พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 563 ไม่ยุติธรรม
ฉินหูรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป
ผิงอ๋องตายแล้วหรือ
ผิงอ๋องตายได้อย่างไร
คนที่พูดและแพร่ข่าวนี้คงบ้าไปแล้วใช่ไหม
นั่นคือผิงอ๋อง โอรสพระองค์เดียวของฝ่าบาท ผู้ที่จะสืบทอด
ราชบัลลังก์เพียงคนเดียว
ใครจะยอมให้เขาตาย ใครจะฆ่าเขาตาย ใครกล้าฆ่าเขาตาย
แล้วใครจะทำให้เขาตายได้
“ใต้เท้าเกา ใต้เท้าเกา ท่านจะเข้าไปไม่…”
“ใครกล้าขวางข้า! ใครกล้าขวางข้า!”
ฉินหูเงยหน้าขึ้น เห็นเกาหลิงปอที่สวมใส่ชุดธรรมดา บุกเข้า
ประตูวังอย่างคลุ้มคลั่ง
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผิงอ๋องจริง ตระกูลเกาก็คงจะเป็นหนึ่งในคน
ที่ร้อนใจที่สุด“ตระกูลเกาต่างออกไป”
ตระกูลเกาต่างออกไป ตระกูลเกาไม่เพียงเป็นขุนนาง แต่ยัง
เป็นญาติพี่น้องอีกด้วย
ขุนนาง ใครก็เป็นได้ และเป็นขุนนางของใครก็ได้ แต่
ญาติพี่น้องไม่เหมือนกัน
“ก็แค่พึ่งใบบุญผิงอ๋อง ถ้าไม่มีผิงอ๋องแล้ว ตระกูลเกา
จะหยิ่งผยองได้อย่างไร”
“ผิงอ๋องหรือ”
ผิงอ๋องหรือ ผิงอ๋องหรือ
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่เรื่องเล็ก
บนท้องฟ้าราวกับมีเสียงสายฟ้าดังขึ้นอีกครั้ง ฉินหูเงยหน้าขึ้น
มองอย่างอดไม่ได้
“ฟ้าผ่า” เสียงผู้หญิงเอ่ยขึ้นปนหัวเราะ
ฟ้าผ่า…
ฝนตกลงบนหน้า น้ำฝนในฤดูร้อนเย็นยะเยือกบาดผิว
ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่หรอก“ท่านชาย เป็นเรื่องจริง นายใหญ่ส่งข่าวต่อแล้ว ท่านเองก็ควร
รีบกลับ อีกไม่นานข่าวก็จะถูกส่งไปชวนโจว”
ไม่ เขาไม่ไป เขาจะรออยู่ตรงนี้ รอนางอยู่ตรงนี้
ฉินหูหันมองหญิงสาวตรงหน้า เห็นนางเดินเคียงบ่าเคียงไหล่
จิ้นอันจวิ้นอ๋องออกมา
เป็นเจ้า… หรือว่าเขา
มุมปากของหญิงสาวตรงหน้าดูเหมือนหยัดยกขึ้น
“ถ้าเป็นข้า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง “ข้าก็คง
ไม่ได้มาอยู่ตรงนี้”
ถ้าเป็นนาง ถ้าเป็นนาง แล้วนางจะมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร นาง
จะทิ้งครอบครัว และมาที่นี่เพียงลำพัง มาที่นี่ลำพังได้อย่างไร
ถ้าหากนางเรียกสายฟ้าได้ ก็คงเรียกให้ฟ้าผ่าคนตระกูลหยาง
ทั้ง
ตระกูล แล้วตระกูลเฉิงของนางจะถูกฆ่าล้างตระกูลได้อย่างไร
แล้วนางจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
แต่โลกนี้ไม่เคยมีคำว่า ‘ถ้าหาก’คำตอบของเฉิงเจียวเหนียง ทำให้ฉินหูรู้สึกเหมือน
ยกภูเขาออกจากอก
ไม่ใช่นาง นางบอกว่าไม่ใช่
เขาก้าวเท้าขึ้นไปอย่างอดไม่ได้
