พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 562 ไม่เที่ยง
เมื่อไทเฮาถามคำถามนี้ออกมา ทุกคนในเหตุการณ์ต่างพากัน
ถอนหายใจในใจ ค่อยยังชั่ว
เฉินเซ่ากำหมัดแน่น รู้สึกเหงื่อออกเต็มมือ
ช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อครู่ แทบจะทำให้คนหายใจไม่ออก
แต่ทว่า แม่นางผู้นี้…
เขาหันไปมองเฉิงเจียวเหนียงอย่างอดไม่ได้
เมื่อครู่คนในห้องโถงถกเถียงกันอย่างดุเดือด แต่นางกลับยืน
นิ่ง สีหน้าเรียบเฉย ทั้งที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนาง แต่นางกลับทำตัว
เป็นคนนอกสังเกตการณ์อยู่อย่างสบายใจ
แน่นอนว่าสถานการณ์ครั้งนี้ไม่เหมือนตอนร้องเรียนเฝิงหลิน
การพูดแก้ตัวไม่สามารถโน้มน้าวผู้คนได้ และไทเฮาก็จะไม่ฟัง
เช่นกัน นึกไม่ถึงว่านางจะไม่แก้ตัว แต่กลับพยักหน้ายอมรับตามตรง
ทุกเรื่องต่างมีด้านดีและด้านร้าย เรื่องดีและเรื่องร้ายต่าง
พึ่งพาอาศัยกัน นางเรียกสายฟ้าได้ จึงทำให้เกิดเรื่องร้ายกับนางวันนี้ แต่การที่นางเรียกสายฟ้าได้ ก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ขจัดเรื่องร้าย
นั้น
ให้นางได้เช่นกัน
ทุกสรรพสิ่งต่างเรียบง่ายเพียงเท่านี้ ปล่อยให้เขาตื่นตระหนก
เสียเปล่า และปล่อยให้จางฉุนพูดพล่ามเสียเปล่า
แม่นางผู้นี้ชอบทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนทุกครั้ง แต่สุดท้าย
กลับทำเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก แก้ไขปัญหาได้ ทำราวกับพวกเขาเป็น
คนโง่
ไม่ ไม่ใช่พวกเขาโง่ แต่พวกเขาฉลาดเกินไปจึงคิดมากไป ส่วน
แม่นางผู้นี้เคยสติฟั่นเฟือนจึงคิดอย่างตรงไปตรงมา ทำเรื่องยาก
เป็นเรื่องง่าย จู่โจมได้ตรงประเด็น…
สิ่งสำ คัญคือต้องตรงประเด็น ทุกคนต่างมีผลประโยชน์ส่วนตัว
ในใจ ทุกคนต่างมีสิ่งที่ต้องการ
“แล้วจะพิสูจน์อย่างไร”
เสียงของไทเฮาขัดความคิดของเฉินเซ่า เขารีบเรียกสติกลับมา
หันมองเฉิงเจียวเหนียง“รอวันที่ฝนฟ้าคะนองอีกครั้ง ข้าจะพิสูจน์ต่อหน้าทุกคนว่า
สามารถเรียกสายฟ้าได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“รอหรือ แล้วถ้าทั้งปีนี้ไม่มีฝนฟ้าคะนองอีกเล่า” ขุนนางคน
หนึ่งเอ่ยขึ้น
แน่นอนว่าขุนนางคนนี้คือคนของเกาหลิงปอ
บัดนี้เกาหลิงปอเงียบสงัดไม่พูดอะไรอีก เงียบราวกับความ
เดือดดาลเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แน่นอนว่าความเงียบนี้ไม่ได้หมายความว่าเขายอมแพ้ สายตา
ที่มองมาในความเงียบนั้นกำลังฉายแววโหดเหี้ยมพาให้คน
หวาดผวา
“นั่นสิ ผิงอ๋องรอไม่ไหวหรอก” ไทเฮาเอ่ย
“ไม่นานขนาดนั้นหรอก ภายในสามวันห้าวันจะต้องมีฝน
