พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 565 ช่างเถิด (2)
ฉินหูมองออกไปด้านนอก ในลานอันกว้างใหญ่มีเพียงแค่สตรี
ตัวเล็กๆ วิ่งอยู่คนเดียว มือของนางกำลังคุมสายป่าน ทั้งตัวของนาง
เปียกปอนไปทั่ว ร่างบางของนางราวกับรวงใบไม้ต้นหลิ่ว ที่พร้อม
จะถูกพัดปลิวหายไปกับสายลมได้ทุกเมื่อ
นางทั้งวิ่งสลับเดิน ทั้งดึงเชือก ทั้งยังต้องคอยสังเกตสภาพ
ท้องฟ้า ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักหน่วงบดบังสายตาของฉินหูไปเสีย
หมด
ที่ผ่านมา นางก็ทำเช่นนี้อย่างนั้นรึ
ในคืนวันนั้น เหล่าโจรที่น่ากลัวและกำลังแสยะยิ้มต่อหน้าหญิง
ตัวเล็กๆ แค่คนเดียว
นี่หรือวิธีที่นางใช้ปราบพวกโจรนั้น ยืมพลังจากธรรมชาติมาใช้
คนอื่นอาจมองไม่เห็นนัยแฝงของการกระทำครั้งนี้ มองผิวเผิน
อาจดูเหมือนว่าสิ่งที่นางทำนั้นช่างดูน่ากลัวยิ่งนัก แต่หารู้ไม่ ความ
น่ากลัวนี้แหละที่เคยพานางหลุดพ้นจากสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าถ้าไม่เจอกับตัวก็คงไม่รู้ซึ้ง คำพูดเหล่านั้นที่เอ่ยออกมา ไม่ว่า
ใครได้ยิน หรือแม้แต่ตัวเองได้ยินเอง ก็คงต้องมีรู้สึกกลัวกันบ้างล่ะ
ฉินหูเงยหน้าขึ้น กระแอมหนึ่งที เส้นสายฟ้าที่สว่างวาบขึ้น
ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด ทำเอาผู้คนที่อยู่รอบๆ เริ่มกรีดร้อง
ชั่วขณะนั้น หัวใจของฉินหูเองแทบจะหยุดเต้น
ไม่ได้นะ ไม่ได้ อันตรายเกินไปแล้ว
นี่นางยังวิ่งต่ออีกรึ ว่าวกระดาษนั่นเริ่มหายไปในกลีบเมฆครึ้ม
แล้ว แต่นางกลับไม่มีท่าทีจะหยุด
ฉินหูรีบเดินฝ่าฝูงทหารที่กำลังยืนนิ่งอึ้งกันอยู่ แล้วรีบพุ่งตัว
ออกไป
“นี่ หยุดนะ หยุดได้แล้ว หยุดวิ่งได้แล้ว” ฉินหูตะโกนให้นาง
หยุด
เฉิงเจียวเหนียงที่ดูเหมือนจะได้ยินเสียงของเขาก็หันกลับมา
แวบหนึ่ง แต่นางกลับเร่งฝีเท้าวิ่งเร็วกว่าเดิม มุ่งหน้าไปยังหุ่นไล่กา
ที่ตั้งไว้ จากนั้นจึงออกแรงเขวี้ยงกระดิ่งเหล็กไปยังหุ่นไล่กาสาวใช้ที่ยืนอยู่รอบๆ หุ่นไล่กายืนรอนางเสียจนหนาวสั่นไป
ทั้ง
ตัว
“หมอบลง!”