“ข้ารู้อยู่แล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่เจ้า” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหัวพลางมองหน้าเขา
“ไม่ เจ้าไม่รู้หรอก” นางเอ่ย
ฉินหูสีหน้าตะลึงงัน
“ไม่ใช่ เจียวเหนียง ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เขาก้าว
เท้าขึ้นมา น้ำเสียงแหบแห้ง รีบส่ายหน้าเอ่ยต่อว่า “เจียวเหนียง ข้า
ไม่ได้…”
ภายใต้แสงไฟที่วูบไหว จู่ๆ หญิงสาวนางนี้ก็ยกมือขึ้นที่
ริมฝีปากพร้อมส่งเสียง ‘ชู่’ แล้วจึงเผยยิ้มบางพลันโค้งคำนับ
นางบอกว่าไม่เป็นไรและไม่ต้องอธิบายอะไร
นางบอกว่าเป็นเรื่องเล็ก
นางบอกว่าไม่ต้องพูดอะไรแล้วไม่มีอะไรต้องพูดอีก…
เสียงของฉินหูวนเวียนอยู่ในลำคอ แต่กลับพูดออกมาไม่ได้
เสียที เขามองดูหญิงสาวเดินเฉียดร่างตัวเองจากไป สายลมกลาง
ค่ำคืนพัดโบอกชุดของนางให้ปลิวไหว
ฉินหูอยากจะหันหลังกลับไป แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เขายืน
หลับตาอยู่ตรงที่เดิม
ขอโทษ ขอโทษ
เจ้าพูดถูก ข้ากับพวกเขาต่างเหมือนกันทั้งหมดจริงๆ
เหมือนกันทั้งหมด
ปฏิบัติกับนางเหมือนกันทั้งหมด
“เฉิงฝั่ง”
เสียงจิ้นอันจวิ้นอ๋องดังขึ้นจากด้านหลัง
เฉิงเจียวเหนียงหยุดฝีเท้า
“เจ้าอยากไปเดินเล่นกันหน่อยไหม” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงเผยยิ้ม
“เวลาแบบนี้ คงไม่เหมาะกระมัง” นางเอ่ยจิ้นอันจวิ้นอ๋องเผยยิ้มขึ้นเช่นกัน แล้วจึงรีบหุบยิ้ม
เวลาแบบนี้ไม่ควรยิ้ม
“อืม” เขาจ้องมองนางพลางพยักหน้า “ข้าแพ้อีกแล้ว”
เฉิงเจียวเหนียงหันมองเขา สายตาสงสัย
“เจ้าน่าสมเพชกว่าข้าจริงๆ ”
เฉิงเจียวเหนียงหลุดหัวเราะออกมาแวบหนึ่ง
“เวลาแบบนี้ไม่ควรหัวเราะ” นางเอ่ย พลันหยุดหัวเราะทันที
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยักคิ้ว กอดอก ถอนหายใจ
“เวลาแบบนี้ ต่อให้พวกเราร้องไห้ ก็ไม่มีใครเชื่อหรอก” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงเผยรอยยิ้มบางอีกครั้ง
“จะร้องไห้หรือหัวเราะ ก็ไม่ได้ทำไปเพื่อให้คนอื่นดู พวกเขาจะ
เชื่อหรือไม่ แล้วจะทำไม” นางเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันมองนางพลางพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มจางๆ
บนใบหน้า
“ก็ได้ เช่นนั้นข้าไปก่อน แต่ว่า เรื่องที่ต้องพูดยังไงก็ต้องพูด
ออกมา” เขาเอ่ย ยื่นมือมาจับข้อศอกเฉิงเจียวเหนียง แล้วจึงหันกลับไปมองฉินหูซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม “เฉิงฝั่ง อย่าเศร้าโศกไปเลย”
เฉิงเจียวเหนียงโค้งตัวคำนับ จ้องมองรถม้าของจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
ออกเดินทางไปก่อน
