง
มองผิงอ๋อง แล้วผลักออกอย่างแรง “ไม่ ไม่ นี่ไม่ใช่ซื่อเกอร์ นี่ไม่ใช่
ซื่อเกอร์”
นางเริ่มก้าวถอยหลังอย่างร้อนใจอีกครั้ง สีหน้าตื่นตกใจ แล้ว
มองไปรอบๆ อย่างตระหนก
“หลีก หลีกไป” นางโบกมือพลางตะโกน คล้ายไล่บางอย่าง
ท่าทางเช่นนี้ทำให้ขันทีและนางกำนัลภายในตำหนัก
ตกอกตกใจยกใหญ่
“เขาคือลิ่วเกอร์! เขาคือลิ่วเกอร์! ลิ่วเกอร์มาก่อกวนแล้ว!”
กุ้ยเฟยโวยวาย
ประโยคนี้เอ่ยออกมา เฉินเซ่ากับคนอื่นๆ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เกาหลิงปอยกมือขึ้นฟาดต้นคอด้านหลังของกุ้ยเฟยอย่างแรงเฉินเซ่าและคนอื่นๆ หลุดอุทานกันออกมาอย่างห้ามไม่ได้ มอง
กุ้ยเฟยร่างอ่อนยวบลงไปกับพื้น
“กุ้ยเฟยได้รับการกระเทือนจิตใจไม่ได้ ส่งกลับตำหนักไป
เชิญหมอหลวงมาดูด้วย” เกาหลิงปอเอ่ยด้วยเสียงแข็งกระด้าง ทว่า
ไม่ได้เสียกิริยาเหมือนเมื่อครู่เลยสักนิด
บรรดาขันทีและนางกำนัลไม่กล้าชักช้า รีบเข้าไปทั้งพยุงทั้ง
ประคองกุ้ยเฟยออกมา
เกาหลิงปอก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ยกเท้าเดินไปทางด้านนอก
ไม่มองผิงอ๋องอีกเลยสักนิดเดียว
ไม่มีความหมาย เรื่องที่ไร้ความหมายก็ต้องทิ้งไป ไปทำเรื่องที่
มีความหมาย
“ใต้เท้าเกา เจ้าจะกลับไป…” เฉินเซ่าหันมาเอ่ย เพิ่งจะเอ่ยขึ้นก็
เห็นเกาหลิงปอวิ่งจ้ำ อ้าวอ้อมตำหนักด้านข้างไปทางด้านหลังแล้ว
เฉินเซ่าปากอ้าตาค้าง
ไอ้สารเลวนี่!
ทุกคนรีบวิ่งตามไปทันที“ขวางเขาไว้ ขวางเขาไว้”
ทหารรักษาพระองค์ที่เข้าเวรอยู่กรูกันไป เกาหลิงปอกลับ
ชูมือสองข้างขึ้นสูง นึกไม่ถึงว่าจะหยิบเอาเข็มขัดหยกเส้นหนึ่ง
ออกมา
“กระหม่อมเกาหลิงปอได้รับบัญชาจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน
จงรักภักดีไม่สิ้นเพื่อฝ่าบาท กระหม่อมเป็นหลานของไทเฮา ได้ยินว่า
ฝ่าบาทและไทเฮาประชวรจึงมาเยี่ยม ใครจะกล้ามาขวางหรือไม่!”
เขาตะโกนเสียงดังพลางเลิกคิ้วขึ้น
เสียงดังกังวานลอยออกไป ทำให้บรรดาทหารรักษาพระองค์ที่
ล้อมเข้ามาหยุดฝีเท้าลง
“นั่นเป็นเข็มขัดที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนพระราชทานให้เขา”
เฉินเซ่าเอ่ย ทอดถอนใจแล้วส่ายหน้า
เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง จะช้าจะเร็วก็ต้องป่าวประกาศ
ออกไปทั่วแผ่นดินอยู่ดี เฉินเซ่าหัวเราะเยาะอยู่ในใจ เกรงว่ายามนี้
จะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงราวกับสายลมแล้วบรรดาหมอหลวงภายในห้องบรรทมของฮ่องเต้ยังคงฝังเข็ม
ให้ยาต่อ ฮองเฮาพาบรรดาชายาสนมและองค์หญิงหลีกไป
แม้เฉิงเจียวเหนียงบอกว่านางรักษาไม่ได้ แต่เพราะเรื่องของ
เกาหลิงปอ เฉินเซ่าและคนอื่นๆ จึงออกไป ผนวกกับฮองเฮาก้มหน้า
เช็ดน้ำตาอีกครั้ง ใจทั้งดวงล้วนอยู่บนร่างฮ่องเต้ นึกไม่ถึงว่าจะไม่
มีใครออกปากให้นางจะอยู่หรือไป ดังนั้นยามนี้เฉิงเจียวเหนียง
จึงยังคงยืนอยู่ภายในตำหนัก
มีคนเดินเข้าใกล้ข้างกายนาง
“กลัวหรือไม่”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยถามเสียงเบา
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองเขา จิ้นอันจวิ้นอ๋องยังไม่ได้เปลี่ยน
เสื้อผ้าใหม่ คาดว่าภายใต้เหตุโกลาหลเรื่องใหญ่โตเพียงนี้คงไม่
มีใครมาสนใจให้เขาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมเปียกหรือไม่ กรอบหน้าของเขาจึงยิ่งดูชัด
ขึ้น แววตาลุ่มลึก
“กลัวอะไรหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยยังไม่ทันได้ตอบ เสียงฝีเท้าจอแจก็ดังขึ้นจากด้านนอก ผ้าม่าน
ถูกเลิกขึ้นอย่างแรง
“ฝ่าบาท!”
