พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 565 ช่างเถิด (1)
“ท่านพ่อ ถ้าเป็นเช่นนี้ นางชั่วนั่นก็ได้เปรียบเอานะสิ!”
เมื่อรู้ว่าบิดาของตนกลับมาแล้ว ท่านชายเกาที่นอนซมอยู่บน
เตียงก็สะดุ้งตัวขึ้น
“ทำไมไม่รีบฆ่านางเสียเลยเล่า!”
พอสิ้นเสียง สิ่งที่เขาได้ตอบกลับมาคือแรงตบเข้าฉาดใหญ่
ท่านชายเกาเอามือป้องหน้าตัวเองพลางถอยหลัง สีหน้าของ
เขาที่กำลังมองดูเกาหลิงปอนั้นทั้งหวาดกลัวและรู้สึกผิด
เกาหลิงปอรีบคว้าตัวเขามา พลางจ้องด้วยดวงตาอันแดงก่ำ
“เจ้าไปพูดอะไรกับผิงอ๋องกันแน่!” เขาตะโกน “พูดว่าอะไร!”
“ท่านพ่อ ข้าก็ทำตามที่ท่านพ่อกล่าวไว้ ว่าให้ไปสารภาพ
ความผิดกับฝ่าบาท สารภาพผิดกับฝ่าบาทอย่างไรเล่า” ท่านชาย
เกาตะเบ็งเสียง
“แล้วเหตุใด เขาถึงถูกฟ้าผ่าเล่า เหตุใดเขาถึงถูกฟ้าผ่าจนตาย
เล่า” เกาหลิงปอตะโกนย้ำ จนนัยน์ตารื้น น้ำตาเริ่มไหลพรากตายได้อย่างไรกัน…
“ท่านพ่อ” ท่านชายเกาตะเบ็งเสียง ใบหน้าของเขาเองก็
ดูเหมือนจะร้องไห้ตาม “ตอนนั้นพระองค์ต้องการสารภาพผิด เลย
ต้องนั่งคุกเข่าด้านนอกตำหนักเพื่อแสดงความจริงใจ”
เกาหลิงปอตบเข้าไปที่ใบหน้าของท่านชายเกาอีกฉาด
“อย่างนั้นนะหรือที่เรียกว่าความจริงใจ” เกาหลิงปอบัน
ดาลโทสะ “ใครๆ ต่างก็พากันไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่เขากลับเอาแต่
ประกาศปาวๆ ต่อหน้าผู้คน ทำเช่นนั้นเท่ากับว่าเขากำลังตบหน้า
ฝ่าบาท อย่างนี้เขาเรียกว่าข่มขู่! คือการเนรคุณ! อกตัญญู!”
แม้ว่าเกาหลิงปอจะไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดาก็จริง แต่ตอนที่
รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงที่ผิงอ๋องได้ลั่นวาจา ก็อดคิดไม่ได้
ว่าหรือเขาจะถูกฟ้าลงโทษเข้าจริง
ทั้ง
การกระทำและคำพูดคำจา ก็สมควรแล้วที่จะต้องถูกฟ้าผ่า
น่ะ!
ท่านชายเกาโอดครวญ“ก็ท่านมิใช่รึที่ให้เขาไปน่ะ ข้าบอกเลยว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า
สักนิด” ท่านชายเกาเอ่ย “เป็นผิงอ๋องเองที่ไม่ฟังคำเตือน ยังดื้อรั้น
จะไป ห้ามยังไงก็ไม่อยู่”
นั่นสินะ ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่
อย่างที่ชาวบ้านเขาว่ากันไว้ ใครมันใส่ร้ายองค์จักรพรรดิจัก
ต้องตายก่อนพ้นวัน ไม่มีใครปล่อยให้อยู่รอดจนถึงเช้ามืดหรอก
“สวรรค์ลิขิตก็คือคนลิขิต คนลิขิตก็คือสวรรค์ลิขิตนั่นแล” เกา
หลิงปอพึมพำ จากนั้นก็ผลักท่านชายเกาออกไปด้วยท่าทีหดหู่
เหมือนคนไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น
เหล่าชิงเค่อที่อยู่รอบกาย ต่างพากันเข้ามาช่วยพยุงกัน
จ้าละหวั่น แต่หากลองสังเกตให้จะพบว่าท่าทีของเหล่าชิงเค่อดู
อิดโรยและวิตกกังวลจนผิดสังเกต
ผิงอ๋องจากไปแล้ว…
ผิงอ๋องจากไปแล้ว…
แล้วจะยังไงต่อดีล่ะทีนี้
“ยังไงต่อดีล่ะทีนี้ ผิงอ๋องไม่อยู่แล้ว แต่เรายังมีไทเฮาอยู่นะ”เกาหลิงปอที่ย้ายมานั่งพิงบนเก้าอี้เรียบร้อย เขาเอ่ยขึ้นด้วย
เสียงแหบพร่าพลางปาดน้ำตา
ฮ่องเต้ประชวรหนัก ไทเฮาเลยต้องรับหน้าที่ชั่วคราว
“ตระกูลเกาอย่างพวกเราเป็นถึงราชนิกุลลำดับต้นๆ เชียวนะ!”