ฟ้าคะนองเป็นแน่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“แม่นางเฉิงนี่เก่งเสียจริง เรียกลมเรียกฝนได้ด้วย” ขุนนางอีก
คนหนึ่งพูดกึ่งหัวเราะ
เฉิงเจียวเหนียงหันมองเขา“ลมฝนก็อยู่ตรงนั้น แถมยังทำทุกวิถีทางเพื่อเตือนผู้คน” นาง
เอ่ย “ที่เจ้ามองไม่เห็นก็เพราะเจ้าโง่เขลาเท่านั้น”
ใครบางคนหลุดหัวเราะออกมา แต่ก็รีบไอกระแอมก้มหน้า
หลบ
หัวเราะตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย
โชคดีที่สายตาทุกคนจับจ้องไปที่เฉิงเจียวเหนียง ไม่มีคนสนใจ
เขา
ขุนนางผู้นั้นสีหน้าโกรธแค้น ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างโกรธเคือง
ราวกับจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“สมแล้วที่มาจากเจียงโจว” เขาพึมพำขึ้น
เขาบ่นแทนเกาหลิงปอที่ถูกจางฉุนก่นด่า แต่แน่นอนว่าเสียง
เบาไปจนจางเจียงโจวไม่ได้ยิน
“เช่นนั้นแล้ว ก็ขอให้สำ นักราชเลขาจัดการเสีย” ไทเฮาเอ่ย
ตอบ เรื่องบานปลายมาถึงตอนนี้ทำให้นางเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
จึงใช้มือลูบหัว
เฉินเซ่ารีบเข้าไปรับบัญชา“อาการประชวรของฝ่าบาทยังไม่แน่ชัด พวกกระหม่อมจะสลับ
กันคอยเฝ้าในวัง” เขาเอ่ย
ไทเฮาไม่มีเรี่ยวแรง เพียงโบกมือเป็นนัยว่าเห็นด้วยตามนั้น
“ให้ใต้เท่าเฉินพวกท่านตัดสินใจกันเลย” นางเอ่ยพลางหันมอง
ฮ่องเต้ที่ยังไร้สติ ความทุกข์ระทมใจประทุขึ้นอีกครั้ง
“ฝ่าบาท”
ไทเฮาพยุงตัวกับเตียงร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมา
เสียงร้องไห้ดังก้องไปทั้งห้องในทันที
ในตอนนี้ ข่าวเรื่องผิงอ๋องสิ้นชีพ ฮ่องเต้ประชวรหนักได้
แพร่กระจายไปนอกวังแล้ว แต่เนื่องจากประตูวังปิดมิดชิด และเหล่า
ขุนนางยังคงอยู่ในวัง จึงยังไม่มีใครรู้รายละเอียดแน่ชัด ข่าวจึงแพร่
ออกไปอย่างสับสนอลหม่าน
เกาหลิงปอสามารถป้ายกำไลหยกที่ฮ่องเต้องค์ก่อนประทานให้
บุกเข้ามาในวังได้ แต่คนอื่นไม่กล้าขนาดนั้น เวลาเช่นนี้ ใครถูกทหาร
รักษาพระองค์ฆ่าตายคาประตูก็ต้องเรียกว่าสมควรตายแต่ทว่า ถึงขั้นที่เกาหลิงปอชูป้ายหยกบุกเข้าวังมา แปลว่าเรื่อง
นี้คงเป็นเรื่องจริงยิ่งกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว บัดนี้เหล่าขุนนางนอกวัง
จึงวุ่นวายใจขึ้นมา
ภายในห้องหนังสือของนายใหญ่โจว ผู้คนเบียดเสียดกันแน่น
ชิงเค่อเจ็ดแปดคนพากันจรดปากกาลงอย่างรวดเร็ว
“เรียบง่ายหน่อย เรียบง่ายหน่อย พวกเขาไม่ได้โง่ สิ่งสำ คัญคือ
ต้องรีบส่งจดหมายพวกนี้ออกไป” นายใหญ่โจวเอ่ยขึ้นพลางเดินเตร่
“ของทางตะวันตกเฉียงเหนือเขียนหลายฉบับหน่อย พวกเขา
ไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน”