เกาหลิงปอตะโกนขึ้น โผไปคุกเข่ากับพื้น คลานเข่าไปข้างหน้า
ปากตะโกนร้องเรียก ดวงตามีน้ำใสไหลเอ่อ
“ฝ่าบาท!”
ฮองเฮาได้ยินเสียงก็รีบเดินมาจากด้านข้าง กำลังจะเอ่ยขึ้น
สายตาเกาหลิงปอก็ตกลงบนร่างเฉิงเจียวเหนียง
“ใต้เท้าเฉิน!” เขาเลิกคิ้วตวาด หันไปมองเฉินเซ่าและคนอื่นๆ
ที่เข้ามา ยกมือชี้ไปยังเฉิงเจียวเหนียง “บอกว่าขุนนางชั้นนอกไม่อาจ
เข้าวังชั้นในได้อะไรกัน แล้วนางมาได้อย่างไร”
“เดิมทีฝ่าบาทเรียกแม่นางเฉิงเข้าเฝ้าในการประชุมเพื่อ
สอบถาม” เฉินเซ่าบอกด้วยสีหน้าทะมึน
“ฝ่าบาทต้องการถามอะไร” เกาหลิงปอไล่ถามเสียงดังต่อ
อย่างรวดเร็วประโยคนี้เอ่ยออกไปบรรดาขุนนางในที่นั้นสีหน้าเปลี่ยนไป
เล็กน้อย
พวกเขานึกย้อนกลับไปอย่างอดไม่ได้ ฝ่าบาทต้องการ
ถามอะไร…
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใต้เท้าเกาจำ เป็นต้องรู้หรอก” เฉินเซ่าตะคอกเสียง
ขรึม “ใต้เท้าเกาจะมาถามคำถามนี้หรือมาเยี่ยมฝ่าบาทกันแน่”
เกาหลิงปอไม่ได้ไล่ต้อนถามอีก แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป
“ในเมื่อฝ่าบาทเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดนางยังอยู่ในวังอีก ให้นาง
เข้ามาแต่กลับขวางข้าไว้!” เขาตวาดอย่างเดือดดาล
ฟังดูแล้วกลับเหมือนเด็กน้อยระบายอารมณ์เอาแต่ใจไม่น้อย
เกาหลิงปอผู้นี้คงจะไม่ได้โดนกระทบกระเทือนใจเข้า
จึงคลุ้มคลั่งเหมือนกุ้ยเฟยหรอกกระมัง
“ใต้เท้าเกา แม่นางเฉิงเป็นข้าที่เชิญนางมาถวายการรักษาให้
ฝ่าบาท” ฮองเฮาเอ่ยขึ้น
สายตาเกาหลิงปอมองไปยังฮองเฮา ส่งเสียงอ้อออกมา“อย่างนี้นี่เอง” เขาเอ่ยอย่างเนิบช้า หรี่ตาลงเป็นประกาย
อันตราย “เป็นฮองเฮาเชิญแม่นางเฉิงผู้ที่รู้ว่าเมื่อใดมีสายฟ้าและรู้
ว่าควรล่อสายฟ้าอย่างไร ผู้ที่กล้าสาบานกับฝ่าบาทว่าถ้าแพ้ให้ล่อ
ฟ้ามาผ่าตน มาถวายการรักษาให้แก่ฝ่าบาทนี่เอง”
ประโยคนี้จบลง ทุกคน ณ ที่นั้นต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป สายตา
พลันตกอยู่บนร่างเฉิงเจียวเหนียงทันที
‘หากตะวันตกเฉียงเหนือตรวจสอบแล้วว่าพวกพี่ๆ ข้าได้รับ
การดูแลครอบครัวที่เสียสละให้ชาติอย่างเหมาะสม ตายอย่างคุ้มค่า
และยุติธรรม หม่อมฉันขอเชิญปวงประชามาฟังข้าบอกแจ้ง และ
ย่อมให้ปวงประชาฟังข้าประกาศ’
‘ประกาศอันใด’
‘หม่อมฉันขอลงโทษตนเองให้ถูกฟ้าผ่าตาย’
บรรดาขุนนางที่อยู่ตรงนั้นข้างหูมีประโยคนี้ดังก้องไปมา มอง
ไปยังสตรีที่ยืนอยู่มุมนั้น สีหน้าต่างแปลกประหลาดกันขึ้น มีคนก้าว
ถอยหลังไปโดยสัญชาตญาณ คล้ายว่าต้องยืนให้ห่างสตรีนางนี้ให้
ไกลหน่อยฟ้าผ่าตาย…
ฟ้าผ่าตายนี่เอง