เสียงตะโกนของหญิงสาวดังขึ้น
ปั้น
ฉินทั้งสามรีบฟุบตัวลงไปบนพื้น
แสงวาบสีขาวสะท้อนไปทั่วทั้งลาน มาพร้อมกับเสียงระเบิดที่
ดังสนั่นหู เหล่าผู้คนต่างพากันกรีดร้องแล้วล้มตัวลงไป
เปลวไฟค่อยๆ ลุกลามขึ้น
หุ่นไล่กาที่ถูกตั้งไว้กลางลานบัดนี้กำลังถูกเผาไหม้จากสายฟ้า
ที่ผ่าลงมา
เสียงร้องผู้คนเงียบหายไปชั่วขณะ มีเพียงแค่เสียงฝนเสียงลม
และเสียงฟ้าผ่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น ทั้งลานตกอยู่ในภวังค์ สายตา
ของผู้คนต่างจับจ้องไปยังหุ่นไล่กาที่ถูกเผา
ในที่สุดก็ได้ยลกับตาแล้วสินะ…
ขุนนางทั้งสองคนที่นอนฟุบอยู่บนพื้นก็ค่อยๆ ช่วยกันพยุงตัว
ขึ้นมา พลางมองดูฝูงชนที่กำลังเอ่ยพึมพำแม้ว่าจะเดาออกแต่แรกก็จริงว่าจะเกิดขึ้น แต่พอลองได้มา
เห็นกับตาตัวเองเช่นนี้แล้ว ความรู้สึกที่ได้เห็นนั้น พวกเขาเองก็
อธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ไม่ถูกเหมือนกัน
…
“…ในลานนั้น มีคนอยู่ตั้งสี่คน แต่ฟ้ากลับผ่าลงไปที่หุ่นไล่กา
…ช่างเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น…ฟ้าผ่าลงมาที่แค่ท่านผิง
อ๋องเท่านั้น ส่วนขันทีที่ยืนอยู่รอบๆ ไม่มีใครเป็นอะไรเลยสักคน”
ณ ทางเดิน บ่าวรับใช้กำลังเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เฉินเซ่า
ฟัง
เฉินเซ่าที่กำลังมองท้องฟ้าอยู่ ก็หันมามองใบต้นกล้วยที่กำลัง
ถูกน้ำฝนหยดใส่รัวๆ
“…บัณฑิตอาวุโส…บัณฑิตอาวุโสท่านนั้น คือคนที่แม่นางเฉิง
เชิญให้มาอธิบายขอรับ บัณฑิตผู้นั้นกล่าวว่า ถึงแม้ว่าจะมีหลายคน
อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ว่าตอนที่ฟ้าผ่าลงมานั้น ทั้งแม่นางเฉิง และ
สาวใช้อีกสามคนต่างก็ฟุบหมอบลงไปกับพื้น ทำให้หุ่นไล่กานั้นยืนสูงเด่นอยู่ตัวเดียว สายฟ้าเลยฟาดลงมา กลายเป็นหุ่นไล่กาโดน
สายฟ้าฟาดขอรับ…”
“บัณฑิตอาวุโสยังบอกอีกว่า หากวันไหนมีพายุฟ้าผ่า ห้ามเดิน
ในที่กลางแจ้ง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ให้หมอบลงไปกับพื้น
หรือไม่ก็เอามือกุมหัวแล้วย่อตัวลงไป อย่ายกมือขึ้นสูงและอย่าไป
หลบใต้ต้นไม้โดยเด็ดขาด”
บ่าวใช้ที่กำลังรู้สึกสนุกกับการได้อธิบายความรู้ กลับถูก
เฉินเซ่าขัดคอ
“…เอาละ เจ้าไปได้แล้ว”
บ่าวรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ถูกขัดจังหวะ
“พอทุกคนได้เห็นได้ฟัง ก็เริ่มเชื่อแล้วว่าคนเราสามารถล่อ
สายฟ้ามาได้ เรื่องที่เกิดขึ้นกับผิงอ๋องคงเป็นอุบัติเหตุจริงๆ” บ่าวรีบ