“ของส่านโจวเขียนสองฉบับก็พอ เขียนให้นายใหญ่ทางนั้นฉบับ
หนึ่ง และให้เจ้าเมืองอีกฉบับหนึ่ง”
“นายท่าน ฝั่งท่านเจ้าเมืองคงไม่ต้องรอฟังข่าวจากพวกเรา
หรอก” ชิงเค่อคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
นายใหญ่โจวถุยปาก
“แต่จะขาดข่าวจากตระกูลโจวของพวกเราไม่ได้” เขาเอ่ยต้นตระกูลเหอต่างอยู่ที่ส่านโจว อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติกัน
หน่อย
ชิงเค่อรีบพยักหน้าพลางขานรับ แล้วจึงก้มหน้าเขียนต่อ
ฮูหยินโจวเดินมาที่ห้องนี้ พาเหล่าแม่นมสำ รวจไปทั่วห้อง
เตรียมชุดและผ้าที่ใช้ในงานศพออกมาให้หมด
นายใหญ่โจวเห็นดังนี้ก็รำคาญใจ จึงเดินออกมา บริเวณบ้าน
ด้านนอกเองก็คึกคักไม่ต่างกัน ลูกหลานในบ้านต่างพาบ่าวไพร่
ออกมายกโคมไฟเฉลิมฉลองออก
แต่มีคนหนึ่งที่ยืนว่างอยู่
“ผิงอ๋องตายแล้วจริงหรือ” โจวฝูเอ่ยอย่างตกใจ
“ตายแล้วจริงๆ จะมีอะไรไม่จริงอีก ใครจะกล้าแพร่ข่าวเท็จ
เรื่องนี้” นายใหญ่โจวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ฮ่องเต้ก็…”
ถึงแม้จะอยู่ที่บ้านตัวเอง แต่นายใหญ่โจวก็ยังไม่กล้าพูดคำนั้น
ออกมา
โจวฝูหันไปมองเขา
“แบบนี้ก็ไม่ต้องแต่งงานแล้วนะสิ” เขาเอ่ยหือ อะไรนะ
นายใหญ่โจวตะลึงงัน
“แบบนี้เจียวเหนียงก็ไม่ต้องแต่งงานแล้วสิ” โจวฝูเอ่ย
หากฮ่องเต้ไม่อยู่แล้วจริงๆ ช่วงไว้ทุกข์ก็ไม่มีทางจัดงานแต่งได้
ต่อให้ฮ่องเต้ยังไม่สิ้นพระชนม์ แต่ทรงประชวรอยู่ ก็จัดงานแต่งไม่ได้
เช่นกัน
นายใหญ่โจวส่งเสียงอืม
“ก็ควรจะเป็นแบบนั้น” เขาเอ่ย
“ท่านพ่อ ผิงอ๋องตายแล้ว” โจวฝูเอ่ยขึ้นอีกครั้ง โดยเน้นคำว่า
‘ตาย’
ผิงอ๋อง…
นายใหญ่โจวตะลึงไปครู่หนึ่ง อยู่ดีๆ ก็คิดอะไรบางอย่างออก
สีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด
“…ท่านพ่อ ใต้เท้าหลิวเป็นอัมพาต”
“นางก็ต้องจัดการเขาอยู่แล้ว คนที่วางแผนอยากได้ตัวนางไป
อย่างเขา นางก็จัดการจบเรื่องได้อย่างสาแก่ใจมาตลอด”“ข้าไม่รู้ว่านางทำได้อย่างไร อาจจะเหมือนตอนยืมแรงคนอื่น
ยิงอันธพาลคนนั้นจนตาย หรืออาจจะเหมือนตอนที่ฟ้าผ่าเจ้าอาวาส
วัดเสวียนเมี่ยวน้อยกับชายชั่วคนนั้นจนตาย”
เสียงดังวูบวาบขึ้นที่ข้างหู
ตายหมดแล้ว…
ราชเลขาหลิว เจ้าอาวาส อันธพาลหน้าเรือนไท่ผิง และ
เฝิงหลินผู้พ่ายแพ้ย่อยยับจนต้องหนีออกจากเมืองหลวงไป…
คนพวกนี้ ต่างมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับนาง อยากได้
ทรัพย์สมบัติของนาง หรือข่มขู่นาง ทำไม่ดีต่อนาง…
“เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าคนที่เป็นสื่อกลางตอนแรก คนที่ก่อเรื่อง
นี้คือใคร”
ผิงอ๋อง!