เมื่อรถม้าแล่นไป ในที่สุดปั้นฉินก็อดไม่ได้ เบนสายตาหันมา
มอง เห็นฉินหูยังคงยืนอยู่บนถนน เพียงแต่ตอนนี้เขาหันหลังกลับมา
มองรถม้าของพวกนางแล้ว แสงไฟบนท้องถนนที่เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด
ทำให้มองเห็นเขาได้ไม่ชัด
ปั้น
ฉินละสายตากลับมาก้มหน้า
เมื่อกลับถึงเรือน ทั้งฟ่านเจียงหลิน แม่นางหวง และท่านชาย
เฉิงสี่ต่างรออยู่ที่ห้องโถง โจวฝูเองก็นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นนางเดินเข้า
ประตูไป จึงพากันลุกขึ้นยืน พวกเขารู้สึกเป็นกังวลแต่ก็พยายาม
ปิดบังความรู้สึกนั้นไว้
“ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม เตรียมข้าวไว้ให้พร้อมแล้ว” แม่นาง
หวงเอ่ยพลางรีบพาสาวใช้เข้าไปในครัว
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” โจวฝูเอ่ยถามขึ้นก่อน“ข้าก็ไม่แน่ใจรายละเอียดเช่นกัน ข้าเพียงเห็นตอนท้าย ว่าผิง
อ๋องตายแล้ว และฮ่องเต้ทรงประชวร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ผิงอ๋องตายได้อย่างไร” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยถาม ถึงแม้จะตกใจ
ไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่เมื่อได้ยินเฉิงเจียวเหนียงเล่าอีกครั้ง ก็ยังคงตกใจ
อยู่
“ฟ้าผ่าตาย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เมื่อได้ยินดังนี้ สีหน้าของฟ่านเจียงหลินและโจวฝูก็ดูประหลาด
ไป ส่วนท่านชายเฉิงสี่ไม่รู้เรื่องก่อนหน้านี้สีหน้าจึงยังปกติอยู่
“บังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย สีหน้าแลดู
แค้นเคือง “หากไม่ใช่เพราะพวกข้า ตอนนั้นเจ้าก็คงไม่ต้องสาบาน
อะไรเยี่ยงนั้น ส่วนเรื่องวันนี้…”
คำสาบานที่น่าตกใจเยี่ยงนั้น ทุกคนต่างจำ ได้ขึ้นใจ บัดนี้ผิง
อ๋องดันมาตายอย่างสยดสยองเช่นนี้ พวกเขาสองคน จะบอกว่าไม่
มีใครสงสัยเฉิงเจียวเหนียงก็คงแปลก
และต่อให้ไม่มีใครสงสัย ก็ต้องมีคนทำให้พวกเขาสงสัยเช่นกันดูสิ นายใหญ่โจวตกใจกลัวจนไม่กล้ามาหา เดาว่าโจวฝูคงหนี
ออกมาเอง
“เรื่องบนโลกใบนี้ บางทีก็บังเอิญแบบนี้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
นางรู้ว่าจะเกิดเรื่อง แถมยังรู้ว่าเป็นเรื่องสืบทอดบัลลังก์ จึงเดา
ได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องกับรัชทายาทในอนาคต แต่ปรากฏการณ์บน
ท้องฟ้ามิได้บอกนางว่ารัชทายาทจะตายไปเลยเช่นนี้ แถมยังถูก
ฟ้าผ่าตายอีก
เมื่อนางได้ยินเฉินเซ่าบอกว่าคนที่คนนอนหงายอยู่บนพื้นคือ
ผิงอ๋อง นางก็ตกใจมาก
ลิขิตฟ้ายากนักที่จะทำนาย
การเกิดการตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่จะตายอย่างไรนั้นยาก
จะพยากรณ์ แถมเรื่องนี้บังเอิญไปเกี่ยวโยงกับสิ่งที่ตนเองเคยพูดอีก
นี่มันบังเอิญเกินไปแล้ว ดังนั้นอาการเดือดดาลของเกาหลิงปอ
จึงดูเป็นเรื่องปกติในสายตาเฉิงเจียวเหนียง
สีหน้าคนในห้องโถงใหญ่ที่มองนางด้วยความตระหนกตกใจ ก็
เป็นเรื่องปกติคำถามของฉินหู การหลบสายตาของฟ่านเจียงหลินและโจวฝู
ต่างเป็นเรื่องปกติ
เรื่องแบบนี้ สีหน้าแบบนี้ ในฐานะลูกหลานตระกูลเฉิง เป็นเรื่อง
ที่คุ้นชินเสียเหลือเกิน
คนเพียงดูท้องฟ้าทำตามกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ
เป็นสิ่งที่คนไม่สามารถขัดขืนได้ กฎของธรรมชาติดำเนินต่อไป
เพียงแต่คนมองไม่เห็นเท่านั้น
คนมักจะหวาดกลัวสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจและไม่รู้มาโดยตลอด
หากไม่เกิดเรื่องอะไรก็ดีไป แต่หากเกิดเรื่องขึ้นก็จะคิดคาดเดากันไป
ไกล
“ท่านปู่ ท่านปู่ คนพวกนั้นชี้นิ้วพูดอะไรเกี่ยวกับพวกเราด้วย”
“จะสนใจพวกเขาไปทำไม”
ชายชราร่างสูงใหญ่ผมขาวเครายาวราวเทพเซียน สีหน้า
ไม่เคยสนใจใยดีเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงเผยยิ้มที่มุมปาก
จะสนใจพวกเขาไปทำไม“แล้ว จะไม่เป็นไรใช่ไหม” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยถามอีกครั้ง ลังเล
ไปครู่หนึ่ง “พวกเขาเชื่อไหม”
“ไม่เป็นไรหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย หันไปยิ้มให้ฟ่านเจียง
หลินและโจวฝู “เพราะตอนนี้พวกเขายังต้องการข้าอยู่”
ส่วนเรื่องว่าพวกเขาเชื่อไหม ก็ไม่ได้สำ คัญอะไร
เชื่อก็เชื่อไป ไม่เชื่อแล้วจะทำไม
กระทั่งเกาหลิงปอก็ยังหยุดชะงัก รีบรับข้อเสนออันโหดเหี้ยม
ของนางและถอยกลับออกไปชั่วคราว กระทั่งไทเฮาก็ยังต้องเก็บ
ความแค้นที่มีกับนางไว้และอดทนไปชั่วคราว
ดังนั้น จะสนใจพวกเขาไปทำไม
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ฟ่านเจียงหลินจึงถอนหายใจ แม่นางหวงพา
คนนำอาหารมาให้พอดี โจวฝูจึงลุกเดินจากไป
ตั้ง
แต่ได้เจอเฉิงเจียวเหนียง เขาก็พูดไปเพียงประโยคเดียว
และบัดนี้ก็ยังบอกลาอย่างเร่งรีบ
“ท่านชายโจว” แม่นางหวงรีบเรียกเขา “กินข้าวก่อนแล้วค่อย
ไปเถิด มารอตั้งนานแล้ว…”“ไม่เป็นไร” โจวฝูเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
“ขอบคุณท่านพี่”
เสียงหญิงสาวดังขึ้นจากด้านหลัง ฝีเท้าโจวฝูหยุดชะงัก
ท่านพี่…
“หากเกิดเรื่องกับเจ้า พวกข้าก็ไม่ดีไปด้วย ไม่มีอะไรต้อง
ขอบคุณ แล้วก็ไม่ได้ทำไปเพื่อเจ้า” โจวฝูพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ยังคง