เหล่าชิงเค่อ พอได้ฟังประโยคเมื่อครู่ ก็ต่างหันหน้ามองตากัน
ปริบๆ
“แต่ว่า นายท่าน ไทเฮาแค่รับหน้าที่ชั่วคราวเท่านั้นขอรับ…”
ชิงเค่อนายหนึ่งเอ่ยเบาๆ
หากฮ่องเต้อาการยังไม่ดีขึ้น ไทเฮาต้องขึ้นมาทำหน้าที่แทน
จะสิบวัน ครึ่งเดือน หากนานถึงครึ่งปี ก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่
เหล่าขุนนางราชสำ นักคงไม่ยอมให้ไทเฮาดำรงตำแหน่งนานแน่นอน
อีกทั้งอายุอนามของไทเฮาเองด้วย
หากพูดถึงใครที่เหมาะสมที่จะมาทำหน้าที่แทน ก็คงจะเป็น
ฮองเฮา
ฮองเฮางั้นรึ!“นายท่าน คนจากตระกูลซ่งเข้ามายังเมืองหลวงติดต่อกัน
หลายคืนแล้วนะขอรับ” ชิงเค่อนายหนึ่งเอ่ยขึ้น
ตระกูลซ่งจากเมืองไหลหยางคือต้นตระกูลฝ่ายบิดาของ
ฮองเฮา การมีอยู่ของพวกเขาก็แทบไม่ต่างอะไรกันกับฮองเฮานัก
เป็นคนที่ใครต่างก็คงนึกไม่ถึงว่ายังมีตัวตนอยู่
เอาละ เอาละ เอาละ
เกาหลิงปอกัดฟันกรอดๆ
ท่านชายเกาที่นั่งฟังอยู่ด้านข้าง พอฟังชิงเค่อเอ่ยจบ ก็รีบเอ่ย
แทรกขึ้นมาในทันใด
“ท่านพ่อ ตระกูลซ่งเทียบกับตระกูลพวกเราได้ที่ไหน อีกทั้ง
บัดนี้ไทเฮาเป็นผู้สำ เร็จราชการแทนพระองค์ ตำแหน่งแบบนี้ใช่ว่า
จะสับเปลี่ยนกันง่ายๆ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า “ท่านพ่อ ตอนนี้
เรื่องที่ด่วนกว่าคือเรื่องของแม่นางเฉิงบ้านั่น มะรืนนี้นางจะล่อ
สายฟ้าให้ดูอีก หากนางทำสำ เร็จ เรื่องที่เกิดขึ้นก็กลายเป็นแล้วไป
อย่างนั้นรึ”เกาหลิงปอหันหน้าไปทางลูกชายด้วยสายตาอำมหิต ทำเอา
คนตรงหน้าตัวหดหายไม่กล้าเอ่ยต่อ
“เจ้ายังมีหวังกับเรื่องที่เกิดขึ้นอีกงั้นรึ” เกาหลิงปอกัดฟันกรอด
ๆ “เรื่องนี้มันจบลงตั้งแต่ตอนที่ไทเฮาเอ่ยถามแล้ว!”
จะเป็นเช่นนั้นรึ
ท่านชายเการู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ
“หากนางทำไม่สำ เร็จเล่า” เขารีบเอ่ยต่อ พลางรีบเอามือป้อง
หัวของตนราวกับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เกาหลิงปอเขวี้ยงถ้วยชาอย่างโมโห
“ก็ถ้าล่อสายฟ้าไม่ได้ ก็แปลว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางนะสิ!”
…
“ล่อสายฟ้าได้แล้วอย่างไร เกี่ยวอะไรกับนางด้วยล่ะ”
ณ เพิงหลังหนึ่งตรงตำแหน่งที่ดีที่สุดกลางสวนจินสุ่ยย่วน
ขุนนางสองนายกำลังพูดคุยกัน พลางมองลงไปยังลานขี่ม้ายิงธนูที่
บัดนี้เต็มไปด้วยผู้คนในลานทั้งสี่ทิศเต็มไปด้วยเพิงที่ถูกนำมากางไว้เนืองแน่นจน
ซ้อนกันเต็มไปหมด จนคนในวังต้องคอยจัดระเบียบ
“ดูฝูงชนเหล่านี้สิ แล้วดูของหน้าตาประหลาดพวกนั้นสิ…”
หนึ่งในขุนนางเอ่ยขึ้น สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มคน พลางเอ่ยพึมพำ
“ว่าวกระดาษเอย…แท่งเหล็กเอย…”
พอเขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็รีบถอนสายตาออกมา
“ของมากมายพวกนี้น่ะหรือจะล่อสายฟ้าได้ แน่หรือที่ว่าเรื่อง
ที่เกิดขึ้นกับองค์ผิงอ๋องเป็นเรื่องที่วางแผนไว้ก่อนแล้ว ใครมันจะกล้า
วางของพวกนี้ในวังอย่างโจ่งแจ้งกันหนอ”
ขุนนางอีกนายพยักหน้า พลางมองลานตรงหน้าด้วยความ
สนอกสนใจ
“เจ้าวางเดิมพันแล้วหรือยัง” เขาหัวเราะ
“วางเดิมพงเดิมพันอะไรกัน ถ้าพลาดขึ้นมา ข้าคงกู่ไม่กลับ
แล้วล่ะ” ขุนนางอีกคนเอ่ยตอบด้วยอารมณ์ขัน
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ทั้งสองก็มองดูบรรยากาศรอบกายอันคึกคักที่
เต็มไปด้วยฝูงชนอีกครั้ง“นี่มันเรื่องอะไรกันนี่ ดูครึกครื้นกว่าช่วงปีใหม่เสียอีก” เขาเอ่ย
พลางส่ายหน้า
“ก็ยังดีกว่าให้คนทั้งเมืองต้องมานินทาถึงผิงอ๋องที่ดับอนาถ
เพราะถูกสายฟ้าฟาดแล้วกัน” ขุนนางอีกคนเอ่ยตอบ
“ไทเฮาเองก็อาการหนักเสียจนหาหมอรักษากันให้วุ่นไปหมด”
ขุนนางที่เอ่ยก่อนหน้าถอนหายใจ
ส่วนอีกคนก็ยิ้มอ่อนออกมา
“อย่างน้อยก็ยังพอรักษาได้” เขาเอ่ย
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันสนุกปากท่ามกลางบรรยากาศ
คึกคัก พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าแม่นางเฉิงมาถึงแล้ว
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องอื่นเลย วันนี้ดูคนล่อสายฟ้าให้หนำใจก่อน
แล้วกัน” พวกเขาหัวเราะคิกคัก จากนั้นจึงแหงนหน้ามองฟ้า
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่เริ่มหายไป ทดแทนด้วยความดำมืด
ของก้อนเมฆ ไร้เสียงลมพัด ความร้อนอบอ้าวเริ่มแผ่ซ่าน ทำเอา
ผู้คนที่เข้ามารอต่างพากันรู้สึกไม่สบายตัวปั้น
ฉินรีบยื่นพัดที่อยู่ในมือให้กับเฉิงเจียวเหนียงอย่างรวดเร็ว
พลางมองยังท้องฟ้า
“นายหญิง นายหญิง ให้ข้าทำเถิด” สาวใช้นางหนึ่งเอ่ยอย่าง
ร้อนรน
สาวใช้คนนี้ลุกลี้ลุกลนรีบออกมาจากบ้านตระกูลจางตั้งแต่
เมื่อวาน หนำซ้ำ ยังคงเอ่ยประโยคเมื่อครู่นี้ไม่หยุดไม่หย่อนตั้งแต่
เช้ายันค่ำ
“นายหญิง อย่างน้อย ข้าเคยทำมาก่อน” สาวใช้เอ่ยด้วย
เสียงทุ้มต่ำ