องค์มกุฎราชกุมารหนุ่มเพียงหนึ่งเดียว ว่าที่ฮ่องเต้ที่จะอยู่
ครองตำแหน่งไปอีกนาน สิ่งที่เขาชอบหรือไม่ชอบจะส่งผลกระทบต่อ
ราชสำ นักไปอีกยาวนาน และผลกระทบนี้จะสาวยาวไปถึงรุ่นลูกรุ่น
หลาน…หากผิงอ๋องยังอยู่ ตระกูลโจวกับตระกูลเฉิงของพวกเขาก็
ไม่ต้องคิดจะเป็นใหญ่…
“แต่งงานเป็นเรื่องเล็ก”
คำพูดที่แม่นางผู้นั้นพูดซ้ำ หลายครั้งดังก้องขึ้นที่ข้างหู
นายใหญ่โจว
เป็นเช่นนั้นจริง ไม่เพียงแค่แต่งงานเป็นเรื่องเล็ก กระทั่งผิงอ๋อง
ยังเป็นเรื่องเล็ก…
กระทั่งผิงอ๋องยังตาย…
นาง ใช่ ไหม
นายใหญ่โจวอยากถาม แต่ทำอย่างไรก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา
เพียงรู้สึกขาอ่อนขึ้นมา ใช้มือพยุงรั้วทางเดิน
ให้ตายเถอะ!
… “ข
้าบอกแล้ว ปั้นฉินเจ้าไม่ต้องใช้ชุดแต่งงานหรอก ใครได้
เกี่ยวพันกับนายหญิงของเจ้า ก็ต้องโชคร้ายแน่นอน”ภายในบริเวณบ้านตระกูลจาง นายใหญ่ตระกูลจางเอ่ยพลาง
หัวเราะ
แต่เสียงที่ตอบกลับมากลับเป็นเสียงร้องไห้ของหญิงสาวที่ดัง
ขึ้นกว่าเดิม
“โธ่ นายท่าน เลิกแกล้งปั้นฉินได้แล้ว” บ่าวชรากระทืบเท้าเอ่ย
ขึ้น “นี่มันเมื่อไหร่กันแล้ว!”
เขารีบเข้าไปปลอบสาวใช้ที่ร้องไห้อยู่
“ยังไม่แน่หรอก ผ่านช่วงไว้อาลัยแล้วค่อยแต่งก็ได้… พวกเจ้า
จะได้ค่อยๆ เตรียมชุดได้พอดี”
“เอ ก็ไม่แน่นะ” นายใหญ่ตระกูลจางรีบเอ่ยขึ้น “ปั้นฉินคงไม่ได้
ร้องไห้เพราะไม่ได้ตัดชุดแต่งงานหรอกใช่ไหม”
บ่าวชรารู้สึกว่าร่างของสาวใช้ตรงหน้าแข็งทื่อในทันใด
“ปั้นฉิน ผิงอ๋องถูกฟ้าผ่าตายนะ” นายใหญ่ตระกูลจางเอ่ย
สีหน้ามีลับลมคมใน “เจ้าร้องไห้เพราะได้ยินเรื่องนี้หรือเปล่า”
ฟ้าผ่าตาย ฟ้าผ่าตาย…
สาวใช้ร้องไห้โฮ“โธ่ นายท่านนี่… พูดเรื่องนี้ทำไมกัน!”