ไม่หันกลับมามอง
“ใช่ ดังนั้นข้าจะพยายามไม่ให้ตัวเองเป็นอะไร”
หญิงสาวเอ่ยขึ้น
ข้าจะพยายามไม่ให้ตัวเองเป็นอะไรอย่างนั้นรึ…
ใครจะอยากเป็นอะไร เวลาเผชิญกับเรื่องมืดฟ้ามัวดินที่ทำให้
ตัวเองตกอยู่ในที่นั่งลำบาก การพยายาม จะต้องยากเย็นแค่ไหน…
“ใครให้เจ้าพยายาม” โจวฝูหันกลับมาในทันใด เอ่ยด้วยน้ำ
เสียงโกรธเคือง “ข้าเพียงไม่อยากให้เจ้าเป็นอะไร กลัวเจ้าเป็นอะไร
ต่อให้เป็นอะไรไป เจ้าก็ยังมีข้า..และพวกข้า”ใต้แสงไฟด้านล่างระเบียง หญิงสาวหันไปยิ้มให้เขา พลันโค้ง
คำนับ
“เช่นนั้น จึงต้องขอบคุณท่านพี่” นางเอ่ย
…
เมื่อฟ้าสว่าง ในที่สุดเฉินเซ่าที่อดหลับอดนอนอยู่ในวังก็ได้สลับ
เวรกลับบ้าน เมื่อก้าวเข้าประตู ก็เห็นแม่นางเฉินสิบแปดยืนอยู่ ทำให้
เขาตกใจสะดุ้ง
แม่นางเฉินสิบแปดสีหน้าซีดเซียว ดวงตาบวมแดง สาวใช้และ
แม่นมข้างกายสีหน้าจนปัญญา หันมองเบาะที่วางอยู่ข้างๆ ก็รู้ได้ว่า
นางรออยู่ที่นี่มาทั้งคืน
“แม่นางสิบแปด นี่เจ้าทำอะไร” เฉินเซ่าขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
“ท่านพ่อ ผิงอ๋องท่าน ท่าน…” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยถามน้ำ
เสียงสั่นเครือ
“ข้าให้คนส่งข่าวไปแล้วไม่ใช่หรือ” เฉินเซ่าเอ่ย พลัน
ถอนหายใจ “ข่าวแบบนี้จะพูดมั่วได้อย่างไร”แม่นางเฉินสิบแปดส่ายหน้า ถอยหลังไปสองก้าว น้ำตาไหนริน
ออกมา
“เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร…” นางพึมพำ
ใครจะไปรู้ว่าเป็นแบบนี้ได้อย่างไร!
ฟ้าผ่าผิงอ๋องตาย คนในราชสำ นักก็เหมือนโดนฟ้าผ่าจน
ตาค้างไปด้วย นอกจากตะโกนร้องเรียกแม่ ก็พูดอย่างอื่นไม่ออก
เฉินเซ่าถอนหายใจ หันมองแม่นางเฉินสิบแปดในสภาพ
อกสั่นขวัญหาย
นางถือว่าเป็นอาจารย์ของผิงอ๋อง นางสอนเขามานาน จึงรับ
ไม่ได้สินะ
เขากำลังจะปลอบประโลม แต่แม่นางเฉินสิบแปดกลับหันหลัง
วิ่งจากไป
เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร…
น้ำตาทำให้สายตาของแม่นางเฉินสิบแปดพร่ามัว
ผิงอ๋องขยันและพยามยามขนาดนั้น ผิงอ๋องจะต้องเป็นฮ่องเต้
ที่ดีได้แต่ว่าเหตุใด ความขยันและพยายามของเขาจึงไม่มีประโยชน์
คิดจะจากไปก็จากไป…
“ขอแค่ฝึกฝนบ่อยๆ ก็จะเขียนได้ดีเหมือนแม่นางใช่หรือไม่”
“ไม่ได้ บางครั้งก็เป็นพรสวรรค์”
ไม่ได้! ไม่ได้! ไม่ได้!
บางครั้งก็เป็นลิขิตของสวรรค์! ความขยันและความพยายาม
ไม่มีประโยชน์อันใด! ไม่มีประโยชน์เลย!
เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดถึงเป็นแบบนี้!
แม่นางเฉินสิบแปดหยุดฝีเท้าลง เงยหน้ามองฟ้า
ฟ้าไม่ยุติธรรม! ฟ้าไม่ยุติธรรม! นางไม่ยอม! ไม่ยอม!