เอ่ย พลางคิด
เกร็ดความรู้เมื่อครู่นี้ น่าจะดึงความสนใจจากพวกนายท่าน
ทั้ง
หลายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่เฉินเซ่ากลับส่ายหน้า“รีบไปเสีย” เขาเอ่ย
บ่าวคนนั้นเลยทำได้แค่ถอยตัวออกไปอย่างไม่สบอารมณ์
ก็ที่ทุกคนมีพิสูจน์ให้เห็นกับตาก็เพื่อผิงอ๋องมิใช่รึ เพื่อให้ทุกคน
กระจ่างว่าผิงอ๋องไม่ได้สิ้นพระชนม์เพราะถูกฟ้าประธานโทษ
เหตุใดนายท่านถึงมีท่าทีไม่สนใจกันนะ
…
“สนใจงั้นรึ นอกจากเรื่องในวังแล้ว…”
กลางลานจินสุ่ยย่วน หุ่นไล่กาที่เดิมถูกไฟคลอกบัดนี้มอดดับ
ลงเพราะเม็ดฝนที่ตกลงมา เหลือก็เพียงแต่ก้อนเถ้าถ่านสีดำเท่านั้น
ทว่าผู้คนที่อยู่โดยรอบยังคงไม่สลายพากันกลับ ยังคงยืนถกเถียงกัน
อยู่อย่างนั้น
ขุนนางสองคนชี้นิ้วไปทางวัง พลางเอ่ยบางอย่างขึ้นท่ามกลาง
ฝูงชน
“…มีแค่คนในวังเท่านั้นแหละที่สนใจแต่เรื่องนี้ คนอื่นเขาสนใจ
เรื่องนี้กันที่ไหน”หนึ่งในสองคนนั้นเอ่ยขึ้น พอเอ่ยจบก็หันหน้าไปทางฝูงชน
“ดูสิ ดูแต่ละคนที่มาอยู่ตรงนี้สิ ก็มีแต่คนธรรมดาทั่วไปอย่าง
พวกเราเท่านั้นเอง พวกคนใหญ่คนโตเขาไม่มาสนใจเรื่องพวกนี้กัน
หรอก”
“ผิงอ๋องสิ้นพระชนม์อย่างไรนั้นไม่สำ คัญ พวกเขาเพียงแค่รับรู้
แค่ว่าผิงอ๋องสิ้นพระชนม์แล้ว”
“มิหนำซ้ำ เรื่องนี้เองก็พิสูจน์อะไรได้ไม่มากนัก ก็แค่พิสูจน์ให้
เห็นว่าการล่อสายฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อีกทั้งยังทำให้ทุกคนได้เห็น
ว่าแม่นางเฉิงไม่สามารถสังหารคนจากระยะไกลได้”
ประโยคเมื่อครู่นี้ทำเอาขุนนางอีกคนส่ายหัวไม่เห็นด้วย
“แต่นี่ก็ถือเป็นการพิสูจน์มิใช่รึว่าผิงอ๋องไม่ได้ถูก
ฟ้าประทานโทษน่ะ” เขาเอ่ยถาม
ขุนนางอีกคนหัวเราะขึ้น พลางทำหน้าครุ่นคิด
“ถ้างั้นเจ้าพิสูจน์ได้ไหมล่ะว่าเหตุใดต้องเป็นผิงอ๋อง เหตุใด
คนอื่นถึงไม่โดน”
ขุนนางอีกคนขมวดคิ้ว ทำหน้าตกใจ“ก็เพราะว่าตอนนั้นผิงอ๋องยืนสูงเด่นสุดอย่างไรเล่า” เขาเอ่ย
ตอบ
“แล้วเจ้าพิสูจน์ได้ไหมว่าทำไมตอนนั้นผิงอ๋องถึงยืนสูงเด่นกว่า
คนอื่น” ขุนนางอีกคนเอ่ยถามขึ้น
“ก็เพราะ…เพราะพระองค์กำลังสารภาพบาปอย่างไรเล่า”
ขุนนางอีกคนเอ่ยตอบ
“เพราะว่าเป็นเขา ก็เลยต้องเป็นเขาสินะ” เขาเอ่ยอย่างขำขัน
“มันก็เป็นเรื่องอุบัติเหตุ แต่เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับบุคคลแค่
คนเดียว เลยไม่ใช่เขา แต่ต้องเป็นเขาสินะ”
ไม่ใช่เขา แต่ต้องเป็นเขาอย่างนั้นรึ
นี่กำลังพูดเล่นลิ้นอะไรกันอยู่
ขุนนางอีกคนเริ่มขมวดคิ้ว