นางเอาแต่ย้ำแต่ประโยคเดิมๆ เสียจนโจวฝูที่ยืนอยู่ข้างๆ อด
ไม่ได้ที่จะมองหางตา
เป็นฝีมือสาวใช้คนนี้สินะ…
เหตุตอนนั้น คงเป็นสาวใช้คนนี้สินะ
“ก็เมื่อก่อนเจ้าทำ แต่ข้าไม่ได้ทำ คราวนี้ก็สลับกันบ้างสิ ให้ข้า
ทำบ้าง ส่วนเจ้ารอข้า เจ้ากล้าหรือไม่ล่ะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
สาวใช้พยักหน้าไม่หยุด“ข้ากล้า ข้ากล้า”
“นายหญิง ข้าเองก็กล้า” สาวใช้กับปั้นฉินรีบเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงมองดูพวกนาง พลางคลี่ยิ้ม
“ดีเลย ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าไปยืนรอบๆ หุ่นไล่กา พอถึงเวลาก็
ฟังที่ข้าบอก” เฉิงเจียวเหนียงพอเอ่ยถึงตรงนี้ ก็นิ่งไปชั่วครู่ “ต้อง
ฟังที่ข้าบอกให้ดีละ ผิดไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ช้าไปก็ไม่ได้ ไม่
เช่นนั้น อาจถึงตายได้เลย”
สาวใช้ทั้งสามคนพยักหน้าขานรับอย่างไม่ลังเล จากนั้นจึงรีบ
มุ่งหน้าไปยังใจกลางลานขี่ม้ายิงธนู
ซึ่งเป็นจุดที่ตั้งของหุ่นไล่กา
พอเห็นสาวใช้ทั้งสามประจำ ตำแหน่ง บรรยากาศโดยรอบของ
ผู้คนที่มารอชมก็เริ่มครึกครื้นมากขึ้น
“จะเริ่มแล้วหรือ”
“จะเริ่มแล้วใช่ไหม”
“เริ่มอะไรกันเล่า อย่าว่าแต่สายฟ้าเลย ตอนนี้แม้แต่ลมก็
แทบจะไม่พัดมา”เฉิงเจียวเหนียงไม่สนใจเสียงเซ็งแซ่รอบทิศ จากนั้นหยิบว่าว
กระดาษที่วางอยู่ด้านข้างแล้วยกขึ้นมา
เป็นว่าวรูปผีเสื้อที่มีถูกออกแบบอย่างสวยงามและประณีต
“ข้าเองก็ไม่ได้เล่นว่าวมานานแล้ว” นางกำลังพูดกับตนเอง
ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองดูคนตรงหน้า “พวกเจ้า
มีใครอยากมาเล่นด้วยกันไหม”
คนตรงหน้าที่ว่าก็คือเหล่าสาวใช้ในเรือน ที่ต่างก็แย่งกันยื่น
ไม้ยื่นมือออกมาจะขอเล่นด้วย
“ข้าอยากเล่น”
สาวใช้สามสี่คนแย่งกันตะโกน แต่กลับมีมือลึกลับที่จู่ๆ ก็โผล่
มาแล้วคว้าว่าวนั้นไป
ที่แท้ก็เป็นโจวฝูนั่นเอง เมื่อได้เห็นดังนั้น เหล่าสาวใช้ก็รีบพา
กันก้มหน้าแล้วชักมือกลับ
เฉิงเจียวเหนียงเองไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ มือพลางคว้ากระดิ่งที่วาง
อยู่ด้านข้างเอามามัดรวม พอจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็
ค่อยๆ กระตุกเชือกป่าน พลางมองขึ้นไปยังท้องฟ้าสายตาของผู้คนที่จับจ้องไปยังนางเองก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ด้วยเช่นกัน
“ได้แล้วล่ะ” เฉิงเจียวเหนียงละสายตาจากด้านบน พลางมอง
ไปที่โจวฝูแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันไปพร้อมออกตัววิ่ง
ขณะที่นางเริ่มออกตัว สักพักก็มีลมโชยพัดเข้ามายังลาน
ทำเอาผู้คนแตกตื่น
“ดูสิ ลมพัดมาแล้ว!”
ขุนนางสองคนที่อยู่ในเพิงเองก็อดไม่ได้ที่จะร้องตะโกน
โหวกเหวก พวกเขาหรี่ตาลงพลางใช้มือกุมชุดคลุมยาวที่กำลังปลิว
สะบัดอย่างรุนแรง
“ลมก็มาได้จังหวะพอดีเลยนะ” หนึ่งในสองขุนนางเอ่ยอย่าง
ขำขัน
ดูเหมือนว่า นางกำลังคาดคะเนอยู่ว่าลมจะพัดมาเมื่อใด เมื่อ
ครู่เขาสังเกตเห็นว่า ก่อนที่แม่นางเฉิงจะเริ่มวิ่ง ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ
ก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เพียงแต่ สายตาของทุกคนเอาแต่จับจ้องไปที่
นางจนลืมสังเกตดูรอบๆเส้นป่านที่อยู่ในมือนางค่อยๆ ทะยานขึ้น พอเฉิงเจียวเหนียงหัน
ไปดู ก็เห็นเงาของตัวเองกำลังตึงว่าวให้สูงขึ้น
‘…ข้าบอกแล้วไงว่าเดี๋ยวลมจะมา…’
‘…อาฝั่ง เจ้าหยอกข้าอีกแล้วนะ….’
เสียงหัวเราะคิกคัดลอยมาตามสายลม
‘…อาซ่าน ปล่อยมือได้แล้ว…’
เสียงของสายฟ้าค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา ลมพัดหนักจนลืมตา
แทบไม่ขึ้น เพิงที่อยู่บนลานรับแรงลมไม่อยู่จนใกล้จะพังลงแล้ว
ว่าวกระดาษบินสูงขึ้นกว่าเดิม โจวฝูอดไม่ได้ที่จะพะวงกับหญิง
สาวที่กำลังถือสายป่านวิ่งเหยาะๆ นางกำลังสังเกตท้องฟ้าสลับกับ
มองดูตนเอง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มนั่นมัน…
รอยยิ้มแบบนี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ไม่สิ เขาเคยเห็น ก็ช่วงปีใหม่ทุกปีอย่างไรเล่า ที่เหล่าน้องๆ ใน
เรือนต่างก็ออกมาเล่นว่าวกันอย่างสนุกสนาน รอยยิ้มของพวกเขาก็
เป็นแบบนี้เหมือนกันเพียงแต่ รอยยิ้มเช่นนี้ เป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยได้เห็นจากนาง
มาก่อน
โจวฝูก้าวเท้าไปด้านหน้า ทันใดนั้น เสียงฟ้าร้องดังขึ้น เม็ดฝน
จากฟ้าเริ่มตกกระทบลงพื้นดิน
เสียงลมเสียงฝนรวมถึงเสียงโหวกเหวกของผู้คนปะปนกันจน
ดังกึกก้องไปทั่ว
“ฝนเทลงมาจริงๆ ด้วย! ฝนเทลงมาจริงๆ ด้วย!”
บ่าวที่อยู่ใต้เพิงเอ่ยตะโกนขึ้นพลางชี้นิ้วไปยังด้านนอก เสียง
หยดน้ำฝนที่กระทบลงเพิงราวกับเสียงคั่วของเม็ดถั่วในกระทะ อีกทั้ง
มีเสียงตะโกนของผู้คนดังขึ้นหนาหู บ่าวเลยอดไม่ได้ที่จะต้องตะเบ็ง
เสียงให้ดังขึ้น
“นายท่าน ดูสิขอรับ”
สายตาของฉินหูคอยสังเกตด้านนอกอยู่ตลอด ไม่จำ เป็นต้อง
ให้บ่าวมาคอยแจ้งข่าว
“ก็ต้องตกอยู่แล้วสิ” เขาเอ่ย “คนอย่างนางไม่เคยพูดเท็จหรอก
”บ่าวหันหน้าไปทางฉินหู
“เอ่อ นายท่าน ในเมื่อนายท่านรู้อยู่แล้ว เหตุใดถึงยังตามมาดู
ถึงที่อีกเล่าขอรับ” บ่าวเอ่ยถาม
ก็เพราะว่าเขาอยากมาดูให้เห็นกับตานะสิ ดูว่ากว่านางจะมา
ถึงจุดนี้ได้นั้น ช่างไม่ง่ายเอาเสียเลย