“…โธ่ พูดเรื่องนี้แล้วจะทำไม เราไม่พูด แล้วคนอื่นจะไม่คิดงั้น
หรือ หลอกใครกัน…”
“นายท่านมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นแบบนี้ได้อย่างไร
กัน ท่านไม่ได้ทำนิสัยไม่ดีแบบนี้นานแล้วนะ…”
“…โธ่ ว่านผิง นี่พวกเจ้าเป็นคนของตระกูลจางหรือตระกูล
เฉิงกันแน่ เหตุใดถึงพูดแก้ต่างแทนนางหมด ข้าไม่ได้เป็นคนก่อเรื่อง
เสียหน่อย ทำไมต้องมาโกรธข้าด้วย ซวยจริงๆ ข้าบอกแล้ว ถ้าได้
ข้องเกี่ยวกับนางจะต้องโชคร้ายแน่ๆ …”
…
“คิดไม่ถึงจริงๆ”
เสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านหลัง
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมอง เห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่เดินตามอยู่
ด้านหลังสีหน้าหนักใจ
เมื่อได้รับอนุญาตให้ออกจากวังได้ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว หันไป
กลับไปมองตำหนักในวังซึ่งดูใหญ่ขึ้นภายใต้แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำ“คิดไม่ถึงจริงๆ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยต่อขณะหันมองท้องฟ้า
ด้านหลังตน “อากาศดีๆ อยู่ แต่บทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนทันที”
ถึงแม้เขาจะรอคอยให้ผิงอ๋องตายมาหลายครั้ง และตนเองก็
เคยวางแผนจัดการเขาเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ได้แค่วางแผน
คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ผิงอ๋องก็ตายไปแบบนี้
แถมยังตายได้น่า…อีกต่างหาก
เขาเห็นสายฟ้านั้นผ่าลงมาต่อหน้า เมื่อนึกย้อนไป ในหัวก็ยัง
รู้สึกสั่นสะเทือนอื้ออึงอยู่ด้วยซ้ำ
ตายแล้ว…
สายตาของเขาจับจ้องไปที่วังหลวง ราวกับมองเห็นร่างอัน
โดดเดี่ยวของชายหนุ่มที่ดูไม่ออกแล้วว่าหน้าตาเป็นอย่างไรนอนอยู่
บนพื้น…
สงสารเหรอ ดีใจเหรอ
เขายังไม่รู้เลยว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร คงจะปนเปกันไปหมด
แต่ว่า…
เขากำมือที่ตกอยู่ข้างลำตัวที่น่าโกรธคือตายแล้วยังจะก่อเรื่องให้คนอื่นอีก
“นี่แหละคือความไม่เที่ยง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
กฎแห่งธรรมชาติคือความไม่เที่ยง
“แต่ก็เป็นเรื่องปกติ” นางเอ่ยต่อ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันมองนางพลางพยักหน้า
“ใช่ ความไม่เที่ยงคือเรื่องธรรมดา” เขาเอ่ย “ไม่มีอะไรน่ากลัว
”
เมื่อเดินออกจากวัว ประตูวังก็ปิดลงในทันใด ทหารที่ปิดประตู
ดูจะตื่นตระหนกตกใจ
รถม้าที่เดิมสามารถจอดอยู่บนถนนหน้าวังได้ถูกไล่ออกไป
หมดแล้ว เฉิงเจียวเหนียงและจิ้นอันจวิ้นอ๋องจึงจำ ต้องเดินตามทาง
ถนนหน้าวังไป
เมื่อพ้นจากถนนหน้าวัง ในที่สุดก็เห็นรถม้าจอดอยู่ริมถนน
“นายหญิง นายหญิง” ปั้นฉินเดินเข้ามา น้ำเสียงสั่นเครือ นาง
ตื่นตระหนกจนไม่ทันได้หยิบไฟมาด้วยตะเกียงไฟบนถนนหน้าวังสั่นไหวไปมา ทำให้ถนนฝั่งนี้ดูสลัว
ขึ้นกว่าเดิม
“ไปกันเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ให้ข้าไปส่งเจ้าเถิด กลับไปคราวนี้แล้ว คงไม่สะดวกจะพบกัน
อีก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
“แม่นางเฉิง”
เสียงลอยขึ้นจากด้านข้าง
เฉิงเจียวเหนียงหันไป เห็นฉินหูค่อยๆ เดินออกมาจากมุมมืด
ข้างกำแพง
“ท่านชายฉิน” น้ำเสียงเฉิงเจียวเหนียงฟังดูตกใจ
รออยู่ตลอดจริงหรือ…
“จวิ้นอ๋อง ข้าอยากขอพูดคุยกับแม่นางเฉิงสักครู่หนึ่ง” ฉินหู
เอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร พลันหันหลังเดินขึ้น
รถม้าตนเองไป
“ท่านชายฉิน รบกวนท่าน…” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยยังไม่ทันพูดจบ ฉินหูก็ก้าวเข้ามาพูดขัดนาง
“ใช่เจ้าไหม” เขาถามด้วยเสียงแหบแห้ง
ใต้แสงไฟที่สั่นไหวไปตามลม สีหน้าของเฉิงเจียวเหนียงสงบนิ่ง