“…ที่แท้ คนเราก็ล่อสายฟ้าได้หรอกหรือนี่…”
“…ท่านผิงอ๋องโชคร้ายยิ่งนัก ต้องมาประสบพบเคราะห์กับ
อุบัติเหตุเช่นนี้…”“…เฮ้อ นี่มันเป็นอุบัติเหตุ คนอื่นไม่เจอ แต่พระองค์ท่านดัน
เจอเข้าให้ ก็อาจแสดงว่า พระองค์ท่านสมควรได้รับแล้วก็เป็นได้…”
“…นั่นสินะ วันนั้นข้าเองก็อยู่ตรงลานโล่ง ทั้งวิ่งทั้งยืนอยู่
อย่างนั้น ไม่เห็นจะโดนฟ้าผ่าเลย พระองค์ท่านคงกรรมตามสนอง
เข้าให้แล้วล่ะ…”
ท่านชายเกาที่ยืนอยู่ตรงนั้น ได้ยินเสียงพูดคุยของผู้คนเริ่ม
เข้ามาไม่ขาดสาย จึงเกิดบันดาลโทสะพลางชี้นิ้ว
“จัดการมันซะ…” ท่านชายเกาตะโกนสั่ง
บ่าวที่อยู่รอบกายกลับล้อมกันเข้ามายุดยื้อแขนขาของเขาไว้
“ข้าน้อยมิบังอาจ”
“นายใหญ่ท่านกำชับไว้ว่ามิให้ท่านชายออกมาหาเรื่องในที่
สาธารณะขอรับ”
“เวลานี้มิใช่เวลาจะมาหาเรื่องใครนะขอรับ”
เหล่าบ่าวรับใช้ต่างพากันโน้มน้าวท่านชายเกา
ต่อให้ท่านชายเกาจะบันดาลโทสะจนควบคุมไม่อยู่ แต่ครั้งนี้
ไม่มีใครเกรงกลัวเขาอีกต่อไปเพราะครั้งก่อนที่เขาก่อเรื่องไว้ที่หอเต๋อเซิ่ง นายใหญ่เกาได้
จัดการเก็บกวาดพวกบ่าวที่ติดตามท่านชายเกาไปในวันนั้นเสีย
หมดเกลี้ยง
เชือดไก่ให้ดูขนาดนี้แล้ว เหล่าลิงทั้งหลายจึงจำ ฝังใจ
“โธ่เว้ย!” ท่านชายเกากัดฟันพลางสบถ “เรื่องบ้านี่ นอกจากที่
นางนั่นจะทวงคืนความบริสุทธิ์และได้รับชื่อเสียงมากขึ้นแล้ว ก็
ไม่มีอะไรเลย ไม่เหลือความดีความชอบให้ผิงอ๋องเลยสักนิด! แล้ว
จะให้นางบ้านั่นมาล่อสายฟ้าเพื่ออะไร!”
เขาบันดาลโทสะจนพลิกโต๊ะในเพิงคว่ำ
จู่ๆ บ่าวนายหนึ่งก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้น
“นายท่าน” เขาเอ่ยอย่างลนลาน “แต่ที่นางทำครั้งนี้ก็เพื่อ
พิสูจน์ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผิงอ๋องเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ ประจวบ
เหมาะกับเหตุการณ์สุริยุปราคา จันทรุปราคาที่เกิดขึ้น ซึ่ง
แสดงให้เห็นถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นต่อผู้สืบทอดอำนาจจักรพรรดิองค์
ต่อไป ผิงอ๋องเป็นผู้ประสบพบเจอกับหายนะครั้งนี้ นั่นก็แปลว่าผิง
อ๋องเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ตัวจริงสินะขอรับ”ท่านชายเกามองบ่าวด้วยหางตา จากนั้นง้างมือตบหน้าบ่าว
เข้าให้
“ใครมันจะอยากพิสูจน์เรื่องแบบนี้กัน!”
“ต่อให้เขาไม่ใช่ผู้สืบทอด ขอแค่ยังมีชีวิตรอดอยู่ พวกเราก็
สามารถดันให้เขาเป็นผู้สืบทอดได้ ให้เขาได้เป็นจักรพรรดิคนต่อไป!”