พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 564 กระวนกระวาย
“แม่นางสิบแปดเป็นทุกข์ถึงเพียงนี้ ไม่แปลกเลยที่สภาพฮ่องเต้
ดูแทบจะเสียสติ”
ฮูหยินเฉินกำลังจุดกำยานหอมผ่อนคลาย พลางมองไปยัง
เฉินเซ่าที่เพิ่งถอนหายใจพร่ำบ่น หลังจากซดน้ำชาในถ้วยไปอึกใหญ่
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเช่นนี้”
เฉินเซ่าใช้นิ้วคลึงตรงกลางคิ้ว เอ่ยเพียงอืม แล้วเงียบเสียงไป
“ถ้าอย่างนั้น ผิงอ๋องก็ถูกฟ้าผ่าจริงๆ…” ฮูหยินเฉินเอ่ยถาม
เฉินเซ่าถลึงตา
“แม้แต่ข้าเองยังเกือบจะถูกฟ้าผ่า” เขาเอ่ย พลางนึกย้อนไป
ตอนเกิดเหตุ ใจก็พลันเริ่มหวาดกลัว
ภัยธรรมชาตินี่ช่างน่ากลัวนัก
ฮูหยินที่เพิ่งจะได้ยินเรื่องนี้ก็ตกใจเสียจนทั้งรีบตรวจดูความ
เรียบร้อย ทั้งรีบจะเรียกหมอหลวงให้เข้ามาดูอาการ“ข้าให้หมอหลวงตรวจมาแล้วตอนอยู่ที่วัง ไม่มีอะไรหรอก”
เฉินเซ่าเอ่ยตอบให้ฮูหยินสบายใจ
เมื่อได้ยินดังนั้น ฮูหยินเฉินจึงรู้สึกโล่งใจไปหนึ่งเปราะ
“ฮ่องเต้…” นางเริ่มเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความสงสัย
พอเอ่ยถึงฮ่องเต้ เฉินเซ่ากลับมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“อาการเช่นนี้… คงต้องดูลาดเลากันไปก่อน” เฉินเซ่าเอ่ย
อาการของฮ่องเต้ตอนนี้อย่าว่าแต่ทุเลาลงได้ยากเลย ต่อให้
ดีขึ้นก็ตาม แต่คงไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนได้อีกแล้ว
เมื่อนึกถึงฮ่องเต้ที่นอนป่วยอยู่ นึกถึงอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะ
จวิ้นอ๋องหนุ่มที่ร่างกายแสนกระปรี้กระเปร่าโลดแล่นอยู่ในตำหนัก
ทอง
‘ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านขุนนางมานาน ในที่สุดก็ได้
เจอตัวจริง เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง’
ไหนจะตอนที่สาธยายเรื่องความหลังจนถึงเรื่องปัจจุบันจนลืม
เวลารับประทานอาหาร ทำเอาคนในวังต่างพากันต่อว่าพวกเขา
ลับหลังพอมองกลับมายังตอนนี้ เฉินเซ่าหันหน้าไปทางกระจกที่อยู่
ด้านข้าง มองดูตัวเองที่บัดนี้เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีขาว จากนั้นก็นึกถึง
ฮ่องเต้ที่กำลังนอนป่วย พลางคิดว่าพวกเขาแก่ลงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
สิ่งที่เขารับรู้ในตอนนี้มีเพียงแค่ลำคอที่แห้งผาก จนเป็นอันต้อง
ยกแขนเสื้อขึ้นป้องปากจิบชา
ฮูหยินเฉินสังเกตท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขา พลางถอนหายใจ
“ให้เฉิงเจียวเหนียงรักษาไม่ได้หรือ” นางเอ่ยถาม
“ข้าเองยังอยากให้นางรักษาผิงอ๋องเลย” เฉินเซ่าเอ่ย พลาง
หัวเราะเจื่อน
“ได้ที่ไหนกันล่ะ คิดว่านางเป็นเทวดาหรือไง” ฮูหยินเฉินส่าย
หัวพลางแขวะ
เฉินเซ่านึกย้อนไปตอนที่แม่นางเฉิงกำลังรับฟังคำพูดของเขา
อีกทั้งเขายังแสดงท่าทีน่าขันต่อหน้านาง ยิ่งคิดยิ่งอดไม่ได้จนต้อง
ถอนหายใจออกมา
“ข้าคิดว่าอาการของผิงอ๋องเขาไม่ได้เรียกว่าป่วย แต่เรียกว่า
บาดเจ็บ นางเองก็ชำ นาญในด้านการรักษาบาดแผลอยู่บ้างมิใช่รึแขนที่ถูกตัดขาดยังหาทางเชื่อมได้เลย ข้าก็เลย…” เฉินเซ่าอธิบาย
กลายเป็นว่าต้องเดือดร้อนหาหมอรักษากันพันละวันเลย
“อาการของฝ่าบาทคืออาการป่วย แถมยังมีความเสี่ยง…”
ฮูหยินเฉินรีบเอ่ยขึ้น
“ความเสี่ยง” เฉินเซ่าถอนหายใจ “เสี่ยงมันก็เสี่ยงอยู่หรอก แต่
นางบอกว่า นางรักษาไม่ได้เนี่ยสิ”
“รักษาไม่ได้จริงรึ” ฮูหยินเฉินฉงน
เฉินเซ่าเงยหน้ามองฮูหยิน ทำเอาฮูหยินถึงกับตัวหด
“ข้ามิได้สงสัยนาง…เพียงแต่…” ฮูหยินรีบแก้ตัว
“เพียงแต่อดคิดไม่ได้สินะ” เฉินเซ่าพยักหน้าเอ่ย
ก็นั่นสินะ เมื่อก่อนเคยรักษาได้มาตลอด พอสะดุดครั้งนึง ก็
ไม่แปลกที่ผู้คนจะอดคิดสงสัยไม่ได้ เมื่อก่อนทำดีช่วยเหลือคน
มาตลอด พออยู่มาวันหนึ่งกลับบอกว่าทำไม่ได้ เลยเป็นอันต้องถูก
ใครต่อใครต่อว่า ก็นะ คนเราก็เป็นเช่นนี้แหละ ห้ามกันไม่ได้หรอก
พอมาคิดๆ ดูแล้ว ลองให้เป็นเขาเองเป็นคนพูดว่ารักษาไม่ได้
เขาคงไม่กล้าเปิดเผยออกไปตรงๆ อย่างนางหรอกอยากรู้จริงๆ ว่าคนที่เป็นอาจารย์สอนนาง จะรู้ไหมว่า ได้สร้าง
คนมากความสามารถออกมาเช่นนี้ แถมยังต้องมาออกหน้าแบกรับ
เรื่องหนักหนาตั้งมากมาย
“นายท่าน อย่าคิดมากเลย” ฮูหยินเฉินเอ่ยพลางยื่นมือ
ประคอง “รีบไปนอนเถิด ยังต้องเข้าวังอีกนี่”
มาจนถึงวันนี้ วันที่ฮ่องเต้ล้มป่วยลง โอกาสฟื้นยังไม่ชัดเจน
แล้วใครกันล่ะจะรับช่วงต่อจากพระองค์ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ของบ้านเมืองใกล้เข้ามาทุกที ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ตัวเขา
เองจะต้องไม่เป็นอะไรทั้งนั้น
พอคิดได้ เฉินเซ่าก็พยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง
ฮูหยินเฉินปลดม่านลง พลางมองสามีที่กำลังเข้านอน จากนั้น
นางก็เอนกายนั่งลง สีหน้าแลดูผิดหวัง
“เป็นไปตามลิขิตฟ้าสินะ” นางบ่นพึมพำ
ทั้ง
เรื่องจันทรุปราคา รวมถึงหายนะและความวุ่นวายที่ตามมา
เรื่องที่เกิดขึ้นในวังแห่งเมืองหลวงได้ถูกแพร่สะพัดออกไปอย่าง
รวดเร็วราวกับม้าแข่งในตอนนั้นเอง รถม้าที่ถูกเตรียมไว้พร้อมจอดรออยู่ครึ่งวันได้
แล้ว แต่ไม่ยักกะเห็นนายใหญ่เฉิงเดินออกมาเสียที นายรอง
เฉิงกระฟัดกระเฟียดสะบัดแขนเสื้อแล้วรีบก้าวเท้าเข้าไปด้านใน
“จะไปหรือไม่ไปกันแน่ เดี๋ยวก็รีบออกอย่างกับจะไปทำคลอด
พอสักพักเดี๋ยวก็มัวแต่นวยนาถ นี่คิดจะทำอะไรกันแน่ สรุปจะกลับ
เจียงโจว หรือจะกลับเมืองหลวง”
นายรองเฉิงตะโกนด่าฉอดใหญ่พลางเปิดประตูเข้าไป เป็น
อย่างที่คาด นายใหญ่เฉิงไม่ได้อยู่ในสภาพที่เตรียมตัว
จะออกเดินทางแต่อย่างใด แต่กลับนั่งเฉยๆ และอ่านจดหมาย
“พี่ใหญ่ นี่กำลังรออะไรอยู่รึ”
“รอจดหมายไงล่ะ” นายใหญ่เฉิงพึมพำ ท่าทีดูเหม่อลอย
รอจดหมายงั้นรึ
มัวแต่รอจดหมายอะไรกัน
รอจดหมายจากเมืองหลวง ที่ได้แจ้งข่าวเรื่องที่จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
ขอเฉิงเจียวเหนียงแต่งงาน อีกทั้งได้รับความยินยอมจากฮ่องเต้แม้ว่าหลังจากได้รับจดหมายนี้ นายใหญ่เฉิงจะรีบบึ่งกลับไป
เมืองหลวงก็จริง แต่ภายในใจของเขาก็ยังมีความลังเลไม่น้อย
หรือว่าบางที คนจากเมืองหลวงยังเขียนจดหมายมาไม่ทัน
บางที อาจเจอเรื่องติดขัดระหว่างทาง…
แต่อย่างไรเสีย จดหมายฉบับถัดไปก็ต้องถูกส่งมาอยู่ดี ส่ง
มาบอกว่าให้พวกเขากลับไปยังเมืองหลวง
พวกเขาเลยต้องประเดี๋ยวรีบ ประเดี๋ยวประวิงเวลา ก็เพราะ
เกรงว่าถ้าได้รับจดหมายแล้วจะต้องรีบกลับเมืองหลวง
ในที่สุด เขาก็ได้รับจดหมายฉบับล่าสุดแล้วสินะ
นายใหญ่เฉิงเงยหน้าขึ้น ทำเอานายใหญ่รองเฉิงไม่ทันตั้งตัว
“ท่านพี่ เป็นอะไรไปรึ” นายรองเฉิงเอ่ยถาม
นายใหญ่เฉิงใบหน้าซีดเซียวราวกับหิมะ นัยน์ตาแฝงไปด้วย
ความหวาดกลัว
ผิงอ๋องตายแล้ว ฮ่องเต้เองก็ล้มป่วยยังไม่ฟื้น
ถ้างั้น เรื่องบังคับแต่งงานเอย เรื่องที่ผิงอ๋องข่มขู่เอย…เป็นแค่เรื่องเล็กๆ เรื่องเล็กๆ เท่านั้น…
‘จะแต่งกับใครค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ท่านลุงต้องรีบพาท่านพอ
กลับไปยังเจียงโจวโดยด่วน’
‘อยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ คงไม่สะดวกเท่าไหร่นัก’
มือของนายใหญ่เฉิงเริ่มสั่นอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้ง
ที่แท้ ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
เป็นฝีมือของนางงั้นรึ
นายใหญ่เฉิงพยายามนึกย้อนเหตุการณ์ต่างๆ จนเริ่มแน่นอก
หายใจไม่ออก
ไม่ ไม่จริง หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ละก็ ตอนนี้เขาคงไม่ได้รับ
จดหมาย แล้วถูกทหารล้อมตัวแล้วจับไปสินะ
หรือว่านางจะเป็นผู้มีตาวิเศษมองเห็นอนาคตได้อย่างนั้นรึ…
ไม่ว่าจะเป็นแบบใด แต่ตอนนี้ เมืองหลวงแห่งนี้คงอยู่ไม่ได้แล้ว
ต้องรีบกลับไปยังเจียงโจวโดยด่วน
นายใหญ่เฉิงเด้งตัวขึ้นมาพลางตะโกน
“มุ่งหน้าไปยังเจียงโจวโดยด่วน”นายรองเฉิงที่กำลังโค้งตัวสังเกตอาการคนตรงหน้า จังหวะ
พอดีกับที่นายใหญ่เฉิงกระเด้งตัวขึ้นมา นายรองเฉิงจึงถูกเสยคาง
เข้าให้
นายรองเฉิงร้องโอดโอยแล้วหงายหลังล้มลงไป รู้ตัวอีกที
นายใหญ่เฉิงก็วิ่งออกไปด้านนอกแล้ว
เขาเอามือปาดตรงริมฝีปาก มีรอยเปื้อนเลือดติดออกมา
“บ้าไปแล้ว…”
นายรองเฉิงเอ่ยทะลุรอดไรฟันออกมา
ขณะที่รถม้าของตระกูลเฉิงเพิ่งจะพุ่งตัวออกไปจากศาลาพัก
ม้า ตอนนั้นเอง ก็มีคนรีบพุ่งตัวเข้ามายังศาลาพักม้าเช่นกัน
“…เกิดเรื่องแล้ว ผิงอ๋องถูกฟ้าผ่าตาย…ส่วนฮ่องเต้เองก็
อาการไม่สู้ดีนัก…”
ประโยคเมื่อครู่ดังขึ้นราวกับท่อนไม้ไผ่ที่แตกดังเปรี๊ยะ
ท่ามกลางหิมะเย็นๆ ทำเอาผู้คนทั้งศาลาพักม้าแตกตื่นกันใหญ่
“…จะเป็นไปได้อย่างไร…”
“…ข่าวเริ่มแพร่สะพัดแล้วนะ…”“…ผิงอ๋องถูกฟ้าผ่าตายงั้นรึ งั้นแสดงว่าเขาถูกสวรรค์ลงโทษ
สินะ”
“…ไม่ใช่อย่างนั้น ได้ยินมาว่าเป็นอุบัติเหตุน่ะ…”
“…จะเป็นอุบัติเหตุไปได้อย่างไรกันล่ะ…”
“…เป็นอุบัติเหตุจริงๆ ได้ยินมาว่าแม่นางเฉิงหมอเทวดา
จะเป็นคนพิสูจน์ให้เห็นด้วยว่าเรื่องที่เกิดนั้นเป็นอุบัติเหตุ ฟ้าที่ผ่า
ลงมาเป็นเพราะศาลาพักม้า ว่ามีตัวล่อเป็นคน ไม่ใช่ฟ้าประธานโทษ
แต่อย่างใด…”
“…ฟ้าผ่าไม่ใช่เป็นเพราะฟ้าประธานโทษงั้นรึ จะเป็นไปได้
ยังไง!”
“…แม่นางเฉิงพูดเองกับปากว่าจะเป็นคนทดสอบล่อฟ้าให้ดู
ถ้าทำได้จริง ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ใช่ฟ้าประทานโทษ…”
ในขณะที่ผู้คนตรงจุดพักม้ากำลังเสวนาเรื่องนี้กันอย่าง
น้ำไหลไฟดับ แต่สำ หรับผู้คนที่อยู่ในเมืองหลวงนั้นกลายเป็นว่าเรื่องซาไปแล้ว แถมกำหนดการเรื่องที่จะทำการล่อสายฟ้านั้นก็ได้
ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว
ซึ่งจะเกิดขึ้นในอีกสองวันถัดไป ณ จินสุ่ยย่วน บรรยากาศ
คึกคักกว่าตอนที่รอชมพระจันทร์เสียอีก ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่าง
กรูกันเข้ามายังเมืองหลวง พากันจับจองพื้นที่ในจินสุ่ยย่วน
“…นี่มันเรื่องไร้สาระทั้งเพ…ฟ้าผ่ามันก็เรื่องปกติไม่ใช่รึ ไม่ยัก
กะเคยได้ยินว่าจะล่อฟ้าผ่ามาได้…”
“…นางเป็นหมอเทวดานะ ต้องมีวิธีอยู่แล้ว”
“…ก็ถ้าเป็นหมอเทวดาจริงๆ เหตุใดถึงพูดว่าฟ้าผ่ามิได้เป็น
ฟ้าประทานโทษล่ะ แบบนี้มันขัดๆ กันอยู่นะ”
ประตูถูกเปิดออก เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ลอดตามช่องระหว่าง
ประตู สาวใช้ที่กำลังเดินผ่านตรงประตูนั้น พอได้ยินเข้า จึงอดไม่ได้
ที่จะหยุดก้าวฝีเท้า พอประตูถูกปิดลง เสียงเหล่านั้นก็เป็นอัน
เงียบหายไป
“…จะไปดูหน่อยไหม”“ข้าเองก็อยากไปดูนะ แต่ดูทรงแล้ว คงเบียดเข้าไปไม่ไหว
หรอก…”
หญิงสองคนที่ซื้อเหล้ามากำลังเดินกระซิบกระซาบกัน
ชุนหลิงเหลือบดูด้านใน ผ่านเสาต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้า
ห้องโถง เนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของผิงอ๋อง รวมถึงอาการประชวร
หนักของฮ่องเต้ ทำให้แหล่งเริงรมย์รอบเมืองเป็นอันต้องถูกระงับ
น้อยคนที่มาเยือนและใช้บริการที่หอเต๋อเซิ่ง และต่อให้มีคนเข้ามา
ก็ตาม ก็ล้วนพูดคุยกันถึงเรื่องล่อสายฟ้าที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้
ชุนหลิงก้าวเท้าเข้าไปยังห้องที่เหล่านางโลมเอาไว้ใช้พักผ่อน
เหล่านางโลมที่ว่างงานต่างก็พากันจับกลุ่มพูดคุย
“…เริ่มลงขันกันแล้วสินะ เจ้าลงฝั่งไหน”
“แน่นอนว่าข้าลงฝั่งแม่นางเฉิงอยู่แล้ว” ชุนหลิงเอ่ย
นางโลมสองคนหันหน้ามามองชุนหลิง
“แม่นางเฉิงเป็นคนเก่งมากเลยนะ” ชุนหลิงมองตาพวกเขา
แล้วเอ่ยออกมาอย่างหนักแน่น แต่ก็แฝงไปด้วยความอวดเบ่ง
เหล่านางโลมต่างพากันหัวเราะ“นั่นสินะ ก็นางเป็นผู้มีบุญคุณต่อเจ้านี่ ไม่แปลกที่เจ้าจะต้อง
มองว่านางเก่ง” พวกนางเอ่ยเยาะ
“พวกท่านเองก็ลงให้มากๆ กันหน่อยสิ พอชนะแล้วคงได้เงิน
ไม่น้อยเลย” ชุนหลิงเอ่ยอย่างจริงจัง
เหล่านางโลมมีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ชุนหลิงรีบเดินออกไป
ชุนหลิงเย้ยหยันในใจ ลงเงินกันมากๆ ล่ะ พวกไร้สมอง
หารู้ไม่ ที่ชุนหลิงมั่นใจอยู่ข้างฝั่งแม่นางเฉิงขนาดนี้ มิใช่เป็น
เพราะเรื่องบุญคุณแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะนางเคยเห็นแม่นาง
เฉิงล่อสายฟ้าฟาดปลิดชีวิตคนมาแล้วต่างหาก
ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
มือสองข้างของชุนหลิงที่สำ รวมไว้ด้านหน้าค่อยๆ กำแน่นขึ้น
อย่าว่าแต่ตระกูลเกาเลย แม้แต่ระดับผิงอ๋อง แม่นางเฉิงก็กล้า
ทำได้ลงคอ!
ในเมื่อแม่นางเฉิงเก่งขนาดนี้ เห็นทีชุนหลิงคงต้องระวังตัวไว้ให้
ดี ต้องหลบซ่อน ต้องวางแผน มิให้นางล่วงรู้เบื้องลึกได้ไม่เช่นนั้น คงหมดโอกาสที่จะล้างแค้น
… ณ
ลานในเรือนตระกูลจาง เสียงร้องไห้ระงมของหญิงสาวดัง
ขึ้นอีกครั้ง
“…นายหญิงไม่ได้โกหก ที่นางล่อสายฟ้ามาก็เพื่อจะให้โดน
ตัวเองต่างหาก…”
เหล่าสาวใช้ต่างร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่
“ตอนนั้นอันตรายแค่ไหน มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นรู้ดี
ที่สุด…”
“คืนวันนั้นที่ฝนตกครั้งใหญ่ ข้ากำลังหมอบอยู่ตรงหลังคา
เพื่อที่จะโยนเชือกลงมา ลมพัดแรงจนข้ายืนไม่ไหว เสียงฟ้าผ่านั่น
ดังลั่นราวกับว่ามันกำลังผ่าลงมากลางหัวข้ายังไงยังงั้น…”
“นายหญิงตอนนั้นกำลังอยู่ในห้อง นายหญิงต้องอยู่ตรงนั้น
เพราะต้องคอยเปิดประตูหน้าต่าง…”“นางไม่ได้จะล่อสายฟ้าให้มาโดนเจ้าสองคนนั่น เดิมนางจงใจ
จะให้โดนตัวเอง…ถ้าตอนนั้นนางไม่ได้เร่งมือแล้วล่ะก็ ถ้าตอนนั้น
นางไม่ได้รีบออกจากห้องไปตอนวินาทีสุดท้าย แล้วถ้าตอนนั้น สอง
คนนั้นไม่ขี้ขลาดกลัวฝนจนต้องวิ่งตามนางออกมา คนที่ตายก็คง
เป็นนางเอง…”
“…นายหญิงเคยบอกไว้ หากพลาดแม้แต่นิดเดียว แม้แต่
นิดเดียว ก็อาจตายได้…”
“…มันง่ายขนาดนั้นเสียที่ไหนกันล่ะ คิดหรือว่าแค่ให้นางยืน
อยู่ห่างๆ ขยับนิดขยับหน่อย ก็บังคับให้ฟ้าผ่าลงไปที่ใครก็ได้น่ะ…
บนโลกนี้มีเรื่องง่ายขนาดนั้นเสียเมื่อไหร่…”
บ่าวเฒ่าเมื่อได้ฟังความแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ พลาง
พยักหน้า
“นั่นสินะ บนโลกนี้ ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง หากมีความคิด
จะปลิดชีวิตผู้อื่น ก็ต้องกล้าพอที่จะปลิดชีวิตตนเองเสียก่อน” บ่าว
เฒ่าเอ่ย
นายใหญ่จางที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างทำปากขมุบขมิบ“พูดแล้วได้อะไรขึ้นมา เรื่องตัวเองยังเอาไม่รอด ยังจะไปยุ่ง
เรื่องคนอื่นอีก” เขาเอ่ยขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น บ่าวชราก็ชักสีหน้าใส่นายใหญ่จาง
ส่วนสาวใช้กลับร้องไห้หนักกว่าเดิม
“แต่นายหญิงของพวกเรากำลังถูกเข้าใจผิดนะเจ้าคะ มีแต่คน
มองนายหญิงไม่ดี เหตุใดพวกเขาถึงไม่ฟังกันบ้าง เหตุใดต้องคิด
เช่นนี้ นายหญิงของพวกเราเลยต้องตกที่นั่งลำบาก”
นายใหญ่จางจู่ๆ กล่าวเย้ยขึ้น
“พวกเจ้ามันโง่ คนเราก็มักจะยกความคิดของตัวเองเป็นใหญ่
ทั้ง
นั้น
แหละ พวกเจ้าเองก็เหมือนกัน ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะคิดยังไง ก็
เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่ต้องหาวิธีเปลี่ยนใจใครทั้งนั้น” เขาเอ่ยต่อ
“เจ้าเองก็อย่ามัวแต่เศร้าไป นายหญิงของพวกเจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจว่า
อะไรเป็นอะไร ไหนเจ้าเคยบอกว่านายหญิงไม่ค่อยพูดค่อยจา
เพราะร่างกายไม่ค่อยสู้ดี แล้วพวกเจ้าคิดหรือว่าที่นางไม่ค่อยพูด
เป็นเพราะแค่เรื่องสุขภาพร่างกายน่ะ”เอาจริง เขาเองก็ขี้เกียจมาสั่งสอน ไม่มีอะไรต้องพูดต่อทั้งนั้น
เพราะไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูด ก็คงไม่ต่างกัน
“เหตุใดนายหญิงของพวกเราถึงได้ซวยขนาดนี้” สาวใช้เช็ด
น้ำตาพลางตัดพ้อ
นายใหญ่จางเมื่อได้ยินก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
“ซวยงั้นรึ” เขาหัวเราะ พลางเอ่ย “อย่างนางน่ะไม่ซวยหรอก
นางเคยเสียเปรียบใครที่ไหนล่ะ นางน่ะได้เปรียบยิ่งนักเชียวล่ะ แล้ว
ดูเจ้าสิ เอาแต่นั่งร้องห่มร้องไห้อยู่อย่างนี้ คนที่เขาต้องร้องไห้เสียใจ
จริงๆ ควรทำอย่างไรล่ะ”
สาวใช้เงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจปนสงสัย
อย่างนี้น่ะหรือที่เรียกว่าได้เปรียบน